หนิงอ้ายกับลู่ซีมุ่งตรงไปยังจุดลงทะเบียนที่มีการกางโตะตรงที่ปากทางเข้าการประลองในทันที แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะรีบเร่งออกจากจวนตระกูลหวังเป็เวลาเช้าเเต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนที่เดินทางมาถึงเร็วกว่ากว่าพวกเขาทั้งสองคน ในตอนนี้มีผู้คนมากมายที่กำลังรายล้อมอยู่โดยรอบจุดบริเวณดังกล่าวที่เปิดให้ลงทะเบียนอยู่ ถือว่าเป็โชคดีของพวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่น้อยที่มาทันเวลาพอดีเพราะว่าการประลองในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็อย่างมากดังนั้นจึงมีการจำกัดคนเข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้น
''เนื่องจากครั้งนี้เป็งานประลองแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด ดังนั้นเพื่อเป็การเฉลิมฉลองจึงไม่มีการเรียกเก็บเงินสมัครในการประลองครั้งนี้ใดใดทั้งสิ้น เเต่จะจำกัดผู้เข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้นและจะไม่มีการแบ่งแยก่อายุการประลองทั้งสิ้นสำหรับผู้ใดที่หวังเพียงมาเล่นไม่จริงจังสามารถถอดตัวออกไปได้ทันที อย่าหาว่าไม่เตือน!!!'' เสียงของผู้ควบคุมกฎที่ทำหน้าที่ดูเเลในการลงทะเบียนได้เอ่ยขึ้นและดังพอที่จะให้ได้ยินในบริเวณโดยรอบทันที
'ข้าจะใอะไรก่อนดีเล่า? การประลองครั้งนี้เปิดรับเพียงห้าร้อยคนหรือจะเป็การจัดเเข่งขันประลองเเบบรวม...'
'ปกติการประลองที่มีการเเบ่งเป็รุ่นข้าก็ว่ายากเเล้วเเต่นี่กลับเป็การประลองรวมรุ่นงั้นรึ?'
'ในคราเเรกข้าตั้งใจว่าจะลงประลองเพียงเเต่ฝึกวิชาและเเลกเปลี่ยนฝีมือกับกลุ่มคนอายุใกล้เคียงกันเท่านั้น เเต่พอมาเจอเเบบนี้ข้าไม่ไหวแน่ ๆ'
'จัดประลองเเบบรวมรุ่นเช่นนี้ จะไม่เป็การรังแกผู้เข้าร่วมประลองที่อายุน้อยกว่างั้นรึ พวกเ้าเห้นด้วยหรือไม่?'
'ผู้ใดจะสนใจกันเล่า!! เื่ของฝีมือไม่มีคำว่าอายุเข้ามาข้องเกี่ยวหรอกหากเ้ากลัวก็สละสิทธิ์ไปเสียเถอะอย่ามาขวางทางผู้อื่น...'
'ให้พวกข้าเเข่งขันประลองกับพวกเด็กงั้นรึ? นี่เป็การดูถูกฝีมือพวกข้าไปเสียเเล้วใคร เป็คนคิดกฎบ้าบอนี้กัน...'
เสียงของผู้ฝึกตนหลากหลาย่อายุที่อยู่บริเวณด้านหน้าของโต๊ะลงทะเบียนต่างเเสดงความคิดเห็นกันอย่างออกรสบ้างก็มีผู้ฝึกตนบางคนถึงกับขอถอนตัวจากการประลองไปเลยก็มีเช่นกัน
''หนิงอ้ายในเมื่อการประลองเเคว้นครั้งนี้มีการเปลี่ยนเเปลงกฏการประลองเกอว่า...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นกับหนิงอ้ายด้วยความเป็กังวลเล็กน้อยแต่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาว่า
"เกอเชื่อฝีมือข้าเถอะขอรับเพราะอย่างไรเเล้วต่อให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ไม่อาจเปลี่ยนใจของข้าได้'' หนิงอ้ายเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงเเน่วเเน่มั่นคง
''เอาละในเมื่อพวกเ้าได้ยินเช่นนี้เเล้วนั้นข้าขอบอกก่อนเลยว่ากฏการประลองครั้งนี้ยังมีการเปลี่ยนอยู่อีกมากเเน่นอนสำหรับใครที่ใจไม่สู้หรือหวาดกลัวก็จงถอนตัวไปเสียเเละหาที่นั่งรับชมกันตามความพึงพอใจได้เลยส่วนผู้ยังมั่นใจในฝีมือของตนนั้นจงก้าวออกมาข้างหน้าเเล้วเข้าเเถวรับใบลงทะเบียน" เสียงของผู้คุมกฏดังขึ้นอีกครั้งซึ่งในครั้งนี้ทั้งหนิงอ้ายเเละลู่ซีต่างก้าวขึ้นมาข้างหน้าพร้อมกับเข้าเเถวรับใบลงทะเบียนในทันทีเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นจึงเข้ามายังในสนามประลองเเละหาที่นั่งในสเตเดี่ยมเพื่อที่จะรอการลงประลอง...
