มือนั้นหนักถึงพันจิน ทั้งยังทรงพลังจนแหลกภูผาทลายปฐีได้เลยทีเดียว มันพุ่งฝ่าสายลมหวีดหวิวไปยังชายชุดดำแล้ว
“คนธรรมดาเยี่ยงเ้า บังอาจจะมาปลิดชีพเทพงั้นรึ” ชายชุดดำทำราวกับมองไม่เห็นท่อนแขนขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้ามาหา
เมื่อนำไปเทียบกับกิ่งไม้ขนาดใหญ่นั่นแล้ว ร่างเล็กๆ ของเขาก็แลดูเล็กจ้อยสิ้นดี แต่ร่างที่ยืนตระหง่านนั้นกลับแลดูทรงพลัง ราวกับเื้ัของเขามีโลกอีกใบคอยสนับสนุนอยู่เช่นนั้น
เสียงที่เบาหวิวแต่ก็คล้ายเป็คำสั่งบางอย่างดังขึ้น พลันแขนขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงเข้ามาโจมตีก็หยุดอยู่ในจุดที่ห่างจากร่างสีดำเพียงไม่ถึงคืบเท่านั้น ราวมีหอคอยขนาดใหญ่ขวางกั้นระหว่างท่อนแขนกับร่างในชุดดำอยู่เช่นนั้น กิ่งไม้นั้นไม่สามารถขยับเข้าไปใกล้มากกว่านี้ได้อีกแล้ว
มนุษย์ต้นไม้รู้สึกตกตะลึงเป็อย่างมาก เขาเป็ปีศาจต้นไม้มานานเกือบสี่ร้อยปี มีพลังอยู่ในระดับปราบิญญาแล้ว บวกกับตอนนี้พวกเขาก็อยู่กลางเขาโยวหยุนที่เต็มไปด้วยพืชพรรณคับคั่ง ต่อให้อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน ก็ไม่อาจรับการโจมตีของตนได้โดยไม่ได้รับาเ็แม้แต่น้อยอย่างแน่นอน แต่ชายชุดดำตรงหน้ากลับรับการโจมตีของตนได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้
หรือเขาจะเป็นักรบแห่งดาราจักร? มนุษย์ต้นไม้คิดขึ้นในใจ
เขาเป็ปีศาจต้นไม้มาสี่ร้อยปี แต่เขาเริ่มมีความรู้สึกนึกคิด และเริ่มจำความได้มาก่อนหน้านี้เสียอีก ในตอนที่เขายังเป็เพียงต้นไม้ธรรมดา เขาก็จำความได้แล้ว เมื่อลองมาคิดๆ ดู นี่ก็ผ่านมานานถึงพันปีแล้ว พันปีที่ผ่านมา เขาเคยพบเจออะไรๆ มามาก แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าในโลกมีนักรบแห่งดาราจักรเช่นคนตรงหน้ามาก่อนเลย?
มนุษย์ต้นไม้ยกมือขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วเหวี่ยงทุบลงไปอีกที
เสียงที่ดังสนั่นราวเป็คำรามจากอัสนีดังก้องไปทั่ว
ตุ้บ!
เสียงหนึ่งดังกึกก้องขึ้น
มือทั้งสองข้างเอง ก็หยุดอยู่ในจุดที่ห่างจากร่างในชุดดำเพียงหนึ่งคืบเช่นเดิมเท่านั้น และไม่อาจขยับเข้าไปใกล้มากกว่านั้นได้อีกเช่นกัน
“ปีศาจต้นไม้อายุสี่ร้อยปี พอดีเลย จะได้ใช้เ้ามาหล่อเลี้ยงโลหิตเทพของข้า” ชายชุดดำยกยิ้มมุมปากอย่างอำมหิต พลันมือสีดำมากมายก็พุ่งออกมาจากร่างของชายชุดดำ แล้วพุ่งเข้าไปในร่างของมนุษย์ต้นไม้พร้อมกับคมเขี้ยวและกรงเล็บแหลม ดูราวกับฝูงอสรพิษที่พุ่งจู่โจมเป้าหมายไม่ผิดเพี้ยน
มนุษย์ต้นไม้อยากจะต่อต้าน แต่ก็ถูกอะไรบางอย่างควบคุมร่างกายเอาไว้ ทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
มนุษย์ต้นไม้จมเข้าสู่ความตะลึงงัน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เหลือ
มนุษย์ต้นไม้สามารถสังหารภูติผีปีศาจที่มีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราได้อย่างง่ายดายไม่ต่างไปจากหมูหมากาไก่ นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามนุษย์ต้นไม้คนนี้มีพลังที่น่าหวาดผวามากขนาดไหน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชายชุดดำแล้ว เขากลับไม่อาจทำได้แม้แต่ต่อต้านเลยงั้นรึ
เมื่อได้ประจักษ์กับความแข็งแกร่งของชายชุดดำ ความหวังที่เพิ่งเริ่มก่อตัวขึ้นของคนทั้งหลายก็ถูกทำลายลงอีกครั้ง
“ท่านปู่ต้นไม้!” หลิวต้าหงที่เห็นเหตุการณ์ร้อนใจจนแทบจะเป็บ้าอยู่แล้ว
ต้นตระกูลของเขาเคยอาศัยอยู่ในเมือง ในอดีต พวกเขาเคยปลูกต้นไม้เอาไว้ภายในสวนหนึ่งต้น และดูแลรักษามันอย่างดี จนเมื่อต้นไม้เติบโต พวกเขาก็มักจะมานั่งหลบร้อนใต้ร่มไทรในฤดูร้อน และใช้ใบไม้แห้งใต้ต้นขับไล่ความหนาวในยามหน้าหนาว
ต่อมาพวกเขาอพยพมาที่ดินแดนทางเหนือ ทว่าต้นไม้ต้นนั้นกลับโชคดี ฝึกตนจนกลายเป็ปีศาจต้นไม้ในที่สุด เมื่อสองร้อยปีก่อน มันตามหาทายาทรุ่นหลัง หรือก็คือคนในตระกูลของหลิวต้าหงจนเจอ และกลายเป็เทพที่คอยอารักขาตระกูลของเขามาโดยตลอด วันนี้ ที่หลิวต้าหงเรียกเขามา เพราะ้าให้ปีศาจต้นไม้ช่วยชีวิตตน แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะทำให้มนุษย์ต้นไม้ตรงหน้าเดือดร้อนเสียแล้ว
เขาทั้งรู้สึกผิดและหวาดกลัวไปในเวลาเดียวกัน แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แต่ทำอะไรไม่ได้เลย
บัดนี้ ใบไม้บนศีรษะของมนุษย์ต้นไม้เริ่มแห้งเหี่ยวด้วยความรวดเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังชีวิตของเขาก็ลดลงทุกครั้งที่มือสีดำทั้งหลายทะลวงผ่านร่าง แล้วกลับเข้าไปในร่างของชายชุดดำ ลมหายใจของเขาอ่อนแรงและเหือดแห้งลงเรื่อยๆ เพียงพริบตาเดียว ใบไม้บนศีรษะของเขาก็แห้งเหี่ยวไปมากกว่าครึ่งแล้ว
“ร้อยอสูรออกล่า!” ชายชุดดำเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง
เสียงนั้นราวเป็เสียงสั่งิญญา ทุกครั้งที่มันดังขึ้น สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นเป็เท่าตัว และบีบให้กลุ่มคนดำดิ่งลงสู่เส้นทางแห่งความตายมากขึ้นเรื่อยๆ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายมีพลังอยู่ในระดับอรุณรุ่งแล้ว แม้แต่หลิวต้าหงกับกู่เซี่ยนจวินที่มีระดับพลังสูงส่งมากที่สุดในกลุ่มก็ยังด้อยกว่าพวกมันเลย ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเ้าพวกนี้มีกันมากเฉียดร้อยตัวเลยทีเดียว
สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เงาแห่งความตายพากันถาโถมเข้ามาหาราวกับคลื่นั์ แม้พวกเขาจะถืออาวุธเอาไว้ในมือกันทุกคน แต่กลับไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปข้างหน้าอีกแล้ว พวกเขาได้เพียงมองดูสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายขยับเข้ามาใกล้อย่างเงียบงัน สุดท้าย พวกเขาก็ไม่มีความกล้าที่จะก้าวออกไปตอบโต้อีกแล้ว
ซูฉางอันยังคงพยายามดึงดาบออกมาอย่างสุดแรง เขายังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจลงง่ายๆ แน่
เขาไม่ใช่คนกล้าหาญอะไรมากมาย ทั้งยังไม่อยากตายมากกว่าใครๆ เลยด้วย และเพราะยังไม่อยากตาย เขาจึง้าจะตอบโต้กลับไป เขาไม่ยอมแพ้ แม้ต้องตายด้วยเงื้อมือของสิ่งชั่วร้ายที่หน้าตาอัปลักษณ์เหล่านี้ในวินาทีต่อไป แต่แค่วินาทีนั้นยังมาไม่ถึง เขาก็จะไม่ยอมแพ้ จะตอบโต้และต่อต้านให้ถึงที่สุดเลย
การโจมตีของสิ่งชั่วร้ายเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง กู่เซี่ยนจวินกับหลิวต้าหงยืนอยู่ด้านหน้าสุด แม้พวกเขาจะมีพลังเพียงระดับเก้าดารา แต่อย่างไรเสีย กู่เซี่ยนจวินก็เป็ถึงโหวเยของจวนอ๋อง ทั้งเื่ของพลังและการฝึกฝน หรืออาวุธภายในมือต่างก็เป็ของดีไม่ธรรมดาทั้งนั้น ดังนั้น แม้คู่ต่อสู้จะมีพลังอยู่ในระดับเก้าดารา แต่นางก็ยังสามารถรับมือได้ ทางด้านหลิวต้าหงเอง เพราะท่องยุทธภพมานาน จึงมีประสบการณ์โชกโชน ทำให้พอจะสามารถรับมือกับสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายได้เช่นกัน
แต่คนอื่นๆ ไม่ได้โชคดีแบบทั้งสอง พวกเขามีพลังอยู่เพียงระดับหลอมจิต ซึ่งด้อยกว่าพลังระดับอรุณรุ่งของสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้มากเหลือเกิน ความแตกต่างระดับนี้ มากจนไม่อาจทดแทนด้วยความสามารถและสิ่งนอกกายอื่นๆ ได้อีกแล้ว เหตุนี้ พวกเขาจึงจมเข้าสู่เหวแห่งความอันตรายในพริบตา
ทางด้านกู่หนิงกับพวกยิ่งแล้วใหญ่ เพราะนอกจากจะมีพลังอยู่เพียงระดับหลอมจิตแล้ว พวกเขายังมีประสบการณ์น้อยจนน่าสงสารอีกด้วย ทำได้เพียงหลบอยู่หลังกู่เซี่ยนจวินและหลิวต้าหงเท่านั้น แต่ยอดฝีมือทั้งสองเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว จะมีเวลามาสนใจพวกเขาอีกได้อย่างไร
ผีสาวผมยาวชุดแดงตัวหนึ่งสบโอกาส รีบอ้อมไปหยุดอยู่ตรงหน้ากู่หนิงกับพวกทันที
นางส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าสยดสยอง ก่อนเส้นผมยาวเหยียดของนางจะกลายเป็เข็มแหลมที่พุ่งถาโถมเข้าโจมตีกลุ่มคนทันที
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน กู่หนิงกับพวกมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทันที ต่างก็ปลดปล่อยกำลังภายในที่มีออกไปต้านอย่างสุดกำลัง ทว่าพลังระดับหลอมจิตของพวกเขาน่ะหรือจะต้านสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ได้ เพียงครั้งเดียว พวกเขาก็ถูกซัดจนร่างกระเด็นออกไปร่วงลงตรงหน้าซูฉางอันที่ซ่อนอยู่ด้านหลังสุดของขบวนเสียแล้ว ซูโม่ที่มีร่างกายอ่อนแอมากที่สุดกระอักเืคำโตออกมา พลันเืสดก็กระเด็นไปเปื้อนใบหน้าของซูฉางอันและดาบของเขา...
