แต่หากเปรียบเทียบระหว่างอนาคตของน้องสาวกับอนาคตของตนเอง ซือหม่าหลิงอวิ่นย่อมเลือกอนาคตของตนเองโดยไม่ต้องไตร่ตรอง ขอเพียงเขายังมีหนทางก้าวหน้าต่อไปได้ อนาคตของน้องสาวย่อมจะดีขึ้นเอง ถึงเวลาก็หาครอบครัวที่ดีให้นางแต่งออกไป เตรียมสินเดิมให้นางมากๆ หน่อย ถือว่าเป็การชดเชยให้ก็แล้วกัน
แม้จะรักน้องสาวปานใด แต่เื่นี้กลับต้องเห็นแก่ตนเองก่อน
เมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงรับบทกวีมาอ่าน จากนั้นก็วางกลับลงบนถาดในมือของนางกำนัล ก่อนประสานมืออย่างนอบน้อมกราบทูลต่อฮองเฮาโดยไม่เหลียวมองไปทางซือหม่าเหอเยี่ยนแม้แต่น้อย “กลอนบทนี้แม้จะดูคล้ายคลึงกับของกระหม่อม แต่หาใช่บทกลอนที่กระหม่อมเขียนขึ้นไม่ ขอฮองเฮาทรงวินิจฉัย”
“ไม่ใช่หรอกหรือ แล้วเหตุใดน้องสาวของเ้าจึงยืนกรานว่าคุณหนูใหญ่สกุลโม่คัดลอกมาจากหนังสือรวบรวมบทกลอนที่เ้าเขียนไว้ในห้องหนังสือเล่า” ฮองเฮาเค้นถามเสียงเย็น ก่อนทอดพระเนตรมาที่โม่เสวี่ยิ่ รังสีเย็นเยียบแผ่กำจาย
โม่เสวี่ยิ่คุกเข่าก้มหน้า แม้หัวใจดังถูกไฟสุม แต่กลับไม่กล้าแย้มปากหรือแม้แต่กระดิกกระเดี้ย
“กระหม่อมขอถามน้องสาวสักเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้ซือหม่าหลิงอวิ๋นตัดสินใจได้แล้ว จึงหันไปพูดกับซือหม่าเหอเยี่ยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เยี่ยนเอ๋อร์ น้องรู้ได้เยี่ยงไรว่าบทกลอนของคุณหนูใหญ่สกุลโม่เหมือนกับของพี่”
“พี่ใหญ่ กลอนบทนั้นเหมือนของพี่จริงๆ นะ เมื่อวันก่อนข้าไปหาหนังสือที่ห้องของท่านมาอ่านแก้เบื่อ เห็นหนังสือรวบรวมบทกลอนวางอยู่จึงเอามาพลิกดู มีกลอนบทหนึ่งในนั้นเหมือนกับที่นางเขียนเปี๊ยบเลย” ซือหม่าเหอเยี่ยนนึกว่าพี่ชายของตนเองไม่รู้จริงๆ จึงอธิบายให้ฟังอย่างรีบร้อน
“น้องหญิง ผู้คนใต้หล้าหน้าเหมือนกันมีถมไป นับประสาอะไรกับกลอนบทเดียว แต่กลอนของคนสองคนแม้จะคล้ายกันมาก ก็ไม่น่าจะเหมือนกันทุกตัวอักษร คงมิใช่ว่าเ้าดูผิดไปหรอกนะ อยากจะดูให้ละเอียดอีกครั้งหรือไม่เล่า” ซือหม่าหลิงอวิ๋นฉวยโอกาสที่หันศีรษะกลับไปมองโม่เสวี่ยิ่ซึ่งกำลังคุกเข่าน้ำตานองหน้าอยู่ที่พื้น หลังจากได้สัญญาณลับจากดวงตาของนางแล้ว ยามนี้จึงรู้สึกมั่นใจขึ้น เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
