หยางหนิงรู้สึกใยิ่งนัก กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เ้าพูดว่าอะไรนะ? ทำไมเราถึงพบพ่อบ้านใหญ่ไม่ได้?” นางเองก็เคยค้างที่บ้านเก่าอยู่หลายวัน ความจำของนางยังดี ยังคงจำชายชราที่มาเปิดประตูได้ เพียงแต่ว่าไม่รู้ชื่อเขาว่าชื่ออะไรเท่านั้น
ชายชราพูดขึ้นว่า “พวกเ้าบอกว่าจะมาพบท่านพ่อบ้านใหญ่ฉีหง เขาไม่ได้อยู่ที่นี่จวนเก่านี่นานแล้ว แน่นอนว่าต้องไม่เจอ”
กู้ชิงฮั่นใมาก นางจึงถามกลับไปว่า “ฉีหงไม่อยู่อย่างนั้นหรือ? เป็ไปได้อย่างไรกัน เขาอยู่จัดการที่นี่มาโดยตลอดมิใช่หรือ?” ยังไม่ทันได้เข้าประตูบ้าน จวนเก่าก็มีเื่แปลกๆ เกิดขึ้นเสียแล้ว
“เ้าอย่าพูดให้มากความอยู่เลย รีบเปิดประตูให้พวกเราเข้าไปเดี๋ยวนี้” หยางหนิงยื่นมือไปผลักประตู แต่ชายชราผู้นั้นขวางเอาไว้ แล้วพูดว่า “ข้าขอเตือนเ้ารีบกลับไปเสียเถอะ หากปลอมตัวเป็ซื่อจื่อ คนในบ้านรู้เข้า พวกเ้าอยากไปก็ไปมิได้แล้วหนา”
หยางหนิงใกับสิ่งที่ชายชราผู้นั้นพูดออกมา แอบคิดในใจว่าชายราผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาสวมรอยเป็ซื่อจื่อกัน?
กู้ชิงฮั่นรู้สึกโกรธยิ่งนัก นางจึงพูดขึ้นว่า “ฉีหงไม่อยู่ที่จวนเก่า แล้วอยู่ที่ไหนเล่า? ตอนนี้ที่นี่ใครเป็ผู้ดูแล?” ไม่รู้ว่าคิดอะไร นางก็พลันถอดหมวกออกมา ผมของนางก็สยายยาวลงมา แล้วจ้องไปที่ชายชราผู้นั้น แล้วพูดขึ้นว่า “เ้ารู้จักข้าหรือไม่?”
ชายชรามองไปด้วยสีหน้าตะลึงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก หลังจากนั้น พอตั้งสติได้ก็พูดออกมาว่า “ฮู...ฮูหยินสาม”
กู้ชิงฮั่นคิดในใจว่าตาแก่นี่ความจำยังดีอยู่ ชายชรารีบเปิดประตู แล้วคุกเข่าลง “ข้าน้อยเสียมารยาท ฮูหยินสามโปรดอภัยข้าน้อยด้วย!”
หยางหนิงยังใอยู่นึกว่าตาแก่นี่ดูออกว่าเขาสวมรอยเป็ซื่อจื่อเสียอีก เห็นชายชราจำกู้ชิงฮั่นได้ เขาถึงได้รู้ว่าเขาเข้าใจผิด แอบคิดว่ากู้ชิงฮั่นกับไท่ฮูหยินยังดูไม่ออก ตาแก่นี่ไม่เคยเจอจิ่นอีซื่อจื่อเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไร
“ลุกขึ้นมาเถิด” กู้ชิงฮั่นเดินผ่านหน้าชายชราผู้นั้น และเดินเข้าไปในบ้าน หยางหนิงเดินตามเข้าไป เมื่อเข้าไปในบ้าน แม้จะเป็กลางวันแสกๆ แต่กลับรู้สึกหนาวเย็น หรือว่าบ้านมันหลังใหญ่เกินไป จนทำให้รู้สึกวังเวง
ชายชราลุกขึ้นมา แล้วปิดประตู จากนั้นก็เดินตามหลังมา หยางหนิงพบว่า ชายชราผู้นี้เดินขาเป๋
ตลอดทาง เห็นเรือนใหญ่ มีสวนมีูเาจำลองมากมาย จนกระทั่งเดินมาถึงห้องโถง ก็ยังไม่เห็นผู้ใด กู้ชิงฮั่นสีหน้าไม่ดี เมื่อเข้ามาที่ห้องโถง ก็หันหลังไปถามชายชราว่า “ผู้คนหายไปไหนกันหมดรึ? เหตุใดที่นี่มันถึงได้เงียบเช่นนี้?”
