สวี่เยว่ร้องเสียงหลง “แม่!” แล้วพุ่งเข้าไปหากู่ซิ่ว
แล้วกอดปกป้องเธอสุดชีวิต พร้อมกับเอ่ยน้ำตาคลอเบ้า “พ่อ ขอร้องล่ะ ถ้าจะตีก็ตีหนูเถอะ!”
สวี่ต้าซานชี้นิ้วไปที่เธอ เอ่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ “ถ้าลูกไม่ป่วย ฝ่ามือเมื่อกี้คงฟาดลงบนหน้าลูกไปแล้ว!”
สวี่ต้าซานหัวเราะเยาะอย่างเดือดดาล “พวกเธอสองแม่ลูกทำได้ดีนี่ พูดจาโกหกปาว ๆ หลอกฉันซะหัวหมุน คิดว่าฉันโง่หรือไง!”
พอคิดถึงเื่ที่เสียหน้าต่อหน้าเพื่อนบ้านเมื่อครู่ สวี่ต้าซานก็ยังรู้สึกแสบร้อนที่ใบหน้าเหมือนโดนตบฉาดใหญ่
ไฟโทสะในใจปะทุขึ้นอย่างไร้การควบคุม
สวี่เยว่ร้องไห้หายใจติดขัด “พ่อ หนูผิดไปแล้ว ไม่ควรแย่งความดีความชอบของพี่”
“หนูเป็โรคหัวใจมาั้แ่เกิด ทำให้พ่อแม่และพี่ชายต้องลำบากมาตลอด”
“หนูมันไม่ได้เื่ ตื่นเช้ากว่าไก่ นอนดึกกว่าหมา[1] แต่ยังสอบไม่ติดแม้แต่มหาลัยวิชาชีพ”
“พ่อกับแม่อยากให้หนูมีอนาคตที่ดี เลยบังคับพี่สาวให้หนูสวมรอยไปเรียนมหาลัยแทน ต้องลำบาก แถมยังถูกพี่สาวเกลียดอีก”
“หนูรู้สึกผิด ถึงได้คิดชั่ว ๆ แอบอ้างเอาความดีความชอบของพี่สาว”
“หนูเพ้อฝันว่า…ถ้าได้แต่งเข้าสกุลลู่ หนูก็จะมีอนาคตที่ดี”
“พ่อแม่กับพี่ชายก็ไม่ต้องเป็ห่วงหนูอีก แถมหนูยังสร้างชื่อเสียงให้กับครอบครัว ต่อไปก็ยังได้ช่วยเหลือทางบ้านอีกด้วย”
“อีกอย่าง ต่อให้หนูแย่งความดีความชอบของพี่ไป แล้วยังไง? สุดท้ายก็เป็ประโยชน์กับครอบครัวเราไม่ใช่เหรอ?”
“หนูไม่คิดว่าพี่สาวจะแฉหนู ทำให้ทุกคนต้องอับอาย พี่สาวแค่อยากเห็นหนูตกต่ำ!” สิ้นเสียงเธอก็ร้องไห้ดังกว่าเดิม
สวี่ต้าซานหน้าดำคล้ำ
แม้ว่าลูกสาวคนเล็กจะเถียงข้าง ๆ คู ๆ แต่เธอพูดถูกอยู่สองอย่าง
ความดีความชอบนี้ ใครได้ก็เหมือนกัน
สุดท้ายก็เป็ประโยชน์กับบ้านพวกเขาอยู่ดี สวี่ฮุ่ยไม่ควรทำให้เขาในฐานะพ่อต้องขายหน้า
ประการที่สอง ถ้าลูกสาวคนเล็กได้แต่งเข้าสกุลลู่ เื่การรักษาพยาบาลในอนาคตคนเป็พ่ออย่างเขาก็ไม่ต้องกังวลอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ลูกสาวคนเล็กนิสัยอ่อนโยน รู้จักบุญคุณ ถ้าได้แต่งเข้าตระกูลลู่จริง ๆ ในอนาคตต้องกลับมาช่วยเหลือที่บ้านแน่
ไม่เหมือนลูกสาวคนโต ที่เกลียดพวกเขาเข้ากระดูกดำ ต่อไปคงไม่ช่วยอะไรพวกเขาหรอก
ฉะนั้น การที่สวี่เยว่แอบอ้างความดีความชอบไปจึงเป็ประโยชน์กับครอบครัวมากกว่า
สวี่ต้าซานตำหนิลูกสาวคนโตในใจที่ไม่เห็นแก่ส่วนรวม
ส่วนสวี่รั่วเฉินก็ถูกคำพูดของสวี่เยว่โน้มน้าว และเริ่มตำหนิสวี่ฮุ่ยในใจว่าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
กู่ซิ่วแอบมองสามี เห็นสีหน้าของเขาไม่แย่เท่าเดิมแล้ว
ก็ถามอย่างระมัดระวัง “อีกเจ็ดวันต้องคืนของขวัญให้สกุลลู่แล้ว เรา…จะเอาอะไรไปคืน?”