คล้ายหรือ? เป็ไปไม่ได้ ซือหม่าเหอเยี่ยนกะพริบตาปริบๆ รับบทกวีจากนางกำนัลมาดูอีกครั้งอย่างละเอียด ใบหน้าพลันถอดสีเป็ขาวซีด นิ้วมือที่ชี้ไปบนกระดาษและริมฝีปากสั่นระริก นิ่งอึ้งพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“น้องหญิง เ้าดูผิดไปใช่หรือไม่ สองวันนี้สุขภาพไม่ค่อยดี บอกให้พักผ่อนเยอะๆ ก็ไม่รู้ฟัง ดูเถอะออกจากบ้านมาได้ไม่นานถูกจิตมารเข้าแทรกจนเลอะเลือนเสียแล้ว แม้บทกลอนของคุณหนูใหญ่สกุลโม่กับของพี่จะคล้ายกันมาก แต่ไม่ใช่กลอนบทเดียวกัน เดี๋ยวเ้าไปสำนึกผิดกับนางเสีย แล้วกลับบ้านไปพักผ่อนรักษาสุขภาพเถิด”
ซือหม่าหลิงอวิ๋นสังเกตสีหน้าของซือหม่าเหอเยี่ยนตลอดเวลา เริ่มแรกยังนึกกังวลอยู่ว่านางจะไม่ยอมปล่อยโม่เสวี่ยิ่ ครั้นเห็นน้องสาวดูตื่นตระหนก จึงค่อยรู้สึกเบาใจ
เพราะซือหม่าเหอเยี่ยนเป็เหตุที่ทำให้เกิดเื่ ซือหม่าหลิงอวิ๋นจะไม่โทษว่าเป็ความผิดนางย่อมไม่ได้ จำต้องกล่าวติเตียนด้วยสีหน้าดุดัน แม้ว่าน้ำเสียงยังคงอ่อนโยน แต่เมื่อมาเข้าหูของซือหม่าเหอเยี่ยน ถ้อยคำเ่าั้กลับทำให้รู้สึกหนาวเยือก เงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาขุ่นข้อง นี่หรือ… พี่ชายที่รักนางสุดหัวใจ
คือบทกลอนที่นางเขียนเองชัดๆ ถูกโม่เสวี่ยิ่มาลอกเอาไป แต่พี่ชายกลับบังคับให้ตนเองขออภัยต่ออีกฝ่าย นับแต่นี้ต่อไปยังจะถูกกักขังมิให้ไปไหนอีก ใช่สิ ในบทกลอนต่างกันเพียงตัวอักษรเดียว ครั้งแรกที่เห็นเนื่องจากตนเองกำลังควันออกหู จึงมิได้สังเกตให้ชัด
แต่แล้วอย่างไรเล่า เช่นนี้ก็ยังไม่อาจกลบเกลื่อนความจริงที่ว่าโม่เสวี่ยนิ่ลอกบทกลอนของนางอยู่ดีมิใช่หรือ
บทกลอนของนางเขียนไว้ว่า
“กระโปรงน้องปักลายผีเสื้อคู่ โฉมตรูงามหน้าแฉล้มพวงแก้มใส พิรุณพรำยืนเปลี่ยวอยู่เดียวดาย ตั้งใจหมายรอนางแอ่นคืนรวงรัง”
ส่วนบทกลอนของโม่เสวี่ยิ่เขียนว่า
“กระโปรงน้องปักลายผีเสื้อคู่ โฉมตรูงามหน้าแฉล้มพวงแก้มใส พิรุณโปรยยืนเปลี่ยวอยู่เดียวดาย ตั้งใจหมายรอนางแอ่นคืนรวงรัง”
ตัวอักษรผิดกันเพียงตัวเดียว นางจึงไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง หากโม่เสวี่ยิ่ไม่เคยอ่านมาก่อน ไฉนจึงเขียนออกมาคล้ายคลึงกันถึงเพียงนี้เล่า
คนเราอาจมีหน้าตาเหมือนกัน บทกลอนก็อาจมีส่วนคล้ายคลึงกัน แต่หากถอดแบบแทบทุกกระเบียดเยี่ยงนี้จะให้ผู้ใดเชื่อว่าโม่เสวี่ยิ่มิได้ลอกมา
