บนท้องฟ้าเหนือทวีปดารา หลี่หวงยืนลูบศีรษะของหลี่ชิง องค์หญิงคนที่ 14 แห่งราชวงศ์เพลิง์ด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะถามคำถามที่ก่อให้เกิดความเงียบงันในบรรดาองค์หญิงทั้งสาม
“พวกเ้าจำชื่อของบิดาของพวกเราได้ไหม?”
หลี่ถิง องค์หญิงคนที่ 6 ซึ่งคุกเข่าอยู่ข้างหน้าหลี่หวงตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “องค์จักรพรรดิรุ่นที่ 12… เขามีพระนามว่า…” หลี่ถิงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของนามเต็มไปด้วยสับสนราวกับกำลังค้นหาคำตอบที่ไม่มีอยู่ในความทรงจำ “ขออภัยฝ่าา หม่อมฉัน…จำไม่ได้เ้าค่ะ”
หลี่เซียน องค์หญิงคนที่ 7 กล่าวขึ้นพร้อมกัน “ข้าก็จำไม่ได้เหมือนกันเ้าค่ะ”
หลี่ชิงที่กอดหลี่หวงแน่น หันหน้าขึ้นมามองหลี่หวงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า “ข้าเองก็ไม่เคยเห็นหน้าท่านพ่อเลยสักครั้งเดียว… ท่านพี่”
หลี่หวงคิดถึงคำถามและเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วมารดาของพวกเ้า… จำชื่อหรือหน้าตาของพวกนางได้บ้างหรือไม่?”
องค์หญิงทั้งสามคนต่างมีสีหน้าที่หนักอึ้ง ขณะที่พวกนางพยายามนึกทบทวนความทรงจำเก่า ๆ แต่ก็ราวกับมีม่านหมอกปกคลุมจนไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดใดๆ ได้เลย ความทรงของพวกนางเลือนรางจนไม่มีอะไรเหลือให้นึกถึงได้เลย
“พวกเราจำอะไรเกี่ยวกับท่านแม่ไม่ได้เลยเ้าค่ะ…” หลี่ถิงตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือ
หลี่หวงคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจบางสิ่งได้แล้ว “ข้าจะค้นหาิญญาของพวกเ้า ตกลงไหม?”
แม้ว่าความกลัวจะปรากฏชัดบนใบหน้าของพวกนาง แต่ทั้งสามก็พร้อมใจกันตอบตกลง หลี่ชิงที่ยังคงกอดหลี่หวงอยู่กล่าวขึ้น “ได้เลยท่านพี่…”
หลี่ถิงและหลี่เซียนก็โค้งศีรษะอย่างรวดเร็ว “หม่อมฉันยินดีเ้าค่ะ ฝ่าา”
หลี่หวงหลับตาลงและเริ่มปล่อยพลังิญญาแ่เบา กระแสพลังอันนุ่มนวลแผ่ไปสู่จิตใจของพวกนางทั้งสาม ความทรงจำที่ลึกสุดของพวกนางถูกดึงขึ้นมาเป็ภาพเคลื่อนไหวที่เห็นไม่ชัดเจน ภาพเงาของหญิงงามหลายคนปรากฏขึ้นในเงามืด แต่ไร้ใบหน้าและรายละเอียดที่ชัดเจน ราวกับพวกนางถูกปกคลุมด้วยพลังบางอย่าง
แต่ทว่า ขณะที่หลี่หวงพยายามตรวจสอบความทรงจำที่ถูกบดบังอยู่นั้น พลังบางอย่างก็ปะทุออกมาจากร่างของหลี่ชิง องค์หญิงคนที่ 14 แห่งราชวงศ์เพลิง์ หลี่หวงััได้ถึงแรงปะทะที่แทรกผ่านพลังิญญาของเขาโดยไม่ทันตั้งตัวจนกระทั่งเขาต้องพ่นเืออกมาเล็กน้อย การค้นหาิญญาหยุดชะงักลงในทันที พลังประหลาดนี้ไม่เพียงแต่หยุดยั้งเขาแต่ยังเป็การเตือนราวกับว่ามีบางอย่างหรือใครบางคนไม่้าให้เขาตรวจสอบเื่นี้
หลี่หวงแทบไม่ได้ข้อมูลอะไรที่มีประโยชน์เลย นอกจากความทรงจำอันเลือนรางขององค์หญิงทั้งสามคน ราวกับว่าความทรงจำเ่าั้ถูกปิดผนึกเอาไว้ด้วยเจตนาที่ไม่้าให้ใครค้นพบมัน แต่เขาก็มีการคาดเดาบางอย่างในใจแล้ว
หลี่หวงพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามในใจ “ระบบ เ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงไม่สามารถมองเห็นหน้าพวกเขาได้? แล้วเ้าพอจะช่วยให้ข้ามองเห็นพวกเขาได้บ้างไหม?”
ระบบตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย [ระดับการบ่มเพาะของท่านยังต่ำเกินไปที่จะฝ่าฝืนพลังที่ปิดกั้นความทรงจำนั้นได้ และหากท่าน้าความช่วยเหลือจากระบบ ท่านต้องอัปเกรดระบบเป็ระดับ 7 อย่างน้อย]
หลี่หวงเช็ดเืออกจากริมฝีปากแล้วมองไปยังหญิงสาวสามทั้งสามคน ก่อนที่เขาจะหยิบหนังสือจักรพรรดิออกมาและยื่นให้กับพวกนางทั้งสามคนพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “พวกเ้าจงเขียนชื่อตัวเองลงในหนังสือนี้ด้วยเืของพวกเ้าเองซะ”
องค์หญิงทั้งสามมองหน้ากันด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่หลี่ชิงก็เป็คนแรกที่ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล นางกัดนิ้วของตนจนเืไหลแล้วเขียนชื่อลงบนหนังสือจักรพรรดิ จากนั้นนางก็ยื่นหนังสือให้กับหลี่ถิงและหลี่เซียน ทั้งสองกัดนิ้วตนเช่นกันและเขียนชื่อลงไปตามคำสั่ง เมื่อพวกนางเขียนเสร็จ หนังสือจักรพรรดิก็หายกลับไปสู่มือของหลี่หวงทันที
หลี่หวงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “พวกเ้า้าที่จะใช้ชีวิตเช่นไรต่อจากนี้?”
หลี่ถิง องค์หญิงคนที่ 6 ตอบด้วยความมั่นใจ “ข้าปรารถนาจะเข้าร่วมกองทัพเ้าค่ะฝ่าา”
หลี่เซียน องค์หญิงคนที่ 7 กล่าวด้วยเสียงที่แน่วแน่ “ข้า้าใช้ความรู้ที่มีเพื่อช่วยเหลือราชวงศ์เ้าค่ะ”
หลี่ชิง องค์หญิงคนที่ 14 ที่กอดหลี่หวงเอาไว้แน่นและเอ่ยด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ข้าอยากฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้น ข้า้าปกป้องท่านพี่ทุกคน”
หลี่หวงรับฟังด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เขาพยักหน้าพร้อมคิดบางอย่างในใจและพูดขึ้น “เมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าจะส่งพวกเ้าไปทำงานยังหน่วยงานต่างๆ”
แต่แล้ว ทันใดนั้นเอง แรงสั่นะเือันทรงพลังก็เกิดขึ้นไปทั่วท้องฟ้าและพื้นดิน แรงสั่นะเืนั้นรุนแรงราวกับว่าทั้งโลกกำลังจะะเิออก หลี่หวงและองค์หญิงทั้งสามคนหันไปมองหาต้นกำเนิดของแรงสั่นะเืนั้นทันที ท้องฟ้าและพื้นดินที่สั่นสะท้านด้วยพลังิญญาที่บริสุทธิ์และอุดมสมบูรณ์ที่สุดที่เท่าที่พวกเขาเคยััมาก่อน แม้แต่ในทวีประดับสูงอย่างทวีปจันทราขาวเองก็ไม่มีพลังิญญาที่มากมายและบริสุทธิ์ขนาดนี้
“พลังิญญาอันมหาศาล… มันเป็สัญญาณของบางอย่างสินะ” หลี่หวงมองไปยังทิศทางของพลังนั้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังทวีปดารา ที่ซึ่งเป็สถานที่ที่พลังิญญาปะทุออกมา
เมื่อหลี่หวงััได้ถึงพลังที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงจากทวีปดารา เขาตัดสินใจพุ่งตรงไปยังต้นกำเนิดของพลังนั้นทันทีโดยไม่ลังเล เขาทิ้งรถม้าและหญิงสาวทั้งสามคนเอาไว้เื้ัทันที หญิงสาวทั้งสามต่างมีสีหน้าที่งุนงง ก่อนที่ชายผู้ที่เป็คนขับรถม้าและเป็สมาชิกของกองทัพบัลลังก์ทองคำจะหันมาพูดด้วยกับพวงนางด้วยความเคารพ
“องค์จักรพรรดิทรงมีภารกิจสำคัญที่ต้องรีบไปจัดการ ข้าจะพาพวกท่านเดินทางไปยังเมืองหลวงของราชวงศ์เพลิง์ เพื่อพบกับท่านจือหยวนก่อน โปรดให้ความร่วมมือด้วยขอรับ”
หญิงสาวทั้งสามคน พยักหน้าและขอบคุณชายคนนั้น ขณะเดียวกัน ภายในสวนลึกที่สุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีม่วง ซึ่งเป็พื้นที่ที่ดูเหมือนว่าเวลาในนี้จะถูกหยุดนิ่งเอาไว้และที่นั่นมีโลงศพเรียงรายกันอยู่นับสิบโลงและโลงศพแต่ละโลงถูกปกคลุมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังเป็อย่างมาก ภายในโลงศพโลงหนึ่ง เสียงหัวเราะแหบแห้งของชายผู้หนึ่งดังขึ้นอย่างมีความสุข
“ฮ่าๆ ในที่สุด มันก็เริ่มขึ้นแล้ว ในที่สุดข้าจะได้ออกจากโลงศพนี้เสียที…เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว!”