สีหน้าของสวี่ต้าซานที่เพิ่งจะดีขึ้นอึมครึมยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ เขาถามอย่างเอาเื่ “เงินสามพันหยวนที่คุณนายลู่ให้มา ทำไมเธอไม่บอกผม?”
กู่ซิ่วถนัดเื่การเปลี่ยนเื่
เธอถอนหายใจยาว “บอกหรือไม่บอกก็ไม่สำคัญหรอก เงินสามพันหยวนที่ครอบครัวน้องสามีค้นเจอในห้องเราเป็เงินที่คุณนายลู่ให้ แล้วก็ถูกแม่กับฮุ่ยฮุ่ยแบ่งกันไปแล้ว”
ปกติกู่ซิ่วเปลี่ยนเื่ สวี่ต้าซานก็จะถูกเธอจูงจมูกไปเก้าในสิบครั้ง
แต่ครั้งนี้ สวี่ต้าซานกลับไม่คล้อยตามเลยสักนิด
เขากล่าวด้วยความโกรธ “ผมกำลังถามเธออยู่ว่าทำไมไม่บอกผมว่าสกุลลู่ให้เงินสามพันหยวนมา!”
กู่ซิ่วแก้ตัว “ฉัน…ฉันกลัวจะคุณด่าฉัน กลัวคุณจะว่าฉันรับทั้งของขวัญทั้งเงินของคนอื่นมา หาว่าหน้าเงิน…”
สวี่ต้าซานพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ก็หน้าเงินจริง ๆ นั่นแหละ!”
“ตอนนั้น คุณนายลู่ยัดเยียดให้ฉันรับ ฉันก็เลยต้องรับไว้”
“อีกอย่าง เยว่เยว่ต้องผ่าตัดในอนาคต ใช้เงินไม่น้อย ฉัน…ฉันก็เลยรับไว้”
กู่ซิ่วพูดไปร้องไห้โฮไป “ถ้าฮุ่ยฮุ่ยยอมเอาเงินที่เธอมีมาให้ฉันใช้รักษาเยว่เยว่ ฉันจะไปรับเงินคุณนายลู่ทำไม?”
สวี่เยว่ฉวยโอกาสร้องขอความเป็ธรรมให้ตัวเอง “พ่อ หนูไม่ได้ขโมยเงินรางวัลสามพันหยวนของพี่มา พี่ต้องรู้เื่ที่สกุลลู่ให้เงินแม่สามพันหยวนแน่ ๆ เลยวางแผนใส่ร้ายหนูกับแม่”
สวี่ต้าซานไม่พูดอะไร แต่สีหน้ากลับย่ำแย่ขึ้นเรื่อย ๆ
เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามกู่ซิ่ว “ที่บ้านมีเงินเก็บอยู่เท่าไหร่?”
กู่ซิ่วพูดด้วยท่าทางห่อเหี่ยว “ค่าใช้จ่ายในบ้านเยอะ เงินเก็บเดิมทีก็มีแค่พันกว่าหยวน เยว่เยว่นอนโรงพยาบาลหมดไปแล้วหกเจ็ดร้อย ตอนนี้เหลืออยู่ไม่กี่ร้อยเอง”
สวี่ต้าซานพูดไม่ออก เงียบลงอีกครั้ง คิ้วขมวดแน่นกว่าเดิม
เงินกับขวัญที่สกุลลู่ให้รวมกันเกือบสี่พันหยวน เขาจะเอาอะไรไปชดใช้?
กลับไปบ้านชนบททวงเงินกับของจากพ่อแม่? ยากกว่าง้างปากเสืออีก แค่คิดก็อย่าหวัง!
