ความมืดเข้าปกคลุมเมืองไป่หลิง ไม่ว่าจะเป็หยวนซิวหรือจื๋อซิวต่างก็ตกตะลึง ยามนี้ทุกคนรู้สึกราวกับอยู่ในห้วงฝัน
เหยียนซิงป้าไม่ได้อยู่บนเรือรบทองคำสีเพลิงเพียงลำพัง บนนั้นยังมียอดฝีมือทั้งแปดแห่งหอนักรบด้วย และทุกคนมาเพื่อช่วยเหลือเฮ่อเจิ้งหยาง
เรือรบะเิครั้งนี้จึงมีผู้เสียชีวิตทันทีสี่ราย พิการสามราย และาเ็อีกสองราย ซึ่งทำให้เฮ่อเจิ้งหยางใกลัวจนแทบสิ้นสติ
ยอดฝีมือจื๋อซิวจากสี่สำนักล้วนตกตะลึงเช่นกัน อาจารย์อาช่างโเี้เหลือเกิน ท่านแทบจะกวาดล้างหอนักรบทั้งหมดของสำนักชื่อหยวนปังด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว
นี่เป็เหตุการณ์ที่จะทำให้โลกตะลึงอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นในการต่อสู้ระหว่างหยวนซิวและจื๋อซิวเท่าใดนัก
หลานเซิ่งเจี๋ยและหลานซานเยวี่ยหวาดกลัวมากจนใบหน้าซีดเซียว พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง
“จะ...เ้า...เ้าคือบุปผารัตติกาลแห่งสำนักวั่นจื๋อหรือ?”
เหยียนซิงป้าถามเสียงสั่น ยามนี้ใบหน้าเย่อหยิ่งของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
“คนจากสำนักชื่อหยวนปังของเ้ารังแกศิษย์ของข้า เ้าอยากให้เขาสละตัวเองเพื่อรับผิดหรืออยากให้ข้าส่งเขาเป็การส่วนตัว?”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา เฮ่อเจิ้งหยางก็ตื่นตระหนกจนเนื้อตัวสั่นเทาก่อนจะพูดอย่างกังวล “ผู้ดูแล สำนักชื่อหยวนปังของเราเคยก้มหัวให้จื๋อซิวหรืออย่างไร?”
ท่าทางลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหยียนซิงป้า หากเฮ่อเจิ้งหยางต้องสังหารตัวตายจริงๆ นั่นจะเป็การทำให้สำนักชื่อหยวนปังเสียหน้าอย่างรุนแรง
“ยอดฝีมือเฮ่อไม่ทราบรายละเอียดเบื้องลึกของเื่นี้ จึงทำให้หลายคนขุ่นเคืองด้วยความเข้าใจผิด โชคดีที่ศิษย์ของข้าปลอดภัยดี เพื่อเห็นแก่สำนักชื่อหยวนปัง จงลงมือเพื่อแสดงศักดิ์ศรี”
“การให้เขาสละชีพด้วยตนเองนับว่าข้าเกรงใจพวกเ้ามากแล้ว จงเลือกว่าจะให้เขาสละชีวิตลงที่นี่ในวันนี้ หรือจะให้ข้ากวาดล้างหอนักรบของเ้า!” เยี่ยหลิงหลานตอบอย่างเ็าราวน้ำแข็ง
ความมืดเคลื่อนเข้าปกคลุมอีกครา แรงกดดันอันทรงพลังกดทับเหยียนซิงป้า บังคับให้เขาคำรามและต่อต้านอย่างสิ้นหวัง และในท้ายที่สุด เขาก็ต้องคุกเข่าลงด้วยความอัปยศอดสู
“เ้าทำเกินไปแล้ว!”
เหยียนซิงป้ารู้สึกอับอายอย่างยิ่ง ป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งลอยออกมาจากร่างของเขา มันเปล่งประกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัว ก่อนที่ร่างหนึ่งจะปรากฏขึ้น นั่นคือผู้ไร้เทียมทานแห่งสำนักชื่อหยวนปัง
เยี่ยหลิงหลานเยาะเย้ย ห้วงอากาศพังทลายลงและมีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นในป้ายคำสั่งด้วยการสะบัดมือซ้ายของนาง ร่างผู้ไร้เทียมทานที่ลอยอยู่กลางอากาศร้องคำราม พื้นปฐีทั้งใต้หล้าราวกับจะแตกสลาย
ผู้คนนับไม่ถ้วนในเมืองไป่หลิงกรีดร้องด้วยความใ และรู้สึกถึงความโกรธแห่งการทำลายล้าง มันคือรัศมีของผู้ไร้เทียมทานที่ะเืทั้งใต้หล้า
“เป็เพียงร่างแยก คุกเข่าลง!”
ทันใดนั้นกลิ่นอายของเยี่ยหลิงหลานก็พุ่งสูงขึ้นราวเ้าแห่งรัตติกาลปราบปราม์และโลก นางยกฝ่ามือขึ้นแล้ววางลงบนร่างผู้ไร้เทียมทาน ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วใต้หล้า ห้วงมิติเวลาก็เกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรง
ในขณะนั้น มีร่างสีทองร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากห้วงอากาศ ส่งเสียงคำรามต่อต้านการรุกรานจากความมืด แต่ก็ถูกเยี่ยหลิงหลานโจมตีจนคุกเข่าลงตรงนั้น
เหยียนซิงป้าตะลึงจนหน้าซีด ก่อนจะพูดเสียงเคร่งเครียดด้วยความหวาดกลัว “เยี่ยซิงหาน เ้าอยากเป็ศัตรูกับสำนักชื่อหยวนปังของข้าหรือ?”
“พูดราวกับว่ายามนี้เราไม่ใช่ศัตรูกัน เหตุใดหยวนซิวจึงให้ความสนใจจื๋อซิวถึงเพียงนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเล่า? บนดินแดนหยวนซิงมีทั้งวังดาราและจวนหยวน แต่พวกเขาไม่เคยยอมรับจื๋อซิว พวกเ้าทั้งโอหังอวดดีและกำเริบเสิบสาน ทั้งยังถูกครอบงำมากจนลืมไปแล้วว่าตนเป็ใคร วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้เ้าเอง!”
เยี่ยหลิงหลานสะบัดแขน สายลมพัดผ่านเมฆา ลำแสงหมุนวนล้อมรอบเหยียนซิงป้า เฮ่อเจิ้งหยาง และยอดฝีมือแห่งหอนักรบอีกสี่คน จากนั้นก็ดึงพวกเขาออกมาข้างหน้าจนต้องคุกเข่าเรียงเป็แถว
ทั้งหกคนดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง ความอัปยศดังกล่าวทำให้พวกเขาทั้งเกลียดชังและเสียใจ
ก่อนมาที่นี่ พวกเขายังเย่อหยิ่งและทรงอำนาจมาก ทว่ายามนี้กลับอยู่ในสภาพเช่นนี้ สถานการณ์ทำให้อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาเสียจริง
ท้องฟ้าอันห่างไกลเผยให้เห็นเมฆโลหิต ความโกรธแค้นท่วมท้นหลั่งไหล สร้างความตกตะลึงให้กับจักรวรรดิเชียนซาน และดึงดูดความสนใจของยอดฝีมือจากทุกสารทิศ
ป้ายคำสั่งที่เหยียนซิงป้าเพิ่งสังเวยนั้นทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์ แม้จะไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อเยี่ยหลิงหลาน แต่หลังจากป้ายคำสั่งถูกทำลาย ผู้ไร้เทียมทานก็เริ่มพิโรธแล้ว เมฆโลหิตอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในฟากฟ้า กลืนภูผาธารานับแสนลี้ ซึ่งทำให้ผู้คนตื่นใด้วยความหวาดกลัว
ยอดฝีมือสำนักเชียนเฉ่า สำนักั์พฤกษา สำนักร้อยบุปผา และสำนักทะยานเวหาต่างก็หวาดหวั่น แม้เยี่ยหลิงหลานจะอยู่ที่นี่ แต่ทุกคนรู้ดีว่าสำนักชื่อหยวนปังนั้นทรงพลังเพียงใด ตอนนี้แม้กระทั่งผู้ไร้เทียมทานที่แข็งแกร่งที่สุดก็ปรากฏตัวแล้ว ความบาดหมางครั้งนี้ดูเหมือนจะบานปลายขึ้นเรื่อยๆ
หนิงเทียนมองอาจารย์ด้วยความสับสน ด้วยความแข็งแกร่งของเยี่ยหลิงหลาน การสังหารเฮ่อเจิ้งหยางควรเป็เื่ง่าย แต่เหตุใดนางจึงไม่สังหารเขา แล้วปล่อยให้เฮ่อเจิ้งหยางเรียกผู้แข็งแกร่งจากหอนักรบมาอีก?