ชายชราจึงรีบตอบกลับไปว่า “ท่านเฉิงเข้าเมืองไป บอกว่าจะกลับมาคืนนี้ ในจวนยังมีคนอีกราวสิบคน ข้าน้อยจะไปเรียกพวกเขามาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“เดี๋ยวก่อน” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ท่านเฉิงที่เ้าว่าเป็ผู้ใดรึ? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยิน?” จากนั้นก็ถามอีกว่า “จริงสิ ข้าคุ้นหน้าเ้านัก แต่ข้ากลับจำไม่ได้ว่าเ้าชื่ออะไร”
ชายชราจึงตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยเหวยต้ง ตอนที่ฮูหยินสามแต่งเข้าจวนมา ข้าน้อยก็อยู่ที่นี่ด้วย ฮูหยินสามความจำดีจริงๆ ท่านยังจำข้าน้อยได้ด้วย”
“ความจำเ้าก็ดีเช่นกัน ยังจำข้าได้” กู้ชิงฮั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง หยางหนิงนั่งอยู่ข้างๆ มองไปรอบๆ
“ฮูหยินสามท่านไม่รู้จักท่านเฉิงหรือขอรับ?” เหวยต้งรู้สึกแปลกใจนัก “ท่านเฉิงเป็ลูกชายของพ่อบ้านใหญ่ สองปีมานี้ท่านเฉิงเป็ผู้ดูแลเื่ต่างๆ ในจวนเก่าแห่งนี้ ข้าน้อยคิดว่าฮูหยินสามจะรู้อยู่แล้วเสียอีกขอรับ”
“ลูกชายพ่อบ้านใหญ่รึ?” กู้ชิงฮั่นรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่าแล้วถามกลับไปอีกว่า “เ้าบอกว่าหลายปีมานี้เขาเป็คนดูแลที่จวนเก่านี่อย่างนั้นหรือ แล้วพ่อบ้านใหญ่ไปไหนรึ? เมื่อครู่เ้าบอกว่าพวกข้าจะไม่ได้พบพ่อบ้านใหญ่ หมายความว่าอย่างไร?”
เหวยต้งจึงอธิบายว่า “สามปีก่อนจู่ๆ พ่อบ้านใหญ่ก็ป่วยกะทันหัน ไม่สามารถขยับตัวได้ จึงต้องนอนอยู่บนเตียงให้คนดูแลอยู่ตลอดเวลา ยังดีที่ตอนนั้นท่านเฉิงกลับมา...ท่านเฉิงกลับมาได้ไม่นาน เื่ภายในจวนทั้งหมด ท่านเฉิงจึงรับหน้าที่แทนพ่อบ้านใหญ่ไป”
กู้ชิงฮั่นใแล้วพูดว่า “สามปีก่อนอย่างนั้นรึ? เ้าหมายความว่า สามปีมานี้ จวนเก่ากับที่ดินศักดินาทั้งหมดฉีเฉิงเป็คนดูแลอย่างนั้นหรือ?”
เหวยต้งไม่คิดว่ากู้ชิงฮั่นจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงถามด้วยความแปลกใจว่า “ฮูหยินสามท่านไม่รู้เื่อะไรเลยหรือขอรับ? ท่านเฉิงไปเมืองหลวงทุกปี ฮูหยินสามไม่เคยเจอเขาเลยหรือขอรับ?”