สวี่รั่วเฉินเห็นสวี่ต้าซานกลุ้มใจ จึงพูดขึ้น “พรุ่งนี้ผมไม่ต้องรีบไปทำงาน ผมจะถอนเงินทั้งหมดในสมุดบัญชีออกมาชดใช้ให้สกุลลู่”
หน่วยงานของสวี่รั่วเฉินไม่ค่อยดี แถมเขาเพิ่งทำงานได้ไม่นาน เลยเก็บเงินได้ไม่ถึงสามร้อยหยวน เอาออกมาเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์
สวี่เยว่พูดเสียงเบา “พี่ เงินของพี่เก็บไว้แต่งงานนะ อย่าแตะ…”
คำพูดนี้ของสวี่เยว่ทำให้ความไม่พอใจที่สวี่รั่วเฉินมีต่อเธอลดลงไปกว่าครึ่ง
ตอนนี้กำลัง้าใช้เงินแท้ ๆ แต่น้องสาวคนเล็กยังคิดถึงเื่แต่งงานของเขา เขาไม่ได้รักเธอเสียเปล่า
เขาถอนหายใจ “เอาเื่ตรงหน้าก่อนเถอะ”
สวี่เยว่แอบมองสวี่ต้าซานแล้วพูดว่า “พ่อไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ จะคืนของขวัญกับเงินให้สกุลลู่ไม่ใช่เื่ยาก”
สวี่ต้าซานมองเธออย่างเ็า “ลูกมีวิธีดี ๆ เหรอ?”
แม้ว่าเขาจะโกรธลูกสาวคนโต แต่เขาโกรธภรรยากับลูกสาวคนเล็กมากกว่า
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเธอ เื่ก็คงไม่วุ่นวายขนาดนี้
สวี่เยว่พูดอย่างอ่อนแอ “หนูไม่ได้ขโมยเงินพี่สาว เงินรางวัลสามพันหยวนยังอยู่ที่พี่ รวมกับเงินสองพันที่พี่สาวหลอกเอาจากแม่ พี่จะมีเงินอย่างน้อยห้าพันหยวน ถ้าพ่อให้พี่สาวคืนเงินให้สกุลลู่ได้มันก็ไม่ยากเลย”
สวี่ต้าซานฟังแล้วก็เงียบ สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
สวี่ฮุ่ยติวหนังสือให้เด็กมัธยมปลายจนถึงห้าโมงเย็นกว่าจะเสร็จ
เมื่อเธอกลับถึงบ้าน สวี่เยว่อ้างว่าจะออกไปเดินเล่น เธอเดินออกไปแล้วปิดประตูบ้าน
สวี่ฮุ่ยมองอย่างเมินเฉยให้กับสายตาของสวี่ต้าซานและอีกสองคนที่จ้องเธอตาเป็มัน
เธอเดินไปที่โต๊ะอาหารอย่างใจเย็น เตรียมรินน้ำดื่ม
สวี่ต้าซานก็พูดขึ้น “ฮุ่ยฮุ่ย เอาเงินทั้งหมดที่ลูกมีมาให้พ่อใช้แก้ขัดหน่อย”
“แก้ขัดอะไร?” สวี่ฮุ่ยแกล้งถาม
สวี่ต้าซานบอก “อีกเจ็ดวัน เราต้องคืนเงินกับของขวัญให้สกุลลู่”
“เกือบสี่พันกว่าหยวน ที่บ้านเราหามาไม่ทัน พ่อก็เลยต้องมาขอความช่วยเหลือจากลูกนี่ล่ะ”
สวี่ฮุ่ยหัวเราะเยาะ “พวกคุณต่างหากที่ต้องคืนเงินสกุลลู่ ไม่ใช่ ‘พวกเรา’ กรุณาใช้คำให้ถูกต้องด้วย พวกคุณก่อเื่ไว้ก็จัดการกันเอง อย่ามาอยู่ดีมีสุขตอนไม่มีฉัน พอจะใช้เงินก็คิดถึงฉันเป็คนแรก!”
[1] ตื่นเช้ากว่าไก่ นอนดึกกว่าหมา เป็การเปรียบเปรยถึงการทำงานอย่างหนักหน่วงและเหน็ดเหนื่อย โดยสื่อถึงชีวิตที่ต้องตื่นเช้าก่อนไก่ขันและทำงานจนดึกดื่นเกินเวลาที่สุนัขหลับไปแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างเต็มที่แต่บางครั้งอาจยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง