วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งถึงเทศกาลตงจื้อ [1] สวี่จือก็ห่อเกี๊ยวไส้ผักกาดขาวหมูสับใส่หัวหอม หลังจากตอนกลางวันทานเกี๊ยว ตอนกลางคืนหิมะก็ตกหนัก เกล็ดหิมะที่ลอยละล่องนั้นเป็หิมะสีขาวราวกับขนห่าน
หิมะร่วงหล่นลงมาไร้ซุ่มเสียง มีเพียงหิมะที่กองทับถมกันจนกิ่งไม้หัก จนเกิดเสียงหักดังออกมา ถึงได้ทำให้คนรู้สึกว่าหิมะด้านนอกยังตกหนักอยู่
ภายในห้องทางตะวันตกเฉียงเหนืออบอุ่นมาก ยิ่งถึงตอนที่อากาศหนาว ตั่งใหญ่ภายในห้องก็ยิ่งก่อไฟแรงขึ้น สวี่จือนอนอยู่บนตั่งอันร้อนระอุแล้วนอนหลับสนิทจนถึงเช้า
พระอาทิตย์หลังจากหิมะตก ดูแล้วเป็สีแดงราวกับไข่แดงที่เพิ่งจะถูกตอกออกมาจากเปลือก ห้อยอยู่ตรงขอบฟ้าทิศตะวันออกไกลแสนไกล ในเรือนเริ่มที่จะกวาดหิมะที่กองกันเต็มพื้น หิมะหนาเกินไปจึงใช