หยางหนิงเองก็คิดไม่ถึงว่าจวนเก่านี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้ จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซานเหนียงไม่เคยได้ยินชื่อของชายคนนี้เลยรึ? แล้วพ่อบ้านใหญ่มีลูกชายจริงๆ หรือไม่? แล้วก่อนหน้านี้ฉีเฉิงทำอะไรมาก่อนรึ?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉีหงเป็คนในตระกูลฉี ข้าเองก็มิได้รู้เื่อะไรของเขามากนัก จำได้ว่าบ้านเกิดของเขาอยู่เจียงเซี่ย ต่อมาเขามากับท่านเหล่าโหว แล้วก็ทำงานให้กับจวนเก่าแห่งนี้มาโดยตลอด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขายังมีครอบครัวด้วย”
เหวยต้งพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่ค่อยได้ยินพ่อบ้านใหญ่พูดถึงเื่ครอบครัวเท่าไหร่นัก แต่ว่าเคยได้ยินว่าบ้านเก่าที่เจียงเซี่ยพอมีทรัพย์สมบัติอยู่บ้าง เหมือนจะมีลูกด้วย ส่วน...ส่วนฉีเฉิงทำการค้าอยู่ที่เจียงเซี่ยมาตลอด แต่จู่ๆ เขาก็มาที่จวนเก่านี้ พ่อบ้านใหญ่เองก็ใอยู่ไม่น้อย แต่ว่าเื่ส่วนตัวของพ่อบ้านใหญ่ ข้าน้อยก็ไม่กล้าถามมาก” จากนั้นเขาก็พูดเบาๆ ว่า “แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อบ้านใหญ่กับฉีเฉิงไม่ค่อยดีนัก มีคนเห็นพวกเขาทะเลาะกันอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งพ่อบ้านใหญ่ล้มป่วย ลุกจากเตียงมิได้อีกเลย”
“ที่มาที่ไปของคนที่ฉีเฉิงผู้นี้น่าสนใจดีนัก” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อบ้านใหญ่สบายดีมาตลอด พอฉีเฉิงมาหาเท่านั้น เขาก็ล้มป่วยลง ซานเหนียง เื่นี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลใช่หรือไม่?” จากนั้นเขามองไปที่เหวยต้ง แล้วถามว่า “พ่อบ้านใหญ่ป่วย ไม่สามารถดูแลจวนเก่าได้ เคยส่งคนไปแจ้งที่เมืองหลวงบ้างหรือไม่?”
เหวยต้งพูดว่า “วันนั้นฉีเฉิงส่งคนไปยังเมืองหลวง พ่อบ้านใหญ่ลุกไม่ขึ้น จวนเก่านี้ไม่มีผู้ใดสั่งการอะไรได้ ฉีเฉิงจึงรับ่ต่อดูแลชั่วคราว”
“ทางจวนโหวไม่รู้เื่อะไรเลยหรือขอรับ” ดวงตาของกู้ชิงฮั่นเต็มไปด้วยความใ “ฉีเฉิงรับ่ของพ่อบ้านใหญ่ คนอื่นๆในจวนเก่าก็ไม่พูดอะไรเลยหรือ? เขามีสิทธิ์อะไรทำหน้าที่แทน”
เหวยต้งพูดด้วยความใว่า “เอ่อ...เอ่อสิ่งนี้เป็เจตนารมณ์ของทางจวนโหว คนที่ส่งไปที่เมืองหลวงนำจดหมายกลับมาด้วยฉบับหนึ่ง ในนั้นเขียนว่า เื่ของจวนเก่านี้ ต่อไปก็ให้ฉีเฉิงรับหน้าที่แทนพ่อบ้านใหญ่ คนของจวนเก่าทั้งหมดจะต้องฟังคำสั่งของฉีเฉิงขอรับ”
“ซานเหนียง ดูเหมือนว่าเื่ที่เราไม่ยังไม่ทราบมันจะมีมากกว่าที่พวกเราคิด” หยางหนิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “จวนเก่ามีการเปลี่ยนแปลงพ่อบ้านใหญ่ แม้แต่ท่านก็ยังไม่รู้เื่”
กู้ชิงฮั่นนิ่งไปและนั่งเงียบอยู่นาน จึงถามขึ้นว่า “เ้าบอกว่าฉีเฉิงจะกลับมาคืนนี้ใช่หรือไม่?”
“เขาไปเมื่อวาน บอกว่าจะเข้าเมืองไปดูพ่อบ้านใหญ่ในเมืองจิงโจว” เหวยต้งพูดต่ออีกว่า “หลังจากที่พ่อบ้านใหญ่ล้มป่วย ฉีเฉิงก็ส่งเขาไปรักษาตัวที่เมืองจิงโจว ข้าน้อยเองก็ไม่ได้พบท่านพ่อบ้านใหญ่มานานมากแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็อย่างไรบ้าง ก่อนเขาจะไป พูดแค่ว่าช้าสุดก็กลับมาคืนนี้ขอรับ”
กู้ชิงฮั่นยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “ก็ดี ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าฉีเฉิงเป็เทวดามาจากไหน” จากนั้นก็ถามอีกว่า “เ้ารู้เื่เงินภาษีหรือไม่? เงินภาษีของทางเจียงหลิง ส่งช้าไปเป็เดือนแล้วหนา เหตุใดถึงยังไม่ส่งไปอีก?”
เหวยต้งพูดอย่างมึนงงว่า “ข้าน้อยมีหน้าที่เฝ้าประตูเท่านั้น ไม่...ไม่รู้เื่พวกนี้เลยขอรับ” แล้วพูดอีกว่า “จริงสิ ท่านจ้าวอยู่ในจวน เขาดูแลบัญชีของทางจวนเก่า บัญชีทุกอย่างจะต้องให้เขาตรวจก่อน ข้าน้อยจะไปตามเขามา เขาน่าจะรู้เื่ภาษีดีขอรับ” เขากำลังจะไปตามท่านจ้าวมา กู้ชิงฮั่นก็เรียกเขาเอาไว้ “ช้าก่อน เหวยต้ง ที่จวนเก่านี้มีผู้ดูแลที่แซ่หลัวบ้างหรือไม่?”
“ผู้ดูแลหลัวหรือขอรับ?” เหยวต้งถามอย่างใ แล้วส่ายหน้าพูดว่า “ในจวนมีทั้งหมดสิบหกคน นอกจากห้องบัญชี ห้องครัว ห้องคลัง คอกม้าที่ถูกจัดคนดูแลเอาไว้อยู่แล้ว ก็มีคนที่ฉีเฉิงจ้างมา ครั้งนี้ก็ตามฉีเฉิงเข้าเมืองไป ข้าน้อยจำได้ว่า ในบรรดาคนพวกนั้นไม่มีคนที่แซ่หลัว นอกจากพ่อบ้านใหญ่แล้ว ในจวนก็มีแค่ท่านจ้าวที่เป็บัณฑิต ไม่มีผู้ดูแลคนอื่นอีก มีแค่สิบกว่าคน มีพ่อบ้านใหญ่ก็พอแล้ว เพราะไม่เหมือนเมืองหลวง ไม่ต้องใช้ผู้ดูแลมากมายนัก”
กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะฉลาด แต่ในตอนนี้ก็เหมือนจะอึ้งตะลึงไป แม้แต่หยางหนิงเองยังรู้สึกว่าที่จวนเก่านี้มันรู้สึกแปลกๆ
“เ้าไปเชิญท่านจ้าวมาก่อนไป” กู้ชิงฮั่นยกมือโบกให้เหวยต้งไปตามคนมา เหวยต้งโค้งตัวแล้วถอยหลังออกไป
กู้ชิงฮั่นวางมือบนที่เก้าอี้ สีหน้าของนางดูเคร่งเครียด เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ หยางหนิงรู้ว่าตอนนี้กู้ชิงฮั่นจะต้องจับต้นชนปลายไม่ถูกแน่ๆ จึงเข้าไปใกล้ๆ แล้วพูดว่า “ซานเหนียง หลายปีมานี้ ภาษีมีขาดส่งบ้างหรือไม่?”
“นอกจากครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะช้าไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยขาด” กู้ชิงฮั่นเงยหน้าขึ้นมา ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า:“เหวยต้งบอกว่าหลังจากพ่อบ้านใหญ่ล้มป่วยลง ก็ได้ส่งคนไปแจ้งที่เมืองหลวง แต่ว่าข้าไม่รู้อะไรเลย หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้เงินไม่ส่งไปสักที เราก็คงไม่ได้กลับมาที่นี่ เื่ที่เกิดขึ้นที่นี่ ข้าเหมือนอยู่ในกะลาไม่รู้อะไรเลย” นางพูดด้วยความโมโหว่า “ไท่ฮูหยินไว้ใจให้ข้าดูแลเื่ต่างๆ ของจวน แต่ข้ากลับ...ข้ามันใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”
“ที่มันห่างไกล บวกกับก่อนหน้านี้เงินภาษีก็ไม่เคยล่าช้าหรือขาดเลย ซานเหนียงจะไปคิดถึงได้อย่างไรว่าที่จวนเก่านี้จะเกิดเื่” หยางหนิงพูดเบาๆ อีกว่า “แต่ว่ามีเื่หนึ่งตอนนี้สามารถแน่ใจได้ หากที่นี่ส่งคนไปยังจวนโหวจริงๆ เพื่อรายงานเื่ของที่นี่ แต่ซานเหนียงกลับไม่รู้อะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามีคนจงใจปิดบัง ไม่ให้ซานเหนียงรู้”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็พ่อบ้านชิว” กู้ชิงฮั่นพูดต่ออีกว่า “หากมีคนจากที่นี่ไปยังเมืองหลวง ทางจวนโหวไม่มีทางให้ไปพักข้างนอกเด็ดขาด อย่าว่าแต่จวนเก่าเลย แม้แต่คนจากเจียงหลิงเองก็ใช่ จวนโหวจะต้อนรับอย่างดี ปกติพ่อบ้านชิวจะเป็คนออกหน้ารับแทน คนที่ทางจวนเก่าส่งไป พ่อบ้านชิวน่าจะรู้ แต่เื่พ่อบ้านใหญ่ล้มป่วยเป็เื่ใหญ่ เหตุใดพ่อบ้านชิวต้องปิดบังข้าด้วย? หรือว่าเขาไม่รู้ ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดไม่ได้ เื่เช่นนี้ อย่างไรข้าก็ต้องรู้สักวัน แล้วถึงเวลานั้นเขาจะบอกกับข้าอย่างไร?”
กู้ชิงฮั่นยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแปลก ขมวดคิ้วไม่หยุด
ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา หยางหนิงมองเห็นหน้าของเขาไม่ชัด คนผู้นั้นคุกเข่าลงกับพื้น แล้วพูดด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อยจ้าวยวน คารวะซื่อจื่อกับฮูหยินสามขอรับ!”
หยางหนิงมองเห็นเขาสวมเสื้อแขนยาว สวมหมวกสีเขียว แต่งตัวเหมือนพวกบัณฑิต
“เ้าก็คือท่านจ้าวอย่างนั้นหรือ? ลุกขึ้นพูดเถิด” กู้ชิงฮั่นดูแลจวนมาหลายปี แถมเกิดในตระกูลใหญ่ ลักษณะท่าทางมีสง่าราศี ในเวลานี้พูดด้วยท่าทางที่สุขุมอย่างยิ่ง
พอนักบัญชีจ้าวยวนลุกขึ้น ก็เห็นร่างกายของเขาซูบผอม ไว้หนวดแปดเหลี่ยม อายุราวๆ สี่สิบปี ดูมีความรู้ ฉลาด สีหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาพูดด้วยความเคารพว่า “ไม่รู้ว่าซื่อจื่อกับฮูหยินสามมา ทางนี้จึงไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย ซื่อจื่อกับฮูหยินสามโปรดอภัยด้วย”
“นักบัญชีจ้าว ข้าขอถามเ้าหน่อย เงินภาษีของเจียงหลิง เหตุใดถึงยังส่งไม่ถึงเมืองหลวงสักที?” กู้ชิงฮั่นถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม:“เกิดเื่อะไรขึ้นรึ?”
“เงินภาษีอย่างนั้นหรือขอรับ?” จ้าวยวนสีหน้าใ “ฮูหยินสาม ท่านหมายถึงเงินภาษีของเมื่อไหร่หรือขอรับ?”
“ก็ต้องของปีนี้อย่างไรเล่า” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หรือเ้าคิดว่าข้าจะมาทวงถามเงินภาษีของปีหน้าหรืออย่างไรกัน?”
ที่จวนเก่านี้ จะส่งเงินภาษีไปเมืองหลวงสองครั้ง ฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ผลิส่งครั้งหนึ่ง ฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวจะส่งอีกครั้งหนึ่ง
จ้าวยวนจึงรีบตอบกลับไปว่า “ฮูหยินสามท่านล้อข้าเล่นใช่หรือไม่ เงินของฤดูใบไม้ร่วงส่งไปั้แ่เดือนเก้าแล้วขอรับ ฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนช้าไปหลายวัน ดังนั้นปีนี้จึงส่งไปเร็วหน่อย เพื่อไม่ให้ทางจวนโหวต้องเป็กังวล ตามหลักแล้วต้นเดือนสิบก็น่าจะถึงจวนโหวแล้ว ไม่มีทางช้าเด็ดขาดขอรับ”