ซวนหยวนจวิ้นมีประสาทััที่ว่องไวและเฉีบยคม จึงรู้ว่าเย่เฟิงที่อยู่ไม่ไกลกำลังมองมาที่เขา เขาเองก็มองเย่เฟิงด้วยสายตาคมกริบเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าเย่เฟิงอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ไม่นานซวนหยวนจวิ้นก็ละสายตาไปจากเย่เฟิง พร้อมเผยท่าทีดูแคลน แต่ตอนที่เขาหันไปเห็นหลันเซียงที่อยู่ข้าง ๆ เย่เฟิง เขาก็อดตาลุกวาวไม่ได้ พร้อมกับรู้สึกประหลาดใจ
หลันเซียงสวยงดงามอย่างยิ่ง โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าคู่นั้น ช่างมีเสน่ห์เป็อย่างมาก
แม้แต่อัจฉริยะอย่างซวนหยวนจวิ้นที่เห็นหลันเซียงก็อดไม่ได้ที่จะหยุดมองอยู่นาน นาทีต่อมาซวนหยวนจวิ้นเดินไปทางที่เย่เฟิงและหลันเซียงอยู่ ก่อนจะยิ้มให้หลันเซียง “แม่นางท่านนี้คงจะเป็ศิษย์เทียนเซียงหลิน ข้าซวนหยวนจวิ้น อยากสอบถามเื่เทพธิดาหนิงเซียงสักหน่อย ตอนนี้นางอยู่ที่เทียนเซียงหลินหรือไม่?”
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นของหลันเซียงเหลือบมองไปที่ซวนหยวนจวิ้นแวบหนึ่ง ด้วยท่าทีสงบนิ่งเช่นเคย ก่อนตอบกลับไปว่า “ข้าเพิ่งกลับมาจากข้างนอก จึงไม่รู้สถานการณ์ของศิษย์พี่หนิงเซียง เ้าไปถามคนอื่นเถอะ!”
ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น หลันเซียงหันไปมองเย่เฟิงที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมระบายรอยยิ้มที่สวยงาม ซึ่งตรงกันข้ามกับท่าทีเฉยเมยที่ปฏิบัติต่อซวนหยวนจวิ้นเมื่อครู่ “คุณชายเย่ การบุกด่านกำลังจะเริ่มแล้ว เ้ากับข้าไปข้างหน้ากันเถอะ”
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า ก่อนทั้งสองคนจะเดินผ่านซวนหยวนจวิ้นไป
“บังอาจทำเช่นนี้น่ะหรือ”
ซวนหยวนจวิ้นเห็นหลันเซียงทำตัวเ็าใส่เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ เขาหมุนตัวไปเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือก พร้อมสีหน้าโกรธเกรี้ยว เขาคืออัจฉริยะผู้โดดเด่น แต่หลันเซียงกลับเมินเขาต่อหน้าผู้คนมากมายและไปสนใจมดปลวกที่มีตบะต่ำต้อย นี่ทำให้เขารู้สึกโกรธมาก ถึงอย่างไรตัวตนของเขาก็เป็ที่ประจักษ์ การถูกกระทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าถูกหลันเซียงกับเย่เฟิงตบหน้าทางอ้อม
“ไร้มารยาท กล้าดียังไงเพิกเฉยต่อคำพูดของพี่ซวนหยวน? คิดว่าตัวเองสูงส่งนักหรือไง? ยามกลางคืนไม่ใช่ว่าเสพสุขกับผู้อื่นหรอกหรือ?”