เืที่ระอุไปด้วยความร้อนกระเด็นเข้าไปในดวงตาของซูฉางอัน ให้ความรู้สึกราวนั่นเป็เหล็กที่ถูกความร้อนหลอมจนละลายเช่นนั้น วิสัยทัศน์ของเขาพร่ามัวไปหมด เขามองดูคนทั้งสี่ที่ล้มระเนระนาดอยู่ตรงหน้าตน พวกเขาหลับตาพริ้ม ท่าทางระทมขมขื่นราวกับตายทั้งเป็
“โม่โม่... สหายกู่...จี้เต้า... ลิ่นหยู...” ซูฉางอันเรียกคนทั้งสี่ด้วยเสียงที่เบาและสั่นเครือ ราวกลัวว่าจะปลุกให้บางอย่างตื่นขึ้นมา แต่ก็เหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่าง
เขาไม่ได้รับการตอบรับกลับมา จึงรู้สึกตื่นตระหนกเป็อย่างมาก
“โม่โม่... สหายกู่... จี้เต้า... ลิ่นหยู...” เขาส่งเสียงเรียกขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับใดๆ กลับมาเช่นเดิม
เขาหวนนึกถึงเมืองฉางอัน นึกถึงสำนักฉางเหมิน นึกถึงกู่หนิง เด็กชายที่แสนสง่างาม นึกถึงซูโม่ที่งดงามราวกับดอกไม้ นึกถึงจี้เต้าที่มักจะรังแกตนอยู่เสมอ นึกถึงลิ่นหยูที่นิ่งเงียบและซื่อตรง
ไม่ว่าพวกเขาจะดีหรือร้ายกับตนมากขนาดไหน หรืออาจไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน ไม่ว่าตนจะชอบพวกเขาหรือไม่ ไม่ว่ายังไง พวกเขาที่อยู่ในความทรงจำของเขาก็ยังคงสดใสและงดงามเสมอ ทว่าตอนนี้คนเ่าั้กลับนอนระเนระนาดอยู่ตรงหน้าตน ชุดเสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง ไม่ว่าเขาจะเรียกยังไง พวกเขาก็เอาแต่หลับตานิ่ง ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลยสักคำ
จู่ๆ เขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ซูฉางอันคลำหาบางอย่างที่บริเวณอกสักพัก และหยิบของซึ่งถูกผ้าเช็ดหน้าห่อเอาไว้ออกมาจากในนั้น ผ้าเช็ดหน้านั้นไม่ได้ทำมาจากผ้าไหมหรือผ้าชั้นดีอะไร เป็เพียงผ้าเนื้อหยาบธรรมดาทั่วไปเท่านั้น มันถูกย้อมจนกลายเป็สีเขียว และปักลายดอกไม้บางอย่างประดับเอาไว้ด้วย
ซูฉางอันเปิดมันออกด้วยมือที่สั่นเทา แล้วหยิบขนมซูปิ่งในนั้นออกมา
เขารู้สึกหิวเล็กน้อย จึงอ้าปากแล้วกัดขนมหนึ่งคำ ราวขนมนั้นจะถูกเก็บไว้นานเกินไปหน่อย มันขึ้นราเล็กน้อยแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ารสชาติของมันอร่อยมากอยู่ดี
องครักษ์ถูกสิ่งชั่วร้ายแยกร่างออกเป็ชิ้นๆ ไปอีกสองคน ดาบในมือหลิวต้าหงถูกใช้งานจนเริ่มมีรอยบิ่นแล้ว ร่างกายก็เต็มไปด้วยาแที่ลึกจนเห็นกระดูก เืสดไหลนอง ผิดกับกู่เซี่ยนจวิน ดูเหมือนสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นจะพยายามเลี่ยงจากนาง เหตุนี้ แม้นางจะมีสภาพสะบักสะบอม แต่ก็ไม่ได้รับาเ็อะไร
บัดนี้ พวกเขามาจนถึงขีดสุดของชีวิตแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจต่างก็ไร้เรี่ยวแรงไปหมด
“รอก่อน!” กู่เซี่ยนจวินะโเสียงดัง
คนชุดดำราวจะให้ความสำคัญกับนางมาก เขาออกคำสั่งทางความคิด สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายจึงหยุดลงในเสี้ยววินาที พวกมันหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ต่างไปจากสัตว์เลี้ยงแสนเชื่อง ผิดกับปีศาจร้ายที่ดุร้ายและอำมหิตเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหวเลย
“พูดมา” ชายชุดดำมองนางด้วยรอยยิ้ม
“ปล่อยพวกเขาไป แล้วข้าจะไปกับเ้า” กู่เซี่ยนจวินเก็บดาบในมือเข้าที่
หลิวต้าหงมองไปยังกู่เซี่ยนจวินด้วยความตกตะลึง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวาย หากไม่ใช่เพราะกู่เซี่ยนจวิน พวกเขาก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ ทว่าตอนนี้นางกลับสละตัวเองเพื่อช่วยพวกเขาเสียได้ เื่ราวที่เกิดขึ้น ช่างน่าสับสนเสียจริง
“ไม่ได้” ชายชุดดำส่ายหัวด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ราวเป็บิดาผู้ปฏิเสธคำขอที่แสนเหลวใหลของบุตรสาวเช่นนั้น เขาปฏิเสธที่จะไว้ชีวิตคนอื่นๆ ด้วยท่าทางผ่อนคลาย ทว่าก็สมเหตุสมผล
“เพราะอะไร!? เ้าอยากจะเอาตัวข้าไปไม่ใช่รึ? เกี่ยวอะไรกับพวกเขา?” กู่เซี่ยนจวินพยายามเก็บกลั้นโทสะที่ปะทุออกมาจากภายใน ทว่านางก็ยังพูดเสียงดังขึ้นอย่างลืมตัวอยู่ดี
“เ้าจะขออะไรกี่ข้อก็ได้ แต่ห้ามขอให้คนอื่น เ้าต้องขอเพื่อตัวเองเท่านั้น!” ชายชุดดำอธิบายเหตุผลที่เขาไม่ยอมปล่อยคนอื่นๆ ไป ซึ่งเหตุผลนั้นก็เหลวใหลและไร้เหตุผล ไม่ต่างไปจากเหตุผลที่จะพาตัวกู่เซี่ยนจวินไปด้วยก่อนหน้านี้เลย
“แต่วางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำร้ายเ้าแน่” เขาพูดขึ้นอีกครั้ง ก่อนดวงตาจะประกายแสงวาบ สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายกลายเป็อสูรที่แสนอำมหิต แล้วพุ่งเข้าโจมตีกลุ่มคนอีกครั้งแล้ว
หลิวต้าหงมองไปรอบๆ พี่น้องที่เขาพามาด้วย บัดนี้เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น ทว่าคนผู้นั้นก็ถูกตัดแขนข้างซ้ายออกไปจากร่าง และกำลังใช้ดาบประคองร่างยืนอยู่ที่ข้างกัน ศิษย์ทั้งหลายก็ไม่รู้เป็ตาย หลิวต้าหงหัวเราะขมขื่น ชูดาบขึ้นสูง แต่เพียงไม่นานก็วางดาบลงอีกครั้ง เขาเหนื่อยเหลือเกิน ลำพังแค่าแบนร่างก็แทบจะทำให้เขาเสียเืไปทั้งตัวแล้ว เขาทำได้แค่ยืนนิ่ง มองดูสิ่งชั่วร้ายพุ่งเข้ามาหา รอให้พวกเขาตัดหัวของเขาออกไปจากร่าง แล้วแยกแขนขาของเขาออกจากกันเท่านั้น หลิวต้าหงค่อยๆ หลับตาลง วินาทีนั้น จู่ๆ รอบๆ ก็เปลี่ยนไปเงียบสงัด เขาไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของสิ่งชั่วร้าย และไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของปู่ต้นไม้อีกแล้ว
ฟึ่บ!
ฟึ่บ!
จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากทางด้านหลัง เสียงนั้นดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า มันเชื่องช้า ทว่าก็มั่นคงเหลือเกิน
มันเป็เสียงกระทบกันของรองเท้าและเส้นทางกลางเขานั่นเอง!
มีคนมา!
หลิวต้าหงเบิกตาขึ้น แล้วหันกลับไปมองด้านหลัง
เป็ชายหนุ่มคนหนึ่ง น่าจะมีอายุประมาณสิบห้า-สิบหกปี เขาอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่แสนธรรมดา แบกดาบขนาดใหญ่เอาไว้ด้านหลัง คนผู้นั้นก้าวเข้ามาหาทีละก้าวๆ ด้วยสีหน้าที่เย็นะเืไม่ต่างไปจากูเาน้ำแข็งพันปี ดวงตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยแสงสว่างไสว ปานเป็ลมหนาว ทว่าก็คล้ายกับเปลวเพลิงที่แสนร้อนแรง
เขาเอื้อมมือขวา แล้วจับไปที่ด้ามดาบด้านหลัง โดยมือซ้ายกำบางอย่างเอาไว้แน่น ดูเหมือนจะเป็ผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อน ที่มุมยังปักลายดอกไม้บางอย่างเอาไว้ด้วย
เขาก้าวข้ามร่างที่ไม่รู้เป็ตายของคนทั้งหลาย แล้วเดินผ่านหลิวต้าหงกับกู่เซี่ยนจวิน มุ่งตรงเข้าไปหาสิ่งชั่วร้าย เดินไปที่ชายชุดดำแล้ว
เขาก็คือซูฉางอันนั่นเอง! หลิวต้าหงได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง การเสียเืมากทำให้ความรู้สึกนึกคิดของเขาขับเคลื่อนช้าผิดปกติ เขาแยกสิ่งต่างๆ ไม่ออกแล้ว แต่ยังจำได้เสมอว่าคนตรงหน้าเป็ซูฉางอัน