ยิ่งไปกว่านั้น พรรคพวกของเหยียนซิงป้าก็ไม่คู่ควรกับเยี่ยหลิงหลานอีกแล้ว นางสามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดได้โดยไม่ให้โอกาสพวกเขาต่อต้าน แต่นางกลับไม่ทำเช่นนั้น นางจงใจปล่อยเหยียนซิงป้าไว้
หลายคนมองข้ามประเด็นนี้ มีเพียงหนิงเทียนเท่านั้นที่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จุดประสงค์ของอาจารย์คืออะไรกันแน่?
“พวกเ้าถอยออกไปก่อน”
เยี่ยหลิงหลานไล่ผู้ดูแลทั้งสี่สำนักออกไป แล้วหันมองหนิงเทียน ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม
“เ้าไม่เข้าใจหรือว่าเหตุใดข้าถึงทำเช่นนี้?”
“อาจารย์กรุณาชี้แจงแก่ศิษย์ด้วยเถิด”
“การทำลายตระกูลหลานและสังหารเฮ่อเจิ้งหยางนั้นง่ายไม่ต่างจากการเหยียบมด แต่เื้ัเฮ่อเจิ้งหยางคือสำนักชื่อหยวนปังจึงต้องระวังเป็พิเศษ อาจารย์ไม่สามารถอยู่เคียงข้างเ้าได้เสมอไป บางครั้งเ้าต้องคิดไตร่ตรองให้มาก”
หนิงเทียนยังคงสับสนและไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์
“หากวันนี้ข้าสังหารเฮ่อเจิ้งหยาง สำนักชื่อหยวนปังจะไม่ยอมแพ้และส่งคนมาล้างแค้นอย่างแน่นอน แต่หากข้าทำลายหอนักรบในวันนี้ จะทำให้จิติญญาของสำนักอ่อนแอลง พวกเขาจะพิจารณาเื่การสังหารเ้าอีกครั้งว่าผลที่ตามมาจากการสังหารเ้านั้นรุนแรงมาก เื่นี้ถึงขั้นทำให้เกิดการสั่นะเื มีเพียงการทำให้พวกเขาหวาดกลัวเท่านั้น พวกเขาจึงจะไม่กล้าโจมตีเ้าอย่างหุนหันพลันแล่น เมื่อนั้นเ้าก็จะมีโอกาสเติบโต”
ในที่สุดหนิงเทียนก็เข้าใจว่าอาจารย์ทำสิ่งนี้เพื่อปกป้องเขา และนางไม่ลังเลเลยที่จะตั้งตนเป็ศัตรูกับสำนักชื่อหยวนปัง
เมฆโลหิตปกคลุมนภา กลิ่นอายชั่วร้ายพุ่งขึ้นสูง แรงกดดันมหาศาลปกคลุมเมืองไป่หลิง พร้อมปลดปล่อยพลังทำลายล้าง
ศิษย์ของทั้งสี่สำนักกลางจัตุรัสต่างหลีกเลี่ยงและซ่อนตัวในบ้านเรือน ด้วยนึกกลัวว่าตนที่เป็ดั่งปลาในบ่อจะพลอยติดร่างแหไปด้วย[1]
ร่างกายของเยี่ยหลิงหลานมืดสนิทราวสีหมึก วังวนแห่งรัตติกาลกลืนกินแสงสว่าง ซึ่งน่าอัศจรรย์อย่างมาก
เหยียนซิงป้า เฮ่อเจิ้งหยาง และอีกหกคนคุกเข่าต่อหน้านาง พร้อมคำรามและดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความอัปยศและความเกลียดชัง
หนิงเทียนเงยหน้ามองเมฆโลหิตบนฟากฟ้า มันดูเหมือนม่านแดงที่ปกคลุมดวงตะวันจันทรา ราวกับเปลวเพลิงที่พยายามกลืนกินทั้งเมือง
“เยี่ยซิงหาน! เ้าสังหารยอดฝีมือแห่งสำนักชื่อหยวนปังอย่างเปิดเผย นี่เป็การเริ่มาระหว่างจื๋อซิวและหยวนซิวหรือไม่?”
ชายชราเต็มไปด้วยความโกรธ น้ำเสียงสั่นะเื ระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในดวงตาของหนิงเทียน พวกมันล้วนเป็รูปแบบทางจิติญญาที่ลึกลับ
“ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านจากสำนักชื่อหยวนปังของเ้า มารังแกลูกศิษย์ของข้าถึงเมืองไป่หลิง นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรือ?”
