เหลือเวลาอีกสองชั่วยามกว่าผู้ติดตามของใต้เท้าหลิวจะมารับสินค้าที่บ้านหลี่
ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเต้าหู้กำลังทำ
เพื่อให้คนที่จวนเยี่ยนอ๋องได้กินเต้าหู้สดใหม่ หลี่หรูอี้จึงพาครอบครัวทำเต้าหู้กันทั้งคืนโดยไม่ได้หลับได้นอน
รุ่งเช้าใต้เท้าหลิวพาผู้ติดตามมาถึงบ้านตามนัดหมาย เมื่อเห็นว่าเต้าหู้สีขาวนวลมีควันร้อนพวยพุ่งอยู่ จึงทราบว่าบ้านหลี่ทำเต้าหู้ตลอดทั้งคืนออกมาใหม่ๆ งานเช่นนี้ต้องใช้แรงกายแรงใจมากจริงๆ จึงมอบรางวัลให้มากหน่อย
หลี่หรูอี้มีความรู้สึกที่ดีต่อใต้เท้าหลิวอยู่แล้ว จึงยกน้ำเต้าหู้ร้อนหอมกรุ่น และแป้งย่างงาดำสอดไส้ไข่ไก่จานใหญ่เข้ามาให้ “ใต้เท้า ท่านดื่มน้ำเต้าหู้ และกินแป้งย่างสอดไส้ไข่ก่อนแล้วค่อยไปเถิดเ้าค่ะ”
ใต้เท้าหลิวไม่เคยกินน้ำเต้าหู้มาก่อน กระทั่งแป้งย่างที่มีงาดำติดอยู่เต็มชิ้นก็ไม่เคยกิน ในใจจึงชื่นชมว่าคนบ้านหลี่รู้จักเอาอกเอาใจจริงๆ เขาและผู้ติดตามทั้งสองกินกันอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดเกลี้ยง เมื่อไม่อาจเสียเวลาได้อีกจึงรีบนำสินค้าจากไปอย่างเร่งร้อน
ทั้งเสียงคนและเสียงรถม้าทำให้จ้าวซื่อที่กำลังหลับลึกสะดุ้งตื่น เมื่อมองไปบนท้องฟ้าก็เห็นว่ายังเช้าอยู่ นางจำได้ว่าการค้าคราวนี้จะทำเงินให้ครอบครัวได้มากจึงลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุมแล้วเดินไปยังห้องโถง เมื่อพบหลี่ซาน หลี่สือ และ หลี่หรูอี้ที่ยิ้มจนตาหยี พลันรู้ได้ว่าใต้เท้าหลิวคงให้รางวัลมาไม่น้อย
หลี่ซานรีบลุกขึ้นเดินเข้ามาประคองจ้าวซื่อ ชั่วขณะนั้นเขาตื่นเต้นดีใจจนไม่กลัวลูกจะหัวเราะเยาะ ถึงกับก้มตัวกระซิบข้างหูจ้าวซื่ออย่างใกล้ชิดว่า “ใต้เท้าหลิวให้เงินมาทั้งหมดยี่สิบสองตำลึงกับอีกสามเฉียน”
“มากเพียงนี้เชียว” จ้าวซื่อเบิกบานใจยิ่งนัก เมื่อมองไปยังบุตรีสุดที่รัก พบว่านางมีสีหน้าเหนื่อยล้า “เหนื่อยกันมาทั้งคืนแล้ว พวกเ้ารีบไปพักผ่อนเถิด”
หลี่ซานเองก็ง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้น แต่ยังคงกล่าวเตือนไปว่า “ไปพักผ่อนกันเถิด ประเดี๋ยวตอนบ่ายยังต้องไปขายเต้าหู้อีก” ตอนเช้าไม่ได้ไปขายของที่ตำบลจินจี ทำให้สูญเสียรายได้ไปหนึ่งตำลึง หากตอนบ่ายยังไม่ไปที่อำเภออีกเช่นนั้นก็จะเสียรายได้ไปอย่างน้อยสองตำลึง
“ไม่ขายแล้วเ้าค่ะ วันนี้พักผ่อนหนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” หลังจากหลี่หรูอี้กล่าวประโยคนี้จบก็รีบไปนอน โดยไม่สนใจว่าหลี่ซานจะคิดเช่นไร
“เอาล่ะ ท่านก็ฟังคำหรูอี้เถิด” จ้าวซื่อยื่นมือไปจับไหล่หนาๆ ของหลี่ซานก่อนจะกล่าวตำหนิ “พวกเรามีบุตรสาวเพียงคนเดียว นางเพิ่งอายุเก้าขวบ”
เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่จะมาช่วยตอนกลางคืน แต่กลับถูกหลี่หรูอี้ไล่ให้ไปนอนจึงนอนหลับไม่สนิท กระทั่งเกือบรุ่งสางค่อยสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทว่าใต้เท้าหลิวก็ไปแล้ว งานบ้านก็ทำเสร็จแล้ว ในหม้อทั้งสองใบที่ตั้งอยู่บนเตา หม้อใบหนึ่งเป็น้ำเต้าหู้ หม้ออีกใบหนึ่งมีแป้งย่างสอดไส้ไข่ไก่บรรจุอยู่ กระทั่งอาหารเช้าก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