แต่พี่ชายกลับให้นางกล่าวคำขอขมาต่ออีกฝ่าย แล้วซือหม่าเหอเยี่ยนผู้มีความภาคภูมิใจในตนเองตลอดมาจะยอมรับได้อย่างไร ชั่วขณะนั้นนางไม่คิดจะยอมแพ้ หากทำให้กลายเป็เื่ใหญ่ แล้วให้พี่ชายไปหยิบหนังสือรวมบทกลอนนั้นมา ถึงเวลาโม่เสวี่ยิ่ต้องจนด้วยหลักฐาน
“น้องหญิง ยามที่ออกมาจากบ้านท่านแม่กำชับไว้ว่าอย่างไร อย่าเอาแต่ใจและให้ระวังตัวอย่าล่วงเกินต่อฮองเฮา พระสนมและองค์หญิงใช่หรือไม่ เ้าไม่ดูให้ชัดเจนก็กล่าวหาผู้อื่นซี้ซั้ว หากเื่นี้รู้ไปถึงหูท่านแม่ ไม่ยิ่งทำให้ท่านโมโหจนล้มเจ็บไปกว่านี้อีกหรือ”
ซือหม่าหลิงอวิ๋นรู้จักน้องสาวผู้นี้ดีกว่าใคร เห็นดวงตาแข็งขืนก็รู้ได้ว่า้าเอาเื่ให้ถึงที่สุด จึงกดเสียงต่ำพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างละมุนละม่อม
เมื่อพี่ชายอ้างอิงถึงฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวผู้เป็มารดา ซือหม่าเหอเยี่ยนก็อ้าปากค้าง พูดไม่ออก นางเข้าใจความหมายของพี่ชาย ก่อนเข้าวังมารดาสั่งเอาไว้ว่าอย่าให้เกิดเื่เด็ดขาด เพราะอาจส่งผลมาถึงเื่การสืบทอดบรรดาศักดิ์โหวของพี่ชาย ท่านแม่รอคอยมานานหลายปี ครานี้นับได้ว่ามีความหวังแล้ว
เมื่อนึกถึงสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังของท่านแม่ผู้มีสุขภาพอ่อนแอ แม้ต้องทนกล้ำกลืนความไม่เป็ธรรมเพียงใดก็ต้องจำยอม ซือหม่าเหอเยี่ยนขบริมฝีปาก ข่มความคับแค้นแน่นอกไว้ภายใน นางไม่อาจทำให้พี่ชายต้องเสียเื่ยามนี้ได้
หลังตัดสินใจแล้ว จึงหันไปหาโม่เสวี่ยิ่ “คุณหนูใหญ่โม่ วันนี้ข้าหุนหันพลันแล่นเกินไป เนื่องจากกลอนสองบทนี้คล้ายคลึงกันมากจริงๆ ต่างกันเพียงตัวอักษรเดียวเท่านั้น จึงนึกไปว่าเป็กลอนของพี่ชาย”
ซือหม่าเหอเยี่ยนไม่อาจระงับอารมณ์ของตนเองได้อย่างแท้จริง แม้จะกล่าวขออภัย แต่ยังคงเผยความนัยบางอย่าง นางไม่เชื่อว่าทุกคนได้ยินแล้วจะไม่เข้าใจ ต่างกันเพียงหนึ่งอักษร นางยอมรับได้ แต่บทกลอนที่ต่างกันหนึ่งอักษรจะเป็กลอนที่เขียนเองทั้งหมดจริงหรือ
ทันทีที่เห็นซือหม่าหลิงอวิ๋นปรากฏตัว โม่เสวี่ยิ่ตัดสินใจทันทีว่าครานี้จะเพียงบีบน้ำตา แสร้งว่าไม่ได้รับความเป็ธรรม ทางหนึ่งช่วยให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นรู้สึกเห็นใจ อีกทางหนึ่งก็เป็การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในใจของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์
ยามนี้นางเพียรคิดถึงแต่เื่ดีทั้งสิ้น แม้ว่าน้ำตาจะคลอหน่วย แต่เบื้องลึกแววตาหามีความโศกสลดแม้แต่น้อย เห็นซือหม่าเหอเยี่ยนกล่าวขออภัยต่อตนเองก่อน ขณะที่คิดจะตอบกลับ ประโยคสุดท้ายของอีกฝ่ายกลับทำให้จุกจนพูดไม่ออก
รอยยิ้มของซือหม่าหลิงอวิ๋นพลันชะงักค้าง สีหน้าเปลี่ยนเป็ดุดัน ต่างกันหนึ่งตัวอักษร หากมีคนหูดีได้ยินเข้า นี่จะมิใช่เื่เล็กอีกต่อไป
จวนเจิ้นกั๋วโหวไม่อาจแบกรับชื่อเสียงเช่นนั้นได้
“น้องหญิง เ้าเป็คุณหนูใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วโหว ถึงขนาดนี้แล้วเหตุใดจึงไม่ยอมรับผิดอีกเล่า หรือต้องให้พี่ชายไปเชิญท่านแม่มา”
เมื่อเห็นพี่ชายที่มักจะเอ่ยวาจานุ่มนวลกับนางเสมอถึงขั้นขึ้นเสียงตำหนิต่อหน้าผู้คน ทั้งยังขู่จะเชิญท่านแม่มาอีก แม้ซือหม่าเหอเยี่ยนจะเชื่อมั่นในความถูกต้องของตนเอง ยามนี้ก็ยังรู้สึกหวาดวิตก ไม่รู้ควรรับมือเช่นไร น้ำตาเอ่อคลออย่างสิ้นหวัง ได้แต่ร้องโอดครวญกับซือหม่าหลิงอวิ๋น “พี่ชาย...”
“เอาล่ะ เมื่อเื่ราวชัดเจนดีแล้วว่าเป็เพียงความเข้าใจผิดของคุณหนูเจิ้นกั๋วโหว ก็ช่างเถิด เป็อุทาหรณ์ให้คุณหนูทั้งหลาย ต่อไปก่อนจะพูดสิ่งใดให้พิจารณาให้ดีก่อน” เหวินกุ้ยเฟยกระแอมกระไอ ก่อนช่วยพูดประนีประนอมกับทุกฝ่าย
นี่คือการตัดสินใจยุติเื่ราวเพื่อความสมานฉันท์ ซูกุ้ยเฟยย่อมไม่พอใจ ปรายหางตามองเหวินกุ้ยเฟยคิดจะเอ่ยทัดทาน แต่ถูกฮองเฮาตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ดูท่าทางคุณหนูเจิ้นกั๋วโหวจะไม่สบายจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าป่วยยังมาร่วมงานเลี้ยงจนเกิดเื่ราวเช่นนี้อีก ยังไม่รีบประคองนางให้ลุกขึ้นอีก อย่าให้เื่เล็กกลายเป็เื่ใหญ่ ให้ฝ่าาทรงระคายเคืองพระทัยได้”
ยามนี้ฮองเฮาย่อมตระหนักได้ว่าความจริงเป็เช่นไร งานเลี้ยงกำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า หากมีเื่แอบอ้างขโมยผลงานเกิดขึ้นที่นี่จะพานเสียหน้ามาถึงตนเองด้วย เมื่อครู่นับได้ว่านางยอมรับผลงานของโม่เสวี่ยิ่ไปแล้ว ถึงพิสูจน์ต่อไปไม่ว่าจะเป็การแอบอ้างจริงหรือไม่ ย่อมไม่ต่างอันใดกับถูกฉีกหน้าซ้ำสอง ผู้เป็เ้านายปกครองวังหลังต้องรักษาเกียรติและศักดิ์ศรี หากปล่อยให้เื่ล่วงรู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณฝ่าา นางคงไม่อาจอธิบายได้ คิดถึงท่าทางออดอ้อนของซูกุ้ยเฟยยามอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ฝ่าา โทสะก็พลันลุกโชนจนไม่อาจระงับ จึงคิดระบายอารมณ์ทั้งหมดลงที่ซือหม่าเหอเยี่ยนเพียงผู้เดียว
หากไม่ใช่เพราะนาง งานเลี้ยงคืนนี้ก็คงไม่เกิดเื่น่าอับอายให้คนหัวเราะเยาะ
เมื่อถูกอองเฮาตำหนิก็นับว่าซือหม่าเหอเยี่ยนเป็ที่รังเกียจของพระนางไปแล้ว เช่นนั้นต่อไปคุณหนูสกุลไหนจะคบหาด้วยอีกเล่า ความเสียหายยังอาจเกี่ยวพันต่อเนื่องไปถึงเื่แต่งงานอีกด้วย สีหน้าของซือหม่าเหอเยี่ยนพลันตะลึงค้าง ยิ่งเห็นสายตาของพี่ชายเ็าราวกับน้ำแข็ง ความเศร้าสลดพลันท่วมท้นในหัวใจ คุกเข่าลงทำนบน้ำตาพังทลาย
ยามนั้นเอง พลุไฟถูกจุดขึ้นฟ้า แสดงให้รู้ว่างานเลี้ยงทางฝั่งของจักรพรรดิสิ้นสุดลงแล้ว
ฮองเฮาทรงลุกขึ้น กวาดพระเนตรมองซือหม่าเหอเยี่ยนและโม่เสวี่ยิ่อย่างเฉยชาปราดหนึ่ง ก่อนหมุนพระวรกายพาเหล่าขันทีและนางกำนัลไปยังท่าน้ำ เรือสำราญที่รอรับเสด็จอยู่ที่นั่นมีขนาดใหญ่จุคนได้นับร้อย คนบนเกาะทางฝั่งซ้ายก็เริ่มแยกย้ายกันไปขึ้นเรือที่จอดรออยู่เช่นกัน
หลังจากลงจากเรือสำราญแล้ว จักรพรรดิทรงนำขุนนางใหญ่ทั้งหลายมารออยู่ที่ริมชายฝั่ง แม้งานเลี้ยงสิ้นสุด แต่ยังมีงานชมโคมไฟเพื่อเป็การเอาใจคนหนุ่มสาว ดังนั้นทุกคนจึงยังไม่แยกย้ายกลับจวน สาวใช้ของแต่ละคนที่ยืนรออยู่ต่างรีบออกไปหาเ้านายของตนเอง เพื่อตามปรนนิบัติข้างกาย
จักรพรรดิและฮองเฮาเดินนำเหล่าพระสนมและข้าราชบริพารทั้งหลายปลีกตัวออกไป บัดนี้ที่นี่จึงกลายเป็ดั่ง์ของคนหนุ่มสาว
เนื่องจากจักรพรรดิทรงมีพระประสงค์ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกสนานเหมือนเช่นงานรื่นเริงของประชาชนนอกวัง จึงได้จัดเทศกาลโคมไฟขึ้น เหล่าคุณหนูคุณชายก็ไม่ต้องเคร่งครัดในธรรมเนียมเกินไป บรรยากาศผ่อนคลายเหมือนตลาดนอกวังหลวง ชายหญิงสามารถร่วมเล่นสนุกกันได้เต็มที่ ด้วยเหตุนี้ในวังจึงสว่างไสวไปด้วยโคมไฟมากมายราวกับเป็ยามทิวากาล บรรดาหญิงสาวแต่งกายงดงาม อาภรณ์พลิ้วล้อลม กลิ่นกายหอมฟุ้งกำจาย น้ำเสียงไพเราะหวานหูกระซิบกระซาบคุยกัน สร้างสีสันและความสดใส