ชื่อเสียงของเยี่ยหลิงหลานเป็ที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และอุดมการณ์ที่หนักแน่นของนางก็ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
เดิมทีเขาคิดว่าอย่างน้อยเยี่ยหลิงหลานจะอธิบายโดยอ้อมสักสองสามประโยค ใครจะคาดคิดว่านางจะถามถึงอาชญากรรมโดยตรง และไม่สนใจผู้ไร้เทียมทานแห่งชื่อหยวนปังเลย
“บุปผารัตติกาล เ้าคิดว่าข้าไม่กล้าสังหารเ้าจริงหรือ?”
เมฆโลหิตบิดเบี้ยว ทิ้งฝนโลหิตและเสียงร่ำไห้ไว้เื้ั
“สังหารข้า? ถ้อยคำเหล่านี้จะทำให้เ้าต้องเสียใจ ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่อีกสักหน่อยก็จงออกไปเสีย! ไม่เช่นนั้นข้าจะหักกระดูกแก่ๆ ของเ้า และทำให้เ้าคุกเข่าลงที่นี่ไม่ต่างกัน!”
“อวดดียิ่งนัก!” ผู้ไร้เทียมทานคำรามด้วยความโกรธจัด
เยี่ยหลิงหลานบอกว่านาง้าให้เขาคุกเข่าที่นี่ ซึ่งเป็สิ่งที่ทำให้เขาหมดความอดทน
ห้วงอากาศะเิ เมฆโลหิตบิดเบี้ยว ฝนโลหิตบนท้องฟ้ากลายเป็แม่น้ำโลหิตแล้วแปรเปลี่ยนเป็ทะเลสาบโลหิต ราวกับัโลหิตขนาดั์ขดตัวอยู่รอบร่าง พร้อมแสงสีทองเจิดจ้า
“มาสู้กันสักตั้ง!”
ผู้ไร้เทียมทานของสำนักชื่อหยวนปังภูมิใจในสถานะของตน และไม่สนใจที่ลงมือในเมือง ซึ่งจะเป็การทำร้ายผู้ไม่เกี่ยวข้องจำนวนนับไม่ถ้วน
“เตือนครั้งที่สอง หากเ้าคิดสู้กับข้า เ้าจะต้องเสียใจ!”
“อย่าเย่อหยิ่งให้มากนัก ยามข้ามีชื่อเสียง ปู่ของเ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ! ถ้าเ้าไม่กล้าสู้ก็จากไปเสียแล้วปล่อยศิษย์ของข้า ไม่เช่นนั้นอย่าโทษข้าที่ไร้ปรานี!”
“เท้าข้างหนึ่งอยู่ในโลงศพแล้วยังกล้าแสดงตนเช่นนี้อีกหรือ? ข้าจะช่วยสงเคราะห์เ้าเอง!”
กล้วยไม้ราตรีผุดขึ้นจากพื้นดินราวกับความมืดมิดที่แผ่ไปถึงท้องนภา
หนิงเทียนยืนอยู่ใต้เงาของอาจารย์ และจ้องมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสงสัย เขาไม่เคยเห็นการต่อสู้กับศัตรูในระยะใกล้เช่นนี้เลย
ภายในเมฆโลหิต ร่างั์สูงหมื่นจั้งยืนตระหง่านราวภูผา พร้อมสร้างผนึกด้วยมืออย่างรวดเร็ว ฝ่ามือเต็มไปด้วยแสงแห่งการเปลี่ยนแปลงอันไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเป็สิ่งที่หนิงเทียนไม่รู้จักแม้แต่น้อย เนื่องด้วยระดับที่สูงและลึกซึ้งเกินไป
หนิงเทียนยังไม่มีวิสัยทัศน์ระดับนั้น เขาจึงมองเห็นเพียงโลหิตและความมืดมากันกลางอากาศ ก่อนจะหลอมเข้าหากันราวหิมะละลายในวสันตฤดู
ดอกบัวสีนิลลอยอยู่ข้างกายเยี่ยหลิงหลาน ทั้งยังแกว่งไกวราวกับวังวนความวุ่นวายที่สามารถสลายทุกสิ่ง
ผู้ไร้เทียมทานของสำนักชื่อหยวนปัง เป็ชายชราผมขาวผู้มีหนวดเคราและสวมชุดคลุมสีแดงปักลายเมฆา
คนผู้นี้มีพลังที่แข็งแกร่ง แสงสีเืบนหน้าผากพุ่งตรงขึ้นฟ้า ซึ่งมีอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็เมฆโลหิตปกคลุมพื้นที่หลายพันลี้ สามารถแผดเผาทุกสิ่งและทำลายล้างทุกอย่างได้
การต่อสู้ครั้งนี้สั่นะเืทั้งใต้หล้า ดึงดูดความสนใจจากยอดฝีมือนับไม่ถ้วนในบริเวณใกล้เคียง ทุกคนต่างเดาว่าผู้ใดจะเป็ผู้ชนะ
การต่อสู้ที่ดุเดือดมาพร้อมกับเสียงฟ้าคำรามดังกึกก้อง เมฆโลหิตไม่ต่างจากเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ในความมืด
เยี่ยหลิงหลานทรงพลังอย่างมาก นางสะบัดฝ่ามือขึ้นสูงแล้วทำลายทั้งหมดด้วยฝ่ามือเดียว เมฆโลหิตพังทลายลงพร้อมเสียงคำรามและกรีดร้อง พร้อมทุบตีผู้ไร้เทียมทานแห่งสำนักชื่อหยวนปังจนแหลกด้วยฝ่ามือเดียว
ความมืดมิดซ่อนรายละเอียดไว้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้ยอดฝีมือจากทุกด้านหวาดผวา
“เยี่ยซิงหานโเี้ขนาดนี้ั้แ่เมื่อใด?”
“บุปผารัตติกาลผู้นี้เก็บตนลึกลับเสมอ ความแข็งแกร่งของนางเป็ปริศนาซ่อนเร้น แต่ดูเหมือนสิ่งนี้จะเพิ่งพัฒนามาได้ไม่นานนัก”
“แม้ผู้ไร้เทียมทานแห่งสำนักชื่อหยวนปังจะชราจนเหี่ยวเฉาแล้ว แต่เขาก็เป็ผู้ทรงพลังที่มีชื่อเสียงมาหลายปี ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกทุบเป็ชิ้นๆ ด้วยฝ่ามือเดียว”
ยอดฝีมือในดินแดนหยวนซิงกำลังสนทนากันเป็การส่วนตัว และพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเยี่ยหลิงหลาน
บนท้องฟ้าเหนือเมืองไป่หลิง ฝนโลหิตทำให้ทั้งแผ่นดินสั่นะเื เืของผู้ไร้เทียมทานนั้นทรงพลังอย่างมาก ยิ่งเป็เืของผู้ไร้เทียมทานหยวนซิวก็ยิ่งล้ำค่า
เมื่อเืของเขากระจายไปทั่วูเาไป่หลิง เหล่าพฤกษาก็ล้วนดูดซับพลังอย่างดุเดือด จนเกิดทัณฑ์์มากมายอยู่ระยะหนึ่ง
เสียงคำรามโหยหวนเต็มไปด้วยความโกรธและความคับข้องใจ เมฆโลหิตที่แตกสลายพยายามรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถูกเยี่ยหลิงหลานพังทลายลงในชั่วพริบตา
“น่ารังเกียจ! ข้าไม่อาจละเว้นเ้าได้...อ๊าก!”
ผู้ไร้เทียมทานแห่งสำนักชื่อหยวนปังกรีดร้องด้วยความเกลียดชัง ร่างกายที่เพิ่งควบแน่นถูกเยี่ยหลิงหลานะเิออกอีกครั้ง คราวนี้เขาาเ็สาหัสจนกะโหลกศีรษะแตก
ห้วงอากาศปั่นป่วน เืลมแตกซ่าน ผู้ไร้เทียมทานชราภาพเต็มไปด้วยความหงุดหงิดไม่รู้จบ และด้วยการะเิอย่างรุนแรงของเยี่ยหลิงหลาน ร่างผู้ไร้เทียมทานก็ถูกทำลายและควบแน่นใหม่ถึงเจ็ดครั้ง ในที่สุดพลังของเขาก็หมดลง และคุกเข่ากลางอากาศด้วยความอัปยศอย่างถึงที่สุด
ร่างทองสูงหมื่นจั้งสะดุดตาอย่างยิ่ง เสียงคำรามที่สั่นะเืท้องนภาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความโกรธเคือง สิ่งนี้ทำให้สำนักชื่อหยวนปังเสียหน้าอย่างไม่เหลือชิ้นดี!
---------------------------------------
[1] ปลาในบ่อจะพลอยติดร่างแหไปด้วย (殃及池鱼) หมายถึง มีเหตุให้ต้องเดือดร้อนจากผู้อื่น ส่วนมากจะใช้คู่กับอีกสำนวนหนึ่ง คือ 神仙打架,殃及池鱼 แปลว่า เทพเซียนตีกัน ปลาในบ่อล้วนติดร่างแห
