ในลานจิ่นหรงอันเงียบสงัด มีเสียงวิ่งดังขึ้นพักหนึ่ง “ตึกๆๆ”
“คุณหนูสี่ ฮูหยินกำลังคิดบัญชีอยู่เ้าค่ะ!”
เสียงคนรับใช้หญิงฉุกละหุกสองสามส่วน
เฉินซื่อเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าที่ผ่านการบำรุงรักษาอย่างดีมีความสง่างามและสวยเพียบพร้อม ขนคิ้วตัดแต่งอย่าประณีตขมวดขึ้นเล็กน้อย
“เด็กสาวผู้นี้เป็อะไรอีกแล้ว?”
ไม่รอให้เมอเมอข้างกายได้ตอบ รีบเปิดม่านประตูออกทันทีทันใด ร่างเพรียวบางพุ่งเข้ามาราวกับลมกรรโชกแรก
“โอ๊ะ บรรพบุรุษตัวน้อย เ้าเบาหน่อย” เฉินซื่อกล่าวกับคนในอ้อมแขนอย่างไม่พอใจ
“ฮือ... ฮือ...” เสียงสะอื้นไห้พักหนึ่งกลับเป็คำตอบที่นางได้รับ
สีหน้าเฉินซื่อมึนงง มองไปทางสาวรับใช้จื่อผิงที่อยู่ข้างกายบุตรสาวด้วยสายตาเฉียบคม
สีหน้าจื่อผิงหยุดชะงัก ใจนหน้าตาขาวซีด
เฉินซื่อมองหวังเมอเมอข้างกายแวบหนึ่ง
หวังเมอเมอรีบนำคนใช้หญิงชราในห้องถอยออกไปทันที
“เอาล่ะๆ นี่เกิดอะไรขึ้น? ล้วนอายุมากเท่าไรแล้ว ยังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่เลย เ้าอยากให้เซวียนเกอเอ่อร์หัวเราะเยาะเ้าหรือ?” เฉินซื่อตบบุตรสาวในอ้อมอกเบาๆ
เซวียนเกอเออร์เป็บุตรชายคนเล็กของฮูหยินโหวเหวินชาง อายุน้อยกว่าโหยวอวี่เวยสองปี เมื่อสองคนอยู่ด้วยกันชอบแข่งขันเอาชนะกันมากที่สุด
ร่างของนางแข็งนิ่งไม่ไหวติง เสียงร้องไห้หยุดชะงัก
แหงนหน้าขึ้น ใบหน้าเล็กขาวสะอาดดุจหยกเปื้อนคราบน้ำตาเป็ดวงๆ
“เวยเอ่อร์ นี่เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่าไปเยี่ยมพี่ห้าของเ้ามาหรือ? เขาไม่สนใจเ้าอีกแล้ว?” เฉินซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดใบหน้าเล็กด้วยความปวดใจ
เมื่อโหยวอวี่เวยได้ฟัง น้ำตาที่เพิ่งหยุดชะงักไปก็พรั่งพรูออกมาอีก “ฮือ พี่ห้าไปแล้ว… ท่านแม่ เขาแอบไปอีกแล้วเ้าค่ะ…”
“ทำไมไปอีกแล้ว? ไม่ใช่ว่าเพิ่งกลับมาเมืองหลวงได้ไม่นานหรือ?” เฉินซื่องงงวย กู้ฉีเป็คนที่สำคัญอย่างยิ่งของพี่สะใภ้ นี่เพิ่งกลับเมืองหลวงได้ไม่ถึงเดือน ทำไมตัดใจปล่อยให้เขาออกไปข้างนอกได้อีกแล้ว?
“ฮือ... ล้วนโทษพวกพี่ชายใหญ่ พี่ชายรองกับเซวียนเกอเอ่อร์ ในงานเลี้ยงชมบุปผาวันนั้น ทุกคนล้วนกีดกันและปฏิเสธพี่ห้า พวกเขาไม่เพียงไม่ยอมรับ แต่ยังผสมโรงไปด้วย ตอนพี่ห้าจากไปสีหน้าแย่นัก ฮือ... ข้าเกลียดพวกเขา!” โหยวอวี่เวยกล่าวด้วยความโกรธเคือง
เฉินซื่อนึกเื่นี้ขึ้นก็ปวดหัวไปพักหนึ่ง กู้ฉีป่วยอยู่ตลอดทั้งปีนิสัยเงียบเชียบ ไม่คุ้นชินกับการคบหาผู้คน กว่าจะออกจากบ้านสักรอบได้ไม่ง่ายเลย กลับเห็นได้ชัดว่าไม่เข้าสังคมรวมกลุ่มกับทุกคน
ยังดีที่ครั้งนี้ไม่เหมือนไม่กี่ปีก่อน ที่กลับไปก็ป่วยหนัก
ไม่เช่นนั้น พี่สะใภ้ของนางคงต้องมาหาถึงบ้านแน่
“ท่านแม่ ข้าจะไปหาพี่ห้า!” โหยวอวี่เวยชิงเอาผ้าเช็ดหน้าในมือมารดาของนางมาแล้วเช็ดคราบน้ำตาให้สะอาด ทันทีหลังจากนั้นกล่าวคำพูดที่ทำเอาคนใออกมา
เฉินซื่อตกตะลึง บุตรสาวชื่นชอบกู้ฉีมาั้แ่เล็ก นางรู้ แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยขัดขวาง เป็เพียงเด็กสาวตัวน้อยจะเข้าใจว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรที่ไหน รอให้นางโตอีกหน่อย พบปะกับชายหนุ่มรูปงามที่มีความรู้ความสามารถมากขึ้น ย่อมลืมกู้ฉีที่เจ็บป่วยอ่อนแอไปเป็ธรรมดา
แต่…
นางมองความเด็ดเดี่ยวมั่นคงและความหัวรั้นในดวงตาของบุตรสาว อดจมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำไม่ได้
ปีนั้น... นางก็เคยเป็คนหนึ่งที่มีความมั่นใจและดื้อรั้นเช่นนี้
“ท่านแม่ เขาชอบข้าด้วยความจริงใจ เขากล่าวว่าหากสอบเข้าตำแหน่งเคอจวี่ได้จะมาสู่ขอนะเ้าคะ…”
“ท่านแม่ ข้าก็ชอบเขาเช่นกัน ขอร้องท่านล่ะ ช่วยสนับสนุนพวกเราอย่างเต็มที่เถอะเ้าค่ะ…”
“ท่านแม่ นอกจากเขาแล้ว ผู้ใดล้วนไม่แต่งให้ทั้งนั้น…”
“ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าท่านรักและทะนุถนอมข้าที่สุดหรือเ้าคะ…”
“ท่านแม่…”
ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และความดื้อรั้นที่นางมี เมื่อได้รู้ว่าชายสุขุมที่รักใคร่ผูกพันวาจากิริยาสุภาพอ่อนโยนผู้นั้นเรียกเก็บตั๋วเงินห้าพันเหลียงไป แล้วรับปากว่าจะไม่มารบกวนนางอีก ความมั่นคงดื้อรั้นที่มีทั้งหมดได้พังทลายลง
เวลาครึ่งปีนั้นนางไม่รู้ว่าทนผ่านไปได้อย่างไร ทุกวันตกอยู่ในความรู้สึกเศร้าเสียใจ ความเ็ปทรมาน ความผิดหวัง และความเคียดแค้น เกลียดตัวเองที่ตาบอดทุ่มเทความรักความหลงใหลที่มีทั้งหมดให้ไปผิดคน เกลียดชายเห็นแก่ตัวไร้หัวใจที่ทอดทิ้งนางไปเพื่อเงินไม่กี่พันเหลียง เกลียด์ที่ไม่ยุติธรรมต่อโชคชะตาคน…
ต่อมานางฟังและปฏิบัติตามคำของมารดาตนเอง แต่งเป็ภรรยาหลวงให้กับโหยวฮั่นบุตรคนรองแห่งจวนท่านโหวเหวินชาง
ผ่านไปหลายปีเพียงนี้ ณ ขณะนี้ชายผู้นั้นหน้าตาอย่างไร นางราวกับจำไม่ได้แล้ว
“ท่านแม่ ท่านได้ยินที่ข้ากล่าวหรือไม่เ้าคะ?”
เสียงไม่พอใจของบุตรสาวะโเรียก ความรู้สึกนึกคิดของเฉินซื่อจึงกลับมา
“ฮะ... อะไรหรือ?”
“ข้าจะไปหาพี่ห้า! ข้าสอบถามท่านป้ามาแล้ว สถานที่ที่พี่ห้าไปอยู่บริเวณอำเภอเจิ้นอันภายใต้การปกครองของท่านลุงคนรองเ้าค่ะ” โหยวอวี่เวยฉุดดึงแขนเสื้อของมารดาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ท่านแม่ ข้าจะไปหาพี่สาวคนรองด้วยพอดี ตอนฉลองปีใหม่ พี่สาวคนรองไม่ใช่ว่าเชิญชวนข้าไปเที่ยวหรือ ใช้โอกาสนี้ไปเยี่ยมนางได้พอดีเลยเ้าค่ะ”
“อำเภอเจิ้นอัน? นั่นอยู่ชายแดนเอ้อโจวเลยนะ นั่งรถม้าต้องเสียเวลาราวๆ ห้าวันโดยประมาณเลย แม้แต่เมืองหลวงเ้ายังไม่เคยออกไป จะรับการเดินทางไกลเพียงนั้นได้ที่ไหนกัน ไม่ได้!” เฉินซื่อส่ายหน้าปฏิเสธ
“จะรับไม่ไหวได้อย่างไร? พี่ห้าร่างกายเจ็บป่วยอ่อนแอเช่นนั้นล้วนสามารถไปกลับปลอดภัยได้ ทำไมข้าจะไปไม่ได้เ้าคะ!” โหยวอวี่เวยะโโวยวายขึ้น ชนเข้ากับถ้วยชาลายครามไม่กี่ใบบนโต๊ะคว่ำลง
เครื่องกระเบื้องเคลือบร่วงหล่นลงพื้นแตกกระจาย สีหน้าเฉินซื่อเปลี่ยนไป “บรรพบุรุษตัวน้อย รีบหยุดะโเดี๋ยวนี้ ระวังเหยียบถูกเศษที่แตก”
“เหยียบก็เหยียบสิ ท่านไม่ให้ข้าไปหาพี่ห้าจะมีเท้าไว้ทำอะไร พอาเ็จะได้นอนอยู่บนเตียงตลอด ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น” โหยวอวี่เวยะโสองสามทีอย่างกระเง้ากระงอด
“ไอ๊หยา อย่าขยับไปทั่ว เ้าเด็กหัวแข็งนี่ แม่เห็นด้วยแล้วมีประโยชน์อะไร เื่นี้ยังต้องให้บิดาเ้าเห็นด้วยถึงจะได้” เฉินซื่อรั้งบุตรสาวไว้อย่างอกสั่นขวัญหาย
โหยวอวี่เวยดวงตาเป็ประกาย หยุดการกระทำลง “ท่านแม่ ท่านพูดจริงหรือ? ขอแค่ท่านพ่อเห็นด้วย ข้าก็ไปได้หรือเ้าคะ?”
“…” เฉินซื่อเงียบสนิท นางตึงเครียดไปชั่วขณะ นางลืมไปเลยว่าผู้ที่ตามใจบุตรสาวที่สุดในบ้าน ไม่มีผู้ใดเกินไปกว่าโหยวฮั่นแล้ว
“ท่านแม่ ท่านต้องพูดคำไหนคำนั้นนะเ้าคะ ข้าจะไปหาท่านพ่อเดี๋ยวนี้” รอยยิ้มบนใบหน้าโหยวอวี่เวยผุดขึ้นมาอย่างปิดบังไม่อยู่
นางยกกระโปรงและเขย่งปลายเท้าขึ้น เลี่ยงเศษกระเบื้องแตกชิ้นเล็กชิ้นน้อยบนพื้น วิ่งออกไปนอกประตูหายวับไปกับตา
“เฮ้อ…” เฉินซื่อปล่อยแขนลง โมโหความสะเพร่าของตนเองในใจ
นี่จะทำอย่างไรดี? จะให้บุตรสาวอันเป็ที่รักออกข้างนอกพันลี้ไปหากู้ฉีจริงๆ หรือ?
เฉินซื่อนวดขมับตัวเองอย่างปวดหัว
...จวนสกุลกู้
“ฉีเอ่อร์ไปแล้ว?” กู้หลินเงยหน้ามองอันซื่อที่เดินเข้ามาภายในห้อง
กู้หลินอายุสี่สิบต้นๆ หนวดเคราสั้นแผ่ออก บุคลิกมีความรู้และสง่าเฉพาะตัว ความตกตะกอนของกาลเวลายิ่งเพิ่มเสน่ห์ความเป็ผู้ใหญ่มากขึ้นสองสามส่วน
หว่างคิ้วของอันซื่อขมวดเล็กน้อย บนใบหน้าปิดบังความทุกข์ใจไว้ไม่อยู่ “อื้ม”
“ในเมื่อกังวลใจ แล้วทำไมยังให้เขาเดินทางไปไกลอีก?” กู้หลินมองนางด้วยความไม่เข้าใจ บุตรชายคนเล็กร่างกายดีขึ้นมา แน่นอนว่าเขาดีใจมาก แม้งานกิจการบ้านเมืองรัดตัว หาได้ยากที่จะเจียดเวลาไปเยี่ยมบุตรชายคนเล็ก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ความสำคัญกับกู้ฉี
“สภาพดินฟ้าอากาศทางนั้นเหมาะกับการพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายของฉีเอ่อร์ ฉีเอ่อร์ไปครึ่งค่อนปี ร่างกายดีขึ้นมาไม่น้อย ท่านหมอหลวงหม่าจับชีพจรให้เขาแล้ว ล้วนอุทานกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายฉีเอ่อร์” อันซื่อคิดถึงความหมายแฝงในคำพูดของหมอหลวงหม่าขึ้น ความกลัดกลุ้มบนใบหน้าจึงค่อยๆ จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย “ท่านหมอหลวงหม่ากล่าวว่า ตามแนวโน้มเช่นนี้ หากบำรุงร่างกายไปอีกครึ่งปีหรือหนึ่งปี ร่างกายของฉีเอ่อร์คงไม่ค่อยต่างอะไรกับคนปกติทั่วไปแล้ว”
กู้หลินลูบหนวดเคราสั้นๆ ใต้ปากของตนเอง ถามอย่างทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ “เอ้อโจวเขตแดนติดต่อกันจากใต้ไปเหนือ อุณหภูมิทางตอนใต้ของเทือกเขาไท่หางเริ่มอุ่นขึ้น หน้าหนาวมีหิมะโปรยปรายปกคลุมพื้นที่น้อย ทางตอนเหนือตรงกันข้าม หน้าหนาวยาวนานหิมะโปรยปราย อำเภอเจิ้นอันอยู่เทือกเขาไท่หางส่วนเหนือ สภาพดินฟ้าอากาศจึงเหมือนกันกับทางตอนเหนือ เช่นนั้นจะเหมาะกับการพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายฉีเอ่อร์ได้อย่างไร?”
หากกล่าวว่าพื้นที่อบอุ่นทางตอนใต้ของเทือกเขาไท่หางล่ะก็ ยังพอเป็ไปได้นิดหน่อย
ในใจอันซื่อตื่นตระหนก ชำเลืองมองกู้หลินแวบหนึ่ง “ทางนั้นมีท่านหมอชราที่มีอายุและค่อนข้างมีประสบการณ์ต่อลักษณะอาการโรคที่กู้ฉีเป็อยู่ อีกทั้งวัสดุยาสมุนไพรของฝูอันถังทั้งอุดมสมบูรณ์ สะดวกสบายต่อการปรุงยา รวมกับจิตใจกู้ฉีผ่อนคลายร่างกายย่อมดีขึ้นได้”
“อำเภอเจิ้นอันเหมือนจะอยู่ภายใต้การปกครองของโหยวเซียว ต้องไปทักทายเขาหรือไม่” กู้หลินเป็ขุนนางมานานกว่าสิบปี เหล่าขุนนางที่มีระดับขั้นยศของอาณาจักรต้าสยา เขาล้วนค่อนข้างมีความทรงจำเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นโหยวเซียวผู้นี้ยังเป็คุณชายรองของอนุในจวนท่านโหวเหวินชาง เป็พี่สามีคนรองของลูกผู้น้องอย่างเฉินเชียนหยวนมารดาของโหยวอวี่เวย
อันซื่อไตร่ตรองเล็กน้อย คิดถึงความกังวลของหญิงชราสกุลกู้ขึ้น จึงส่ายหน้าแล้วกล่าว “ตอนนี้ไม่ต้อง ฉีเอ่อร์จัดการเดินทางเงียบๆ เพื่อรักษาอาการป่วยและทัศนาจร แต่เดิมเขาก็ไม่ชอบเข้าสังคมคบค้าสมาคมอยู่แล้ว อีกอย่างทางนั้นยังมีหลิวผิงดูแลอยู่น่าจะไม่มีทางเกิดเื่ใหญ่อะไร”
กู้ฉีออกเดินทางครั้งนี้ได้พาองครักษ์ไปสิบคนพร้อมกับพ่อบ้าน ยังมีองครักษ์ส่วนตัว ท่านหมอ และแม่ครัวที่เดินทางไปพร้อมกันด้วย ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดสิบห้าคน ส่วนใหญ่เป็คนชราในจวนที่พอจะเชื่อใจได้ ออกเดินทางทำธุระล้วนปลอดภัยเชื่อถือได้อย่างยิ่ง
กู้ฉียิ่งนิสัยเงียบๆ ไม่ก่อเื่วุ่นวาย อันซื่อไม่ได้ทุกข์ร้อนใจกับสิ่งนี้เท่าไรนัก
...ลานเต๋อหนิงอีกด้านหนึ่ง
กู้เจวี๋ยกลับมาถึงในบ้าน หลังล้างหน้าบ้วนปากผลัดเปลี่ยนชุดเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว ก็มาอุ้มบุตรชายตัวน้อยอ้วนจ้ำม่ำของตนเองขึ้นหยอกล้อพักหนึ่ง
“เซียงกง ทำไมน้องห้ากลับเมืองหลวงมาได้ไม่กี่วันก็จากไปอีกแล้วล่ะ?” ฉางซื่อผู้เป็ภรรยาเห็นเซียงกงท่าทางอารมณ์ดี จึงอาศัยจังหวะนี้ถาม
การกระทำบนมือของกู้เจวี๋ยหยุดชะงัก น้องชายร่วมสายเืของตนเองผู้นี้ กลับบ้านมานาน เขาเพิ่งพบหน้าได้สามครั้ง ครั้งแรกงานเลี้ยงมื้อค่ำรับแขก ครั้งที่สองตอนไปคารวะท่านย่าไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ครั้งที่สามก็เป็เมื่อวานตอนอำลาก่อนเดินทาง
สองพี่น้องมองหน้ากันไม่สนิทมาั้แ่เล็ก ไม่ได้อยู่ร่วมกันอย่างสนิทสนม พูดคุยล้วนสื่อสารกันอย่างสุภาพมีพิธีรีตอง
กู้เจวี๋ยถอนหายใจข้างใน วางกู้เจ๋อในมือลง “ร่างกายน้องห้ายังไม่หายดี กลับเมืองหลวงมาครั้งนี้เพื่อมาเยี่ยมท่านย่า ระยะนี้ท่านย่าร่างกายดีขึ้นมาไม่น้อย จึงทำให้เขากลับไปรักษาอาการป่วยต่อ”
อาการป่วยของท่านย่าเริ่มมั่นคงปลอดภัยขึ้นมาช้าๆ อาการป่วยของกู้ฉีเลยดูเหมือนค่อนข้างเร่งด่วนกว่า
“ทำไมไม่เชิญท่านหมอมาดูอาการป่วยน้องห้าตามตรงเลยล่ะ?” ฉางซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากให้กู้เจ๋อ
“ท่านหมอชราอายุมากแล้ว ไม่เหมาะให้เดินทางไกล หากน้องห้าออกเดินทางไปพักฟื้น จิตใจอาจมีความสุขขึ้นหน่อย มีประโยชน์ต่ออาการป่วยของเขา” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ข้ออ้างของอันซื่อมารดาเขา กู้เจวี๋ยฟังความหมายในคำพูดออก กู้ฉีเจ็บป่วยอ่อนแอมาั้แ่เด็ก เวลาที่ออกจากบ้านได้มีน้อยมาก เหมือนการพาคนติดตามออกจากบ้านเดินทางไปไกลเช่นนี้ อาจทำให้เขาเป็อิสระสบายใจดั่งมัจฉาที่ลงสู่ทะเลใหญ่ก็เป็ได้
อารมณ์ดีแล้วย่อมมีประโยชน์ต่ออาการป่วย
ฉางซื่อพยักหน้าคล้อยตาม ในใจกลับแอบผ่อนลมหายใจ ครั้งก่อนเื่ที่นางลืมตัวเสียมารยาท ดูท่าน้องสามีผู้นี้จะไม่ได้แจ้งให้แม่สามีทราบ
แต่เดิมท่าทีของแม่สามีที่มีต่อนางช่างเ็านัก หากรู้ว่าตนเองกระทำกิริยาท่าทางรังเกียจจะลงโทษนางอย่างไรยังไม่รู้เลย
อุ้มกู้เจ๋อที่อิ่มเอิบและน่ารักขึ้น คิดถึงสีหน้าผอมซูบขาวซีดของกู้ฉีขึ้นมา นางจะสงบนิ่งได้อย่างไร น้องสามีล้มหมอนนอนเสื่อร่างกายอ่อนแอและไอมาตลอดปี แม้ท่านหมอหลวงไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจน แต่ไอจนรุนแรงปานนั้นก็ไม่ต่างกับอาการป่วยของวัณโรคแล้ว นางจะไม่กังวลว่าจะไม่แพร่มาสู่กู้เจ๋อได้อย่างไร
ความคิดระแวงของผู้อื่น กู้ฉีไม่มีทางทราบได้ หรือต่อให้ทราบเขาก็ยิ้มแล้วปล่อยผ่านไปเช่นกัน
รถม้ากำลังเคลื่อนอยู่บนถนนทางการออกไปจากเมืองหลวง กู้ฉีอารมณ์ดีมาก เขาเปิดหน้าต่างรถออก มองคนรีบเร่งสัญจรไปมากับทิวทัศน์ถอยหลังตลอดทาง รอยยิ้มมุมปากยิ่งชัดเจนขึ้น
กู้จงนั่งอยู่บนรถม้าด้านหลัง ขมวดคิ้วบ่นพึมพำ “ทำไมคุณชายไม่ยอมให้ชิงเหมยติดตามมาด้วยนะ ฮูหยินชี้ให้นางติดตามมาเป็พิเศษ คุณชายปฏิเสธทันทีในคำเดียว เฮ้อ... ข้าแขนขาชรา [1] ไปหมด คอยปรนนิบัติปัจจัยทั้งสี่ [2] ของคุณชาย จะปราดเปรียวได้เท่าชิงเหมยที่ไหนกัน”
เหวยจื่อยวนที่โดยสารมาคันเดียวกันชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง พ่อบ้านกู้ขี้บ่นผู้นี้ หลังขึ้นรถม้ามาแล้วก็พูดไม่ได้หยุดปากเลย
เชิงอรรถ
[1] แขนขาชรา หมายถึง การเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว
[2] ปัจจัยทั้งสี่ หมายถึง สิ่งที่จำเป็ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และการเดินทาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้