ผู้เฒ่าอวิ๋นจากไปแล้ว อวิ๋นเจียวมองตามแผ่นหลังที่ดูชราภาพนั้น พลางคิดในใจว่าเขาก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก แต่ไม่น่าสงสารเลยสักนิด!
หลังจากเขาจากไป อวิ๋นโส่วจงก็บอกกับอวิ๋นฉี่เยว่ว่า “เ้าอย่าเก็บคำพูดของปู่เ้ามาใส่ใจ ตั้งใจเรียนหนังสือก็พอ”
อวิ๋นฉี่เยว่พยักหน้ายิ้มๆ “ขอรับ ท่านพ่อ!”
เมื่อเห็นเช่นนั้น อวิ๋นโส่วจงก็เอ่ยขึ้น “เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” บุตรชายคนโตของเขาเป็เด็กดี กตัญญูรู้ความ แทบไม่เคยทำให้พ่อแม่อย่างพวกเขาต้องลำบากใจ ตรงกันข้ามกับอวิ๋นฉี่ซานที่ชอบก่อเื่วุ่นวายอยู่เสมอ ั้แ่เด็กๆ ก็ชอบรื้อข้าวของในบ้าน จนทำให้เสียหายไปไม่น้อย
อวิ๋นฉี่เยว่เอ่ยต่อ “ท่านพ่อ ท่านอาจารย์บอกว่าเดือนหน้าให้ข้าไปลองสอบเคอจวี่ [1] ระดับท้องถิ่นดูขอรับ”
อวิ๋นโส่วจง “เ้าตัดสินใจเองเถิด หากเห็นว่าตนเองพร้อมที่จะสอบก็ไปลองดู”
ชุนเหมยและฟางซื่อช่วยกันเก็บกวาดโต๊ะอาหาร อวิ๋นเจียววิ่งกลับไปที่ห้องของตน แล้วนำสบู่ผลึกแก้วที่ทำเสร็จเมื่อตอนบ่ายออกมาให้ทุกคนดู
อวิ๋นฉี่ซานะโขึ้นมาเป็คนแรก “เจียวเอ๋อร์ นี่คือสบู่ผลึกแก้วที่เ้าพูดถึงหรือ? สวยจังเลย หอมด้วย! ดีกว่าสบู่ที่พี่รองทำเป็ร้อยเท่า!”
อวิ๋นเจียวพูดด้วยความภาคภูมิใจ “ใช่แล้ว แต่ต้องตากอีกสองสามวันถึงจะใช้ได้เ้าค่ะ”
ฟางซื่อหยิบสบู่ผลึกแก้วขึ้นมาดูด้วยความสนใจ ราวกับเจอของล้ำค่า นางพิจารณาอย่างละเอียดพร้อมกับอวิ๋นโส่วจง ก่อนจะเอ่ยชมไม่หยุดปาก “ใสเหมือนผลึกแก้วจริงๆ กลิ่นก็หอมมาก”
เนื่องจากอวิ๋นเจียวบอกกับพวกเขาล่วงหน้าแล้วว่า เครื่องประทินผิวและสูตรลับนั้นซื้อมาจากพ่อค้าต่างถิ่นในราคาถูกตอนที่อยู่เมืองหลวง ฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงจึงไม่สงสัยเลยที่อวิ๋นเจียววัยหกขวบจะสามารถทำสบู่ผลึกแก้วเช่นนี้ออกมาได้
“จริงๆ แล้วสบู่ผลึกแก้วก็คือสบู่เ้าค่ะ เพียงแต่มีขั้นตอนการทำเพิ่มขึ้นมาสองขั้นตอน และส่วนผสมเพิ่มอีกสองชนิด”
อวิ๋นโส่วจงพูดอย่างอารมณ์ดี “สบู่ผลึกแก้ว ชื่อเพราะดี... คงขายได้ราคา เจียวเอ๋อร์ลูกสาวเรานี่เป็เทพเ้าแห่งโชคลาภจริงๆ!”
ฟางซื่อมองอวิ๋นเจียวด้วยสายตาเอ็นดู รอยยิ้มบนใบหน้าอบอุ่นราวกับแสงจันทร์นอกหน้าต่าง
อวิ๋นเจียวพูดต่อ “ท่านแม่ สบู่ผลึกแก้วใช้ล้างหน้าก็ได้ ใช้ถูตัวอาบน้ำก็ได้เ้าค่ะ!”
อวิ๋นฉี่ซานพูดด้วยความตื่นเต้น “เจียวเอ๋อร์ งั้นพรุ่งนี้เช้าพวกเราทำสบู่ผลึกแก้วกันเถอะ!”