ทันใดนั้น เสียงที่ทรงอำนาจอีกเสียงก็ดังแทรกขึ้น “ถ้าเ้าพูดอีกคำเดียว ข้าจะทำให้เ้านอนในโลงศพนี้ไปชั่วนิรันดร์”
เสียงในโลงศพนั้นเงียบกริบลงในทันที ก่อนจะตอบกลับอย่างหวาดกลัว “ขอโทษด้วย ศิษย์พี่ ข้าดีใจมากเกินไป”
ในขณะเดียวกัน ทั่วทั้งทวีปจักรพรรดิจันทราสีม่วง บรรดาผู้นำและกองกำลังมากมายต่างรู้สึกถึงการปะทุของพลังิญญาอันทรงพลัง เมื่อพวกเขาพยายามตามหาต้นกำเนิดของพลังที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไปนั้น พลังดังกล่าวก็กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชายชราผู้หนึ่งจากนิกายโบราณกล่าวขึ้นอย่างงุนงง “เป็ไปได้อย่างไร ข้าััถึงมันได้อย่างชัดเจน แต่ภายในเวลาไม่นานข้ากลับไม่สามารถหาตำแหน่งมันได้แล้ว!”
ในตระกูลที่ทรงอำนาจแห่งหนึ่ง ผู้าุโที่มีการบ่มเพาะถึงระดับกึ่งจักรพรรดิกำชับคนในตระกูลด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ส่งคนของเราออกไปตรวจสอบที่มาของพลังิญญานั้นโดยด่วน ข้า้ารู้ว่ามันมาจากที่ไหน”
บนยอดเขาสูงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีม่วง สายลมเย็นะเืพัดผ่านไปทั่วบริเวณ เสียงพูดคุยของศิษย์กับอาจารย์สองคนดังกังวานท่ามกลางความเงียบงัน
“ท่านอาจารย์ พวกเราไม่จำเป็ต้องไปแย่งชิงเส้นเืิญญานั่นจริง ๆ หรือ?” ชายหนุ่มผู้เป็ศิษย์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกระตือรือร้นและสงสัย
ชายชราในชุดคลุมสีเข้มที่นั่งสมาธิอยู่อย่างสงบนิ่ง ลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ทรงอำนาจ “สิ่งของเล็กน้อยเช่นนั้น ให้กองกำลังอ่อนแอและต่ำต้อยแย่งชิงกันเองเถิด ระดับของพวกเราย่อมไม่ควรลดตัวลงไปแย่งชิงสิ่งเ่าั้กับพวกเขา และเ้าเองก็เตรียมตัวเถิด อีกไม่นาน ความวุ่นวายก็จะเริ่มขึ้นแล้วนะ”
ศิษย์หนุ่มได้ยินคำตอบพลันหัวเราะเสียงต่ำในลำคออย่างเย้ยหยัน “ข้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุด ในสายตาของข้าไม่มีมดปลวกพวกนั้นอยู่เลยด้วยซ้ำ ท่านอาจารย์” แววตาของเขาเปล่งประกายด้วยความหยิ่งผยองราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะเทียบเคียงเขาได้แล้ว
ชายชรามองดูศิษย์ของตัวเองด้วยรอยยิ้มจาง ๆ แต่เต็มไปด้วยความภูมิใจ “เ้ามีความสามารถมากพอที่จะหยิ่งผยอง มันเป็สิทธิ์ของเ้า แต่เ้าอย่าตายน้ำตื้นก็แล้วกัน”