ชายผู้หนึ่งที่มากับซวนหยวนจวิ้นเห็นเย่เฟิงและหลันเซียงไม่ไว้หน้าซวนหยวนจวิ้นก็กล่าวเช่นนั้น พร้อมมองพวกเย่เฟิงด้วยสายตาดูถูก แม้เสียงของเขาจะเบา แต่ประสาทััของผู้ฝึกยุทธ์ว่องไวและเฉียบคม เย่เฟิงกับหลันเซียงย่อมได้ยินสิ่งที่เขากล่าวออกมาทั้งหมด
คำพูดของชายผู้นั้นถือว่าแรงมาก ทำให้หลันเซียงหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่หลันเซียงระงับอารมณ์เอาไว้และเดินไปข้างหน้าต่อ เย่เฟิงก็เช่นกัน จุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือช่วยชิงเซียง จึงไม่อยากมีเื่
“สนใจพวกเขาไปไย? ก็แค่สวะขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 กับผู้หญิงที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงก็เท่านั้น”
ขณะเดียวกันมีคนผู้หนึ่งเดินมาทางพวกซวนหยวนจวิ้นสองคน ก่อนกล่าวเช่นนั้น ซึ่งคนผู้นี้พูดอย่างเปิดเผย ทำให้ผู้คนในที่แห่งนั้นได้ยินอย่างชัดเจน และไม่เห็นพวกเย่เฟิงอยู่ในสายตา ทั้งยังทำให้หลาย ๆ คนตาเผยประกายคมกริบ ซวนหยวนจวิ้นไม่ใช่คนที่ใครจะล่วงเกินตามใจได้ อย่างน้อยคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายซวนหยวนจวิ้นก็ไม่ใช่คนที่จะยั่วยุได้
ดวงตาของเย่เฟิงพลันสาดประกายคมกริบ แม้เขาไม่อยากมีเื่ แต่ตอนนี้เขาอดทนต่อไปไม่ได้แล้ว จู่ ๆ เห็นแสงพุ่งออกจากสองนิ้วของเย่เฟิง ซึ่งพุ่งไปทางสองคนนั้นที่พูดจาเหยียดหยามเมื่อครู่นี้
“ฟิ้ว ๆ!” เสียงสองสายดังขึ้น นาทีนี้ผู้คนได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นสองสาย จากนั้นพวกเขาเห็นสองเงาร่างยกมือปิดปากตน พร้อมดิ้นทุรนทุรายด้วยความเ็ป ทั้งยังมีเืซึมออกจากง่ามนิ้วของพวกเขา
“เกิดอะไรขึ้น? เมื่อครู่ยังดี ๆ อยู่เลย ใครกันที่ลงมือ?” ผู้คนไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 สองคนถูกตบปาก มันช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
แม้ผู้อื่นจะมองไม่เห็น ทว่าซวนหยวนจวิ้นกลับเห็นชัดเจน สีหน้าของเขาจึงอึมครึมลงฉับพลัน สองคนนี้มากับเขา แต่บัดนี้ถูกเย่เฟิงตบต่อหน้าสาธารณชน นี่ก็เท่ากับตบหน้าเขาเช่นกัน แล้วเขาจะทนได้อย่างไร?
เย่เฟิงเดินไปข้างหน้าไม่หยุด แม้ตอนที่ลงมือก็ไม่หันหลังไปดูแม้แต่น้อย พลังเคล็ดวิชาช่างน่าทึ่งยิ่งนัก
“หยุดนะ!” เสียงของซวนหยวนจวิ้นพลันดังขึ้นที่ข้างหลัง นี่ทำให้ผู้คนนิ่งอึ้งและไม่รู้ว่าซวนหยวนจวิ้นกำลังพูดอยู่กับใคร แต่เมื่อมองตามสายตาของซวนหยวนจวิ้น พวกเขาก็เห็นว่าเป็เย่เฟิง จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หรือผู้ที่ตบปากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 สองคนนั้นก็คือเย่เฟิง?
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เหยียดยิ้มเ็า แต่เขายังคงเดินหน้าไม่หยุด ซึ่งเป็ย่างก้าวที่สงบนิ่ง
“สวะ เ้าไม่ได้ยินที่พี่ซวนหยวนพูดหรือไง? หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” สายตาของผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายซวนหยวนจวิ้นเผยประกายเย็นเยือก ก่อนจะเดินไปข้างหน้าและกล่าวกับเย่เฟิงเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงเ็า
“วันนี้มันเป็วันอะไร ถึงชอบมีสุนัขเห่าอยู่เรื่อย!” เย่เฟิงกล่าวโดยไม่หันไปมอง
“แกว่งเท้าหาเสี้ยน!”
ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็ะเิโทสะฉับพลัน พลังปราณพวยพุ่งออกจากร่าง จากนั้นเหวี่ยงหมัดเข้าโจมตี ซึ่งรังสีหมัดอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้าง และ้าปลิดชีวิตของเย่เฟิงในคราเดียว
ดวงตาของเย่เฟิงส่องประกายเย็นเยือก พลันเคล็ดวิชาหล่อกายาเทพาโคจรภายในร่าง ก่อนจะมีเกราะเทพาหุ้มร่างเขา พร้อมเรืองแสงแห่งาอันเจิดจ้า เขาไม่คิดจะหลบหนีแต่อย่างใด และตามมาด้วยเสียงดังปัง รังสีหมัดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นอัดกระแทกร่างเย่เฟิงเต็ม ๆ ทำให้เขาส่งเสียงโอดครวญ
เสียงกรีดร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นที่โจมตีเย่เฟิงกระเด็นไปกองกับพื้น ก่อนจะกระอักเืและหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ เมื่อครู่นี้เขารู้สึกว่ารังสีหมัดของตนไม่ได้โจมตีมนุษย์ แต่เป็ภูผาลูกมหึมาที่มิอาจสั่นคลอน ทำให้เขารู้สึกตัวหดเล็กลง กระทั่งเป็หญ้าต้นน้อย ๆ บนภูผาที่สายลมพัดเพียงเล็กน้อยก็นำหายนะมาสู่เขาได้แล้ว
พลังทำลายล้างกัดกร่อนร่างเขา ทำให้เขามิอาจทนการกัดกร่อนจากพลังสะท้อนกลับที่ทรงอานุภาพนั่นได้ ดังนั้นเขาจึงได้รับาเ็สาหัสจากการสะท้อนกลับของพลังหมัดตัวเอง กระทั่งเกือบคร่าชีวิตของเขา ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ถึงกับทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นไม่กล้าดูถูกเย่เฟิงอีกต่อไป
“แกร่งมาก!” ผู้คนรอบข้างต่างต้องตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
เย่เฟิงเผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 โดยใช้พลังกายบริสุทธิ์เข้าต่อต้าน เย่เฟิงไม่เป็ไร แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 กลับเป็ฝ่ายาเ็สาหัส พวกเขาไม่เคยเห็นพลังกายของผู้ใดที่แข็งทนทานเพียงนี้มาก่อน เรียกได้ว่าวิปริตผิดมนุษย์มนา ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเย่เฟิงอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ซึ่งต่ำกว่าอีกฝ่ายถึงสองระดับ เื่พลังจึงไม่จำเป็ต้องอธิบายใด ๆ
“เ้ากล้าดียังไงทำร้ายเขา?”
ซวนหยวนจวิ้นเห็นเย่เฟิงอาศัยเพียงพลังกายทำให้ร่างผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 กระเด็นปลิว เขาก็ต้องใเล็กน้อย ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปฉายอย่างเ็ากว่าเดิม พร้อมกล่าวเช่นนั้นกับเย่เฟิง
ครั้งนี้เย่เฟิงหยุดเดิน เขาหันไปมองซวนหยวนจวิ้น ก่อนจะกล่าวว่า “เขาโจมตีข้าก่อน แต่สุดท้ายก็ทำลายการป้องกันของข้าไม่ได้ เขาถึงกระเด็นไปแบบนั้นไงล่ะ แต่เ้ากลับหาว่าข้าทำร้ายเขา มันไม่ตลกไปหน่อยหรือ?”
ผู้คนรอบข้างได้ยินเช่นนั้นก็แอบพยักหน้าเห็นด้วย เป็อย่างที่เย่เฟิงพูดมาจริง ๆ เมื่อครู่คนผู้นั้นหาเื่ใส่ตัวเอง แล้วจะพาลมาโกรธเย่เฟิงได้อย่างไร?
แววตาของซวนหยวนจวิ้นฉายอย่างเย็นเยียบ เขาคืออัจฉริยะผู้โดดเด่น ผู้คนในที่แห่งนี้ต่างก็เคารพนับถือเขา เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองจะโดดเด่นที่สุดในการฝ่าด่านทั้งสามของเทียนเซียงหลิน ได้รับความสรรเสริญจากผู้คน ทว่าเขากลับได้รับความอับอายขายหน้าทั้งที่การฝ่าด่านยังไม่ทันเริ่มด้วยซ้ำ เช่นนั้นเขาจะกล้ำกลืนฝืนทนได้อย่างไร เขาต้องสั่งสอนเย่เฟิงด้วยบทเรียนราคาแสนแพงให้จงได้ จึงจะขจัดโทสะที่อยู่ในใจของเขาออกไป
“ไม่ว่าจะพูดยังไง เ้าก็คือคนที่ทำร้ายคนของข้า เ้าต้องให้คำอธิบายกับข้า?”
ซวนหยวนจวิ้นเอาสองมือไพล่หลัง พลางยืดอกเชิดหน้า ซึ่งยามปกติเขามักจะเป็เช่นนี้ และในฐานะที่เขาเป็อัจฉริยะชั้นยอดแห่งสำนักซวนหยวน เขาก็ย่อมมีสิทธิ์นี้
“เ้า้าคำอธิบายอะไร?” เย่เฟิงเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว
“ต่อหน้าซวนหยวนจวิ้น ไม่ว่าชายผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด สุดท้ายก็ต้องยอมก้มหัว เพราะทั้งสองคนอยู่คนละชั้นกัน หากซวนหยวนจวิ้นอยากจัดการชายผู้นั้น เกรงว่าเพียงดีดนิ้วก็ทำได้แล้ว เพราะฉะนั้นการประนีประนอมจึงเป็หนทางเดียวที่เขาจะเลือกได้”
ผู้คนเห็นเย่เฟิงเป็ฝ่ายซักถามซวนหยวนจวิ้นก่อนต่างก็เผยสีหน้ากระจ่าง และคิดว่าเย่เฟิงต้องเลือกที่จะก้มหัวให้ซวนหยวนจวิ้น
“ทำลายตบะของตัวเอง แล้วไสหัวออกไปจากที่นี่ ถือซะว่าข้าไว้ชีวิตเ้า หาไม่แล้วก็จงรับผลที่จะตามมา!”
ซวนหยวนจวิ้นมีความคิดเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ซึ่งคิดว่าเย่เฟิงอาจประนีประนอม ดังนั้นซวนหยวนจวิ้นจึงมีท่าทีได้ใจ ราวกับรอเย่เฟิงยอมรับการลงโทษของเขา