ตระกูลจาง
"นั่นมันใช่ลู่ซีบ่าวที่คอยรับใช้สวะของตระกูลเ้าหนิงอ้ายใช่ไหมขอรับ?'' เสียงของคุณชายรองหรือจางเหยากวงดังขึ้น เมื่อเห็นว่าตรงที่นั่งไกลออกไป ตรงบริเวณที่นั่งของแคว้นเต่าดำมีลู่ซีบ่าวรับใช้ของหนิงอ้ายนั่งอยู่ แม้ว่าจะแต่งตัวดูราวกับคุณชายของตระกูลใหญ่ เเต่เขาย่อมจดจำใบหน้ามันได้ในทันที ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนนั่งข้างกันที่มีผ้าคลุมนั้นคงเป็สวะตระกูลจางเ้าหนิงอ้ายอย่างแน่นอน...
''เป็เพียงบ่าวรับใช้เเต่ริอาจแต่งตัวเฉกเช่นคุณชายของตระกูลใหญ่ก็มิเชิง ช่างเหมาะสมกับนายของมันยิ่งนัก!!" เสียงของฮูหยินรองหรือหวงลู่เอินดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เกลียดชังยิ่งนัก
''ตั้งเเต่อดีตฮูหยินใหญ่ออกจากตระกูลจางไปพวกเรายังไม่ได้ข่าวคราวจากทางนั้นเลยนะเ้าคะ...'' เสียงของอนุคนที่หนึ่งของจางเลี่ยงหวงดังขึ้น
''คงมิใช่ว่ากลับตระกูลหวังไปแล้วกล่าวโกหกอันใดนะเ้าคะ ข้าเห็นว่าท่านประมุขตระกูลหวังลอบมองมาทางนี้บ่อย ๆ คล้ายกับไม่พอใจอะไรสักอย่างเสียอย่างนั้น...'' เสียงของอนุคนที่สองเอ่ยขึ้นผสมโรงขึ้นมาในบทสนทนาดังกล่าวนี้
''ท่านพ่อจักไม่พูดอะไรเลยหรือขอรับ มันและมารดาของมันสร้างชื่อเสียให้แก่ตระกูลจางของเราเสียมากมายเช่นนี้" เสียงของคุณชายสามหรือจางิหวังดังขึ้น เมื่อเห็นว่าพี่รองของตนนั้นกำลังจะแย่งชิงความสนใจจากบิดาของพวกตน
''พวกเ้าทั้งหมดสงบปากสงบคำเสีย ตอนนี้หนิงอ้ายและเยว่ซินได้ตัดขาดออกจากตระกูลจางของเราแล้ว ต่างคนต่างอยู่ไม่ข้องเกี่ยวกัน เข้าใจหรือไม่?" เสียงของจางเลี่ยงหวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่นิ่งสงบไม่สามารถคาดเดาว่าตอนนี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน
เมื่อจางเลี่ยงหวงกล่าวมาเช่นนี้เเล้ว คนที่เหลือต่างพากันนิ่งเงียบพร้อมกับลอบมองไปยังบริเวณที่นั่งของหนิงอ้ายและลู่ซีนั่งอยู่ด้วยแววตาเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด โดยเฉพาะคนที่มีศักดิ์เป็พี่ชายของพวกตนที่แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้ใช้แซ่จางเเล้ว แม้ว่าจะสวมหมวกสานปกปิดใบหน้าเเต่พวกตนย่อมรู้ดีที่สุดว่าหน้าตาของมันงดงามเพียงใด
เพราะขนาดตอนนั้นหนิงอ้ายมันถูกกลั่นแกล้งต่าง ๆ ใบหน้าของมันยังงามกว่าพวกตนยิ่งนักแล้ว ยิ่งในตอนนี้ที่ได้กลับตระกูลหวังอันเป็ตระกูลเดิมของมารดา มันคงได้รับการดูเเลอย่างดีคงทำให้ให้ใบหน้าของมันคงงดงามกว่าพวกตนกว่าเดิม ช่างน่าเกลียดยิ่งนักขนาดเกิดมันเป็ชายยังมีใบหน้าที่งดงามกว่าพวกนางได้เช่นไรเมื่อคิดเช่นนี้เเล้วนั้นทั้งบตรีสี่คนของจางเลี่ยงหวงต่างพากันรู้สึกอิจฉาและทวีความเกลียดชังในตัวของหนิงอ้ายมากกว่าเดิม
"ให้มันจริงเถอะเ้าคะ ไม่ใช่ว่าท่านพี่ยังคงรักและเป็ห่วงสองคนเเม่ลูกนั่นอยู่..."
''สงบปากสงบคำเสียฮูหยินรอง!!" ไม่ทันที่หวงลู่เอินได้กล่าวจบ เสียงของจางเลี่ยงหวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เอือมระอา ทำเอานางยิ่งรู้สึกเกลียดชังสองเเม่ลูกตระกูลหวังนั้นเข้าไปอีกกว่าเดิมหลายเท่าตัวยิ่ง
หวงลู่เอินคิดว่าหากหวังเยว่ซินได้หย่าขาดจากตระกูลจางไป สามีของนางจะรีบทำการแต่งตั้งนางขึ้นเป็ฮูหยินเอกในทันที เเต่กลับกลายเป็ว่าทุกครั้งที่นางเอ่ยเื่นี้ จางเลี่ยงหวงจะนิ่งเงียบไม่มีการตอบรับใดใดทั้งสิ้น อีกทั้งยังไปสำนักศึกษาผิงอานในทุกวันโดยที่บางครั้งสามีของนางไม่กลับมานอนที่จวนตระกูลจางเลยเสียด้วยซ้ำ นางไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันจึงทำให้สามีเปลี่ยนไปเช่นนี้ หากคาดเดาไม่ผิดนางคิดว่าย่อมเป็ฝีมือของสองเเม่ลูกตระกูลหวังอย่างแน่นอน...
ราชวงศ์เเห่งแคว้นเต่าดำผู้รับหน้าที่ในการเป็เ้าภาพในงานประลองครั้งนี้ คณะราชวงศ์ของแคว้นอื่น ๆ รวมไปถึงบรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ได้เดินทางมาถึงอย่างพร้อมหน้า ได้มีการเเยกย้ายไปยังที่นั่งของแคว้นที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เเล้วเสร็จสิ้น โดยมีบ่าวรับใช้หน้าตางดงามที่เเต่งตัวอยู่ในอาภรณ์ที่งดงามล้ำค่าเพื่อไม่ให้เป็การเสียเกียรติของราชวงศ์เต่าดำ บ่าวหญิงรับใช้ที่ถูกคัดเลือกมาในวันนี้ต่างถูกเคี่ยวกรำให้มีกริยามารยาทที่เรียบร้อยเพื่อเพิ่มความประทับใจแก่แขกผู้มาเยือนและนำทางคณะเดินทางไปอีกที่นั่งดังกล่าว
เหล่าขุนนางและตระกูลใหญ่ของเเต่ละแคว้นอีกมากมายที่ได้เดินทางมาเข้าร่วมในงานประลองครั้งนี้ด้วย ไม่เพียงเเต่เท่านั้นยังมีสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงน้อยใหญ่ต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็สำนักศึกษาฝึกยุทธ หรือสำนักศึกษาบำเพ็ญเพียรรวมถึงชาวยุทธภพที่อาศัยอยู่ทั่วทุกแคว้นหรือชาวบ้านธรรมดาที่ให้ความสนใจต่างพากันเข้าร่วมงานประลองครั้งนี้กันอย่างคึกคัก โตะวางเดิมพันจากทางราชสำนักหรือสำนักต่าง ๆ ที่มีการตั้งโต๊ะพนันอย่างถูกกฎหมายเปิดให้ทุกคนสามารถพนันผู้ชนะในงานประลองครั้งนี้ซึ่งพบเห็นได้โดยรอบสนามการประลอง สิ่งนี้อาจกล่าวได้เช่นกันว่าเป็สิ่งที่ดึงดูดผู้คนหลากหลายที่ให้เข้างานร่วมงานประลองนี้ แม้ไม่ได้ลงเเข่งขันเเต่ก็เเสวงหาโชคลาภจากการลงพนันมีผู้คนจากทั่วสารทิศให้เข้ามาร่วมในงานประลองครั้งนี้กันอย่างมากมาย
''มีโต๊ะวางพนันด้วยหรือขอรับ??" หนิงอ้ายถามขึ้นด้วยความสงสัย
''ที่ใดมีการเเข่งขันก็ย่อมขาดการพนันไปไม่ได้เ้าว่าเป็เช่นนั้นหรือไม่เล่า..." ลู่ซีเอ่ยตอบไปพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
"ข้ายอมรับว่าเเปลกใจไม่น้อยที่เห็นการวางโตะพนันเเบบเปิดเผยเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่มีทหารเวรยามคอยแฝงตัวอยู่โดยรอบ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับสังเกตไปโดยรอบ ในส่วนของราชวงศ์หรือเชื้อพระวงศ์จะต้องมีองครักษ์ดูเเลอย่างใกล้ชิดแม้จะไม่เปิดเผยตัวตนออกมาก็ตาม รวมไปถึงสำนักต่าง ๆ และตระกูลน้อยใหญ่ย่อมมีทหารฝีมือดีที่แฝงตัวคอยดูเเล หรือแม้กระทั่งบริเวณโดยรอบของสนามประลองนี้ต่างมีทหารเวรยามทั้งในและนอกเครื่องเเบบคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยอีกด้วย...
"งานประลองของแคว้นที่ถูกจัดขึ้นนั้นได้รับการสนับสนุนจากทางราชวงศ์หรือทางตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ เหล่าโต๊ะเดิมพันที่เ้าเห็นนั้นหลัก ๆ จะเป็ทางราชสำนักที่เป็ผู้ดูเเลโดยตรง สำหรับโต๊ะเดิมพันรายย่อยที่เเต่ละสำนักเป็ผู้ดูเเลจัดการนั้นหลักจากจบงานประลองของแคว้นแล้วจะต้องมีการเเสดงตัวบัญชีของรายได้ดังกล่าว เเบ่งส่วนรายได้ให้กับทางราชสำนักหรือเ้าภาพในการจัดงานประลอง แล้วเเต่ว่าจะมีการจัดสรรเเบ่งส่วนรายได้นี้เป็อย่างไร..." ลู่ซีอธิบายออกมาให้หนิงอ้ายได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
"เเสดงว่าทางราชสำนักของราชวงศ์แคว้นเต่าดำที่เป็เ้าภาพของการจัดงานประลองครั้งนี้ รวมไปถึงเ้าภาพของการจัดงานประลองในเเต่ละครั้งก็จะได้รับผลประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้อย่างมากมายมหาศาลเลยสินะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความเข้าใจ และมีความคิดเห็นว่าไม่ว่าจะเป็โลกเดิมที่เขาจากมาหรือว่าจะเป็โลกใบนี้ สุดท้ายเเล้วการพนันนับว่าเป็อีกทางลัดหนึ่งสู่ความร่ำรวยที่ผู้คนต่างมีความหวังและให้ความสนใจ อีกทั้งยังเป็อีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนได้หลงมัวเมาเช่นกัน
"เป็เช่นนั้นเ้าเข้าใจได้ถูกต้องเเล้ว..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
ขณะที่บรรยากาศโดยรอบของงานประลองในตอนนี้ แม้จะยังไม่มีพิธีการเปิดงานประลองเเต่ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามากระจายกันไปยังที่นั่งดังกล่าวที่ถูกจัดเตรียมไว้จนกล่าวได้ว่าที่นั่งรับชมตอนนี้อาจจะไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ เเต่ถึงอย่างนั้นผู้คนที่เข้ามาในสนามประลองต่างอดที่จะชื่นชมไม่ได้ว่างานประลองครั้งนี้ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบครั้งที่แปดสิบแปด (88) ทางแคว้นเต่าดำช่างจัดงานได้อย่างยิ่งใหญ่ตระการตายิ่งนัก นับว่าพวกเขาทุกคนต่างตัดสินใจอย่างถูกต้องที่เข้ามาเป็ส่วนหนึ่งในงานประลองครั้งนี้ อีกทั้งยังตั้งหน้าตั้งตารอรับชมการต่อสู้วรยุทธที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจรอหลังจากนี้
"ขอต้อนรับทุกท่านที่มาร่วมงานประลองของแคว้นครั้งที่แปดสิบแปดในครั้งนี้ที่ทางราชวงศ์เต่าดำของเรารับเป็เ้าภาพจัดงานประลอง ซึ่งก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะเปิดการประลองในรอบเเรก!!!"
หลังจากที่ฮ่องเต้เเห่งราชวงศ์เต่าดำนั้นได้ทำการเปิดพิธีโดยการยิงเกาทัณฑ์ขึ้นไปยังท้องฟ้า ้าของสนามประลองพลันปรากฏเป็ร่างเวทย์เต่าสีดำฟ้าสังกัดธาตุน้ำอันเป็สัญลักษณ์ของแคว้นซึ่งได้เเหวกว่ายไปโดยรอบของสนามประลอง เพียงไม่กี่จิบชาเท่านั้นก็ะเิหายไปกลายเป็หยดน้ำทิพย์ตกลงมาด้านล่างคล้ายกับเป็การอวยพรเฉลิมฉลองให้กับงานประลองในครั้งนี้ เสียงประกาศดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณที่ใจกลางของสนามประลองปรากฏเป็แท่นเสาหินขนาดใหญ่โดยที่ตัวคนประกาศนั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์ชั้นสูงที่ดูมีอายุราว ๆ ห้าสิบปีได้เเต่ก็ยังดูภูมิฐานอยู่เป็อย่างมาก
"ผู้ที่ประกาศเปิดงานประลองที่อยู่ตรงแท่นหินนั้นเป็คนจากตระกูลหรือสำนักใดหรือขอรับ?" หนิงอ้ายเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
"เป็ผู้าุโของทางราชวงศ์แคว้นเต่าดำ พวกเขาเหล่านี้จะเป็ผู้ที่ดำเนินการประลองอีกทั้งยังเป็ผู้ตัดสินของการเเข่งขันเเต่ละรอบอีกด้วย..." ลู่ซีตอบกลับไป
หนิงอ้ายพยักหน้าเข้าใจและคิดว่าเเท้ที่จริงเเล้วการจัดประลองที่ได้มีการจัดขึ้นในเเต่ละปีต่างถูกใช้เป็เครื่องมือในการหาผลประโยชน์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็ทางราชวงศ์เองรวมไปถึงตระกูลใหญ่ของแคว้นรวมไปถึงบรรดาสำนักต่าง ๆ ก็จะได้รับทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ร่วมกันนับได้ว่าเป็การพึ่งพาอาศัยที่น่าชื่นชมเลยทีเดียว
"อย่างที่พวกเ้าได้รับรู้กันไปก่อนหน้า การเเข่งขันครั้งนี้จะเเบ่งออกเป็สองระดับเท่านั้นซึ่งจะไม่มีการแบ่ง่อายุผู้ฝึกตนทั้งสิ้น การประลองในครั้งแรกจะเป็การเเข่งขันของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางิญญาทั้งสามระดับขั้น และการประลองครั้งที่สองจะเป็การเเข่งขันระหว่างผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิิญญาทั้งสามระดับเช่นกัน... "
"นอกจากนั้นแล้วเงื่อนไขกฎการประลองในครั้งนี้อนุญาติให้ผู้เข้าร่วมการประลองสามารถใช้ได้เพียงบทเวทย์ระดับต่างๆ กระบี่รวมไปถึงสมบัติวิเศษไม่เกินระดับนภา อีกทั้งยังไม่สามารถเรียกใช้ิญญายุทธ์ในการประลองได้ แต่ถึงอย่างไรย่อมสามารถใช้พลังจากปราณธาตุต้นกำเนิดในร่างกายได้เช่นกัน..."
"…"
"…"
"…"
"หากผู้ใดยอมรับในกฎการประลองที่เปลี่ยนไปในครั้งนี้ พวกท่านสามารถลงทะเบียนเป็ผู้เข้าเเข่งขันได้ โดยการเขียนชื่อของตนเเล้วนำมาหย่อนในกล่องที่อยู่ตรงด้านหน้านี้... "
"สำหรับกล่องไม้สีขาวนั่นคือผู้ที่สนใจเข้าร่วมลงประลองในฐานะของราชทินนามขุนนางิญญาทั้งสามขั้นย่อย ส่วนกล่องไม้สีทองที่ตั้งอยู่ด้านข้างกันย่อมเป็กล่องรายชื่อของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิิญญาเท่านั้น พึงทราบโดยทั่วกันว่าเลห์กลหรือบทเวทย์ใดไม่อาจแทรกแซงได้ทั้งสิ้น!!" ผู้าุโคนเดิมที่ทำหน้าที่ดำเนินการประลองเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง สิ้นคำประกาศจบเสียงปรบมือ เสียงโห่ร้องได้ดังขึ้นไปทั่วบริเวณสนามประลองอย่างกึกก้อง
บรรดาเหล่าทายาทของตระกูลใหญ่แคว้นต่าง ๆ รวมไปถึงเหล่าศิษย์ของสำนักทั่วทุกแคว้นที่ลงทะเบียนทันห้าร้อยคนเเรกต่างพากันเขียนชื่อราชทินนามของตน ก่อนที่จะส่งมอบแก่ผู้าุโเพื่อนำไปใส่ไว้ในกล่องไม้ตามระดับพลังิญญาของตนนั่นเอง
"จากเดิมกฎของการประลองเกือบทุกครั้งจะเเบ่งออกเป็สอง่อายุ อันได้แก่่อายุสิบห้าปีไม่เกินยี่สิบปีและ่อายุยี่สิบเอ็ดปีไม่เกินสามสิบปี ซึ่งจะกำหนดระดับพลังิญญาไม่เกินราชทินนามจักรพรรดิิญญาขั้นสูง ทว่าการประลองครั้งนี้กฎเกณฑ์ดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปสิ้นเกี่ยวกับ่อายุในการประลอง โดยจะเเบ่งการแข่งขันออกเป็สองกลุ่มตามระดับพลังิญญา หลังจากนั้นผู้ที่ผ่านเข้ารอบทั้งหมดจะมาเเข่งขันกันอีกครั้งเพื่อหาผู้ชนะห้าอันดับเเรกใช่ไหมขอรับ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามขึ้นตามที่ตนเข้าใจในการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของงานประลองในครั้งนี้
"เ้าเข้าใจถูกต้องเเล้ว..."
ลู่ซีค่อนข้างเป็ห่วงหนิงอ้ายอยู่ไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้ระดับพลังิญญาของหนิงอ้ายจะสูงกว่าเขาหนึ่งระดับ เเต่ด้วยความที่หนิงอ้ายนั้นพึ่งปลุกพลังิญญาเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตนได้ไม่ถึงสองปีเท่านั้น หากมีโอกาสได้เข้าเเข่งขันลงสนามประลองในรอบลึก ๆ ย่อมเสียเปรียบในเื่ของประสบการณ์อย่างแน่นอน
"ข้าตื่นเต้นมากขอรับ อยากจะเห็นฝีมือการประลองของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิิญญาเเล้ว..." หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าระยะเวลาเขาได้ฝึกฝนอย่างหนักก็จริง เเต่อย่างไรเล่าหากมีเเต่ความรู้เเต่ขาดซึ่งประสบการณ์จะนับว่าเป็อันใดได้ อีกอย่างโลกของผู้ฝึกตนนั้นไม่ได้สวยงามเท่าไหร่นัก มีเพียงผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะเป็ผู้ที่อยู่สูงสุดและได้รับการนอบน้อมยำเกรง
"เกอเอาป้ายชื่อไปใส่ในกล่องรายชื่อประลองก่อน จ้านั่งรออยู่ตรงนี้อย่าซุกซนเข้าใจหรือไม่??" ลู่ซีเอ่ยสำทับเด็กหนุ่มก่อนที่จะเเยกตัวเดินไปตรงจุดวางกล่องใส่รายชื่อตรงกลางสนามประลองดังกล่าว
ในตอนนี้ลู่ซีเป็ผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางิญญาขั้นสูงจึงทำการหย่อนชื่อของตนในกล่องรายชื่อระดับเเรกที่เป็กล่องไม้สีขาว สำหรับหนิงอ้ายถูกหย่อนป้ายชื่อลงในกล่องไม้สีทองที่เป็การเเข่งขันระดับที่สอง เนื่องจากว่าในตอนนี้หนิงอ้ายถือได้ว่าเป็ผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิิญญาแล้ว
"การเเข่งขันในระดับเเรกของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางิญญาดูเหมือนว่าในปีนี้จะมีรายชื่อเข้าเเข่งขันเป็จำนวนมาก ดังนั้นการเเข่งขันจะเเข่งทีละห้าคู่คนที่พ่ายแพ้จะถูกคัดออกและหมดสิทธิในการเเข่งขันรอบต่อไปในทันที สำหรับผู้ชนะนั้นจะต้องทำการเเข่งขันประลองไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ผู้ชนะในระดับเเรกจำนวนห้าคนเท่านั้น!!!" ผู้าุโที่ทำหน้าที่ดำเนินการประลองประกาศออกมาเสียงดัง...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้