งานในบ้านหนักเพียงนี้ น้องสาวที่อายุน้อยที่สุดยุ่งอยู่ทั้งคืน ทำงานไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่กลับไม่ยอมให้พวกเขาช่วย บอกแต่ให้ตั้งใจเรียนหนังสือ หากพวกเขาเรียนหนังสือไม่ดีย่อมรู้สึกผิดต่อตนเอง
เมื่อเด็กชายทั้งสี่กินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็ทำความสะอาดห้องครัวและลานบ้าน จากนั้นจึงเดินทางไปยังสำนักศึกษาในตำบล
เวลาเคลื่อนคล้อยไปถึงยามบ่ายโดยไม่ทันรู้ตัว หลี่ซานถูกความหิวปลุกให้ตื่น ท้องร้องจ๊อกๆ เขานึกไปถึงการขายเต้าหู้จึงรีบลุกขึ้นมาแต่งตัว เมื่อเดินออกจากห้องพบจ้าวซื่อนั่งปักผ้าอยู่ที่ใต้ต้นสาลี่เพียงลำพัง จึงมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “หรูอี้กับเ้าก้อนหินเล่า?”
จ้าวซื่อมองหลี่ซานที่มีท่าทีกระปรี้กระเปร่า หว่างคิ้วของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและความดื้อรั้น นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ออกไปนอกหมู่บ้านแล้ว ในหม้อมีกับข้าวอยู่ ท่านไปกินเถิด”
“หรูอี้นี่ ไม่ยอมให้ข้าไปขายเต้าหู้ที่อำเภอ่บ่ายจริงๆ” หลี่ซานรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ทว่าในใจก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจบุตรีสุดที่รักแต่อย่างใด ผู้ใดใช้ให้เขามีลูกสาวเพียงคนเดียวเล่า นางทั้งยังฉลาด มากความสามารถ และรู้ความเพียงนี้ด้วย
“เงินย่อมหาได้ไม่จบไม่สิ้น ท่านทำงานเหนื่อยทุกวัน พักผ่อนสักวันเถิด”
“ข้าไม่เหนื่อย ตอนที่ข้าไปขายเต้าหู้และเต้าฮวยก็ขับเกวียนไป ไม่ได้เดินแม้เพียงก้าวเดียว ไหนเลยจะต้องพักผ่อน” หลี่ซานเดินไปยังห้องครัว ตักอาหารในหม้อมาแล้วเดินกลับมาที่ห้องโถง กินไปไม่กี่คำก็ต้องเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “เ้าเป็คนทำอาหารหรือ”
“ใช่” จ้าวซื่อพยุงท้องเดินเข้ามา ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มบางเบา “ไม่อร่อยเท่าที่ลูกสาวและน้องชายของท่านทำ รังเกียจหรือ”
“ข้าจะรังเกียจได้อย่างไร เ้าทำอร่อยกว่าข้ามาก” เพื่อทำให้จ้าวซื่อดีใจ หลี่ซานจึงตั้งใจตักกินคำใหญ่ก่อนพูดขึ้นว่า “หอมยิ่งนัก” ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วรสชาติของอาหารยังด้อยกว่าที่หรูอี้ทำมากนัก วัตถุดิบเดียวกัน แต่บุตรีสุดที่รักกลับทำได้อร่อยเป็พิเศษ จนเขาคุ้นชินกับรสมือของบุตรสาวไปโดยไม่รู้ตัว
“่นี้ยุ่งมากเหลือเกิน ข้าจึงไม่ทันบอกท่าน ตอนนี้มีหลายครอบครัวทั้งในหมู่บ้านและจากหมู่บ้านอื่นอยากเกี่ยวดองกับพวกเรา”
“เกี่ยวดองอันใด?” หลี่ซานคิดว่าเป็เื่ของหลี่สือ ตัดสินใจกันแล้วมิใช่หรือ ว่าหลี่สือไม่ต้องแต่งงานและไม่ต้องแยกบ้าน เหตุใดภรรยาจึงยกเื่เก่ามาพูดอีกเล่า?