พี่ชายน้องสาวบ้านเดียวกัน หรือเป็ญาติสนิทมิตรสหายต่างจับกลุ่มคุยกัน เดินชมโคมไฟอย่างเพลิดเพลินโดยไม่มีคนที่บ้านมาคอยจ้องจับผิด
ทันทีที่โม่เสวี่ยถงก้าวขึ้นฝั่ง โม่เยี่ยก็วิ่งเข้ามาทว่ายังสงวนวาจา มีนางกำนัลถือโคมไฟปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นไม้กวักมือเรียกพวกนาง
“คุณหนู” โม่เยี่ยม่านตาหรี่วูบ
“อย่าเพิ่งด่วนใจร้อน เข้าไปดูก่อน” ดวงตาของโม่เสวี่ยถงนิ่งสงบ ยกยิ้มเล็กน้อย เอ่ยปรามเบาๆ โม่เยี่ยมีวรยุทธ์ไม่เหมือนโม่อวี้และโม่หลัน ดังนั้นนางกำนัลเพียงคนเดียวย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
อีกด้านหนึ่ง โม่เสวี่ยิ่กำลังจับตามองโม่เสวี่ยถงอยู่ เห็นนางรับคำเชิญและตามนางกำนัลผู้นั้นไป ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างพึงใจ ก่อนกวักมือเรียกโม่ซิ่ว แล้วชี้ไปที่ซือหม่าหลิงอวิ๋นซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก “นำทางซื่อจื่อ บอกว่าพวกนางไปแล้ว”
“เ้าค่ะ” โม่ซิ่วรับคำสั่ง แล้วหมุนตัวไปหาซือหม่าหลิงอวิ๋นที่อยู่อีกด้านหนึ่งอย่างไร้สุ้มเสียง
โม่เสวี่ยถงพาโม่เยี่ยเดินไปอยู่เบื้องหน้านางกำนัลผู้นั้น ผงกศีรษะแสดงให้รู้ว่าพร้อมแล้ว จากนั้นก็เดินตามไปบนทางแคบสายหนึ่ง
เส้นทางนั้นไม่ค่อยมีโคมไฟมากนัก มีเพียงหนึ่งถึงสองดวงที่แขวนอยู่บนต้นไม้ แสงสีส้มสลัวรางทำให้บรรยากาศยิ่งวังเวง
“ตอนนี้ทราบหรือยังว่าเป็คุณชายจากสกุลใด” โม่เสวี่ยถงเอ่ยถามพลางชะงักฝีเท้า มีโม่เยี่ยคอยประคองอยู่ด้านข้าง ยามนี้นางอยู่ระหว่างทางเดินแคบ ผู้ที่อยู่ด้านนอกมองไม่เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านใน สถานที่เปลี่ยวเช่นนี้ ดูเงียบเหงาแตกต่างจากความครึกครื้นของอีกฟากโดยสิ้นเชิง บรรยากาศที่นี่ทำให้รู้สึกว่ายังเป็ฤดูหนาว ยามลมพัดโชยมาชายกระโปรงพลันสะบัดเสียงดังพรึ่บพรั่บ
“คุณหนู ท่านรีบเดินหน่อยเถิดเ้าค่ะ พ้นจากถนนสายนี้ไปก็เป็ศาลาฉิงฟางเก๋อแล้ว พอคุณชายท่านนั้นลงจากเรือสำราญก็ให้บ่าวมารับท่าน หากไม่รีบไปอีกจะสายได้นะเ้าคะ” เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงหยุดเดิน ดวงตาของนางกำนัลผู้นั้นพลันฉายแววกังวลและหันมาเร่ง