อวิ๋นเจียวส่ายหน้า “พี่รอง พรุ่งนี้พวกเรายังต้องทำสบู่ธรรมดา เพราะสบู่ผลึกแก้วต้องใช้กานโหยว [2] เครื่องประทินผิวก็ต้องใช้กานโหยวเหมือนกัน และกานโหยวสกัดได้จากการทำสบู่เท่านั้นเ้าค่ะ”
อวิ๋นฉี่ซานยิ้มแห้งๆ “ฮ่าๆ ข้าใจร้อนไปหน่อย งั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ทำสบู่ธรรมดาก่อนก็แล้วกัน”
อวิ๋นเจียว “พี่รอง อย่างไรเสียพี่ก็รู้สูตรแล้ว พี่อยากทำตอนไหนก็ทำได้เลย!”
“จริงสิ เมื่อตอนบ่ายข้าทำเครื่องประทินผิวเอาไว้ ลืมไปเลย” กล่าวจบอวิ๋นเจียวก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้อง แล้วหยิบเครื่องประทินผิวที่ทำเสร็จแล้วออกมา
นางยื่นให้ฟางซื่อ พลางมองด้วยแววตาคาดหวัง “ท่านแม่ ลองเครื่องประทินผิวนี้ดูสิเ้าคะ เครื่องประทินผิวนี้ไม่ดีเท่ากระปุกก่อนหน้านี้”
ฟางซื่อตักเครื่องประทินผิวมาทาที่มือเล็กน้อย แล้วพิจารณาอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ดีมากแล้ว ดีกว่าที่ขายตามท้องตลาดเยอะ”
อวิ๋นเจียว “ดีกว่าที่ขายตามท้องตลาดก็ดีแล้วเ้าค่ะ เพราะเครื่องประทินผิวชั้นดีนั้นไม่ได้ทำง่ายๆ ”
ฟางซื่อ “เจียวเอ๋อร์ ต่อให้เ้าไม่ทำเครื่องประทินผิว พ่อแม่ก็เลี้ยงเ้าได้ ไม่ว่าจะเป็เครื่องประทินผิวหรือสบู่ผลึกแก้ว เ้าคิดเสียว่าทำเล่นๆ เพื่อฆ่าเวลา อย่าไปใส่ใจมากนัก!”
อวิ๋นโส่วจงพูดเสริม “ที่สำคัญคืออย่าให้เหนื่อย!”
อวิ๋นฉี่เยว่พยักหน้าเห็นด้วย เขาก็เลี้ยงน้องสาวได้!
คำพูดของพ่อแม่ไหลผ่านเข้าไปในหัวใจของอวิ๋นเจียวราวกับสายน้ำอุ่น นางพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ารู้แล้วเ้าค่ะ วางใจเถิด ข้าแค่เบื่อๆ เลยหาอะไรทำฆ่าเวลาเฉยๆ ข้าคิดว่าหลังจากทำสบู่ผลึกแก้วเสร็จแล้ว พวกเราสามารถขายสูตรลับได้ ส่วนสูตรลับเครื่องประทินผิว พวกเราเก็บสูตรที่ดีที่สุดเอาไว้ อย่างเครื่องประทินผิวที่ทำเมื่อตอนบ่าย เป็สูตรที่ข้าปรับปรุงใหม่ ข้าคิดว่าขายได้เหมือนกันเ้าค่ะ”
“ขายสูตรลับหรือ?” ฟางซื่อลังเลเล็กน้อย นางอยากให้อวิ๋นเจียวเก็บสูตรลับเอาไว้ เผื่ออนาคตออกเรือนไปแล้วจะได้มีรายได้เพิ่ม อีกอย่างสูตรลับแบบนี้ นางรู้สึกว่าขายไปแล้วจะขาดทุน
“เจียวเอ๋อร์ เ้าลองคิดดูอีกที พ่อคิดว่าเก็บสูตรลับเอาไว้เองจะดีกว่า” อวิ๋นโส่วจงก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะนัก
แต่อวิ๋นฉี่เยว่กลับมีความคิดที่ต่างออกไป เขามองอวิ๋นเจียวด้วยสายตาอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาสีดำสนิทราวกับหมึกเป็ประกายระยิบระยับราวกับดวงดาว “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าคิดว่าความคิดของเจียวเอ๋อร์ไม่เลว ไม่ว่าจะเป็สบู่ผลึกแก้วหรือเครื่องประทินผิว ล้วนเป็สินค้าที่มีมูลค่ามหาศาล ครอบครัวของพวกเราไม่มีอำนาจ อาจจะปกป้องสูตรลับเอาไว้ไม่ได้ แทนที่จะรอให้คนอื่นมาแย่งชิง ไม่สู้รีบขายออกไปแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า พอขายออกไปแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะแย่งชิงกันอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา เจียวเอ๋อร์เพียงแค่เก็บสูตรลับที่ดีที่สุดเอาไว้ก็พอแล้วขอรับ”
อวิ๋นโส่วจงพยักหน้า “อืม เ้าใหญ่พูดถูก งั้นเจียวเอ๋อร์อยากขายสูตรลับก็ขายไปเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์ สัตว์ป่าจำศีลมาทั้งฤดูหนาว คงออกมาหากินกันแล้ว”
ลูกสาวให้เงินเขามาสี่ร้อยห้าสิบตำลึงเงิน เพื่อเป็ค่าใช้จ่ายในบ้าน เขาและฟางซื่อปรึกษากันแล้ว จะเอาเงินสี่ร้อยห้าสิบตำลึงเงินนี้ไปซื้อที่นา พอเจียวเอ๋อร์ออกเรือนไปก็จะยกที่นาทั้งหมดให้เป็สินเดิมติดตัว
ส่วนเื่ที่เจียวเอ๋อร์อยากได้บ้านหลังใหญ่ เงินส่วนนี้เขาจะหาเอง ไปล่าสัตว์ใหญ่บนเขาสักสองสามตัว น่าจะขายได้ราคาดี ตอนนี้อวิ๋นโส่วจงยังไม่รู้ ว่าบ้านที่เขาคิดว่าใช้เงินไม่กี่ร้อยตำลึงเงินก็สร้างได้นั้น หลังจากที่ถูกอวิ๋นเจียวและพี่ชายทั้งสองคนออกแบบตกแต่งใหม่ สุดท้ายกลับต้องใช้หลายพันตำลึงเงิน!