จ้าวซื่อนั่งลงพลางจับจ้องไปยังหลี่ซานเขม็ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความหึงหวงว่า “ท่านทำการค้าจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งร้อยลี้ ทั้งยังขับเกวียน บ้านก็ใหญ่โต วันวันหนึ่งทำเงินได้หลายตำลึง ทำให้ผู้อื่นอยากส่งบุตรสาวมาแต่งเป็อนุภรรยาท่าน”
“นี่มันเกี่ยวดองอันใดกัน ้าทำลายครอบครัวพวกเรามากกว่า” หลี่ซานเกือบกัดตะเกียบจนหัก คนเหล่านี้เห็นครอบครัวเขาดีเกินไปหรือ จึงได้คิดทำลายความกลมเกลียวเช่นนี้ ทำให้เขาโกรธแทบตายจริงๆ
จ้าวซื่อไม่เห็นความกระวนกระวายและความรู้สึกผิดในดวงตาของหลี่ซาน จึงยังเชื่อมั่นในตัวเขา มิเช่นนั้นคงถามเขาไปนานแล้ว ทว่ายิ่งเป็เช่นนี้นางยิ่งไม่อาจอ่อนข้อ กล่าวไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย “เหตุใดท่านไม่บอกข้า?”
หลี่ซานวางถ้วยและตะเกียบลง กล่าวด้วยดวงตาสงบนิ่งและน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เ้าใกล้คลอดแล้ว ข้าเกรงว่าจะทำให้เ้าโกรธ”
จ้าวซื่อรู้สึกไม่สบายใจจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านปิดบังข้า สุดท้ายข้าก็ได้ยินเื่นี้จากปากผู้อื่น เช่นนี้ก็ยิ่งโกรธ มิสู้ท่านบอกข้าเองโดยตรงเสียยังจะดีกว่า”
เมื่อวันก่อนสตรีตระกูลหวัง ซึ่งเป็คนในหมู่บ้านคนหนึ่งไปขายไข่ไก่ที่ตลาดในอำเภอ เห็นกับตาว่ามีคนพาบุตรสาวมาหาหลี่ซาน ้าจะมอบบุตรสาวให้เป็อนุภรรยาของหลี่ซาน
สตรีนางนั้นรู้สึกซาบซึ้งที่หลี่หรูอี้สอนคนตระกูลหวังก่อเตียงเตา นางไม่อยากให้หลี่หรูอี้มีแม่เลี้ยงเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง และกลัวว่าหลี่ซานจะปิดบังจ้าวซื่อ คิดชุบเลี้ยงอนุภรรยาไว้นอกบ้าน จึงมาบอกจ้าวซื่อด้วยความหวังดี
จ้าวซื่อเห็นว่าสองวันมานี้ในบ้านมีเื่มากมาย จึงรู้สึกกดดันและไม่ได้ถามออกไป ทว่ารอจนกระทั่งตอนนี้หลี่ซานก็ยังไม่ยอมบอกด้วยตนเอง จึงทำให้นางรู้สึกขุ่นเคือง
หลี่ซานอยู่กินกับจ้าวซื่อมานานหลายปี ย่อมมองออกว่า ยามนี้จ้าวซื่อเกิดความรู้สึกขุ่นเคืองในใจแล้ว จึงรีบร้อนเอ่ยไปว่า “ข้าจะบอกเ้าทั้งหมด ระยะนี้รวมแล้วมีสี่คนที่พาบุตรสาวมาคิดให้เป็อนุภรรยาข้า มีสองคนพาตัวมาให้ดูด้วย ข้าคร้านจะสนใจพวกเขา จึงบอกให้พวกเขาไปเสีย ไม่คิดพบพวกเขาอีก”
เมื่อนึกถึงเื่ที่ว่ามีชายชราสองคนพาบุตรสาวมาให้เขาดูตัวถึงตลาดในอำเภอ สร้างเื่จนลูกค้าเก่าแก่หลายคนสังเกตเห็น ตอนนั้นลูกค้าเก่าต่างเอะอะโวยวาย บ้างก็เตือนเขาว่า อย่าทำเื่ทำร้ายจิตใจคนในครอบครัว ในใจของเขาทั้งรังเกียจและเบื่อหน่ายเป็ที่สุด
ดูท่าทางหากคราวหน้ามีเื่เช่นนี้อีก เขาคงไม่อาจปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม จะต้องด่าอย่างดุเดือดกลับไปเสีย หากยังไม่พอก็ต้องตบตีคนเ่าั้
มิเช่นนั้นหากเื่นี้แพร่มาถึงหูจ้าวซื่ออีก อาจทำให้นางโกรธมากจนเป็อันตราย และเขาเองก็คงต้องเ็ปและเสียใจจนทนไม่ไหวเป็แน่
จ้าวซื่อกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ที่แท้ไม่ใช่เพียงคนเดียว” ในน้ำเสียงเจือไปด้วยความหึงหวง นางมีนิสัยอ่อนโยนก็จริงอยู่ แต่มิใช่คนประเภทที่จะเก็บทุกอย่างไว้ในใจ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายคาดเดาไปต่างๆ นานาจนสับสนอลหม่าน และเกิดเป็เื่เข้าใจผิด มีอะไรก็ต้องพูดคุยกันให้ชัดเจน
หลี่ซานกลัวว่าจ้าวซื่อจะคิดมาก จึงเล่าเื่ทั้งหมดให้ฟัง
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้