“ขายไปก็ดี ขายไปแล้วเจียวเอ๋อร์ของพวกเราก็ไม่ต้องเหนื่อย” ฟางซื่อรู้สึกว่าอวิ๋นฉี่เยว่พูดถูก จึงเห็นด้วยที่จะขายสูตรลับ
หลังจากที่ทุกคนในครอบครัวปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว ก็แยกย้ายกันไปล้างหน้าล้างตาแล้วเข้านอน อวิ๋นโส่วจงเอนกายนอนลงบนเตียง สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างของฟางซื่อ พลางลูบไล้เส้นผมที่นุ่มลื่นราวกับผ้าไหมเบาๆ ในใจรู้สึกเหมือนมีมดหลายร้อยตัวไต่ตอม คันยุบยิบไปหมด
น้ำเสียงของอวิ๋นโส่วจงแหบพร่า “น้ำยาสระผมที่เจียวเอ๋อร์ให้มานี่ดีจริงๆ หลังจากสระแล้ว ผมของเ้าก็หอมละมุนและนุ่มลื่นเช่นนี้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของฟางซื่อก็พลันร้อนผ่าว นางยังไม่ทันเอ่ยปาก มือของอวิ๋นโส่วจงก็เริ่มอยู่ไม่สุข
“ท่านจะทำอะไร... พรุ่งนี้ท่านต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์ นอนพักผ่อนเถิด!”
“น้องหญิง เราควรมีน้องชายหรือน้องสาวให้เจียวเอ๋อร์อีกสักคน... ให้เป็น้องสาวสักคนดีกว่า จะได้น่ารักและว่าง่ายเหมือนเจียวเอ๋อร์ ต่อไปหากพวกเราไม่อยู่แล้ว เจียวเอ๋อร์จะได้มีน้องสาวคอยเป็เพื่อนพูดคุย”
ราตรีค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ในห้องมีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมร่างของอวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อเอาไว้ ไม่นานนักภายในผ้าห่มก็มีเสียงครางเบาๆ ดังออกมา...
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่อวิ๋นเจียวตื่นนอน อวิ๋นโส่วจงก็ออกจากบ้านไปล่าสัตว์บนเขาพร้อมกับอาวุธแล้ว อากุ้ยขับรถม้าไปส่งอวิ๋นฉี่เยว่ที่สำนักศึกษา ในบ้านจึงเหลือเพียงฟางซื่อกับอวิ๋นฉี่ซานที่กำลังวุ่นวายอยู่ในห้องครัว อวิ๋นฉี่ซานตื่นแต่เช้า ทำสบู่เสร็จไปไม่น้อย และสกัดกานโหยวออกมาได้จำนวนหนึ่ง
อวิ๋นฉี่ซานกับฟางซื่อกำลังรออวิ๋นเจียวกินข้าวเช้าด้วยกันอยู่ ทันใดนั้น เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมาจากนอกบ้าน อวิ๋นเจียวจึงเดินตามฟางซื่อกับอวิ๋นฉี่ซานออกไปดู ก็เห็นเ้าหน้าที่ทางการสองคนนำหน้าชาวบ้านเกือบทั้งหมู่บ้าน เดินเป็ขบวนใหญ่ ล้อมบ้านตระกูลอวิ๋นไว้อย่างแ่า!
เชิงอรรถ
[1] เคอจวี่ (科举) หมายถึง การสอบคัดเลือกขุนนางสมัยโบราณของจีน หรือก็คือการสอบจอหงวน โดยมี 3 ระดับ ได้แก่ การสอบระดับท้องถิ่น การสอบระดับมณฑล และการสอบหน้าพระที่นั่ง
[1] กานโหยว (甘油) คือกลีเซอรีนหรือสารให้ความชุ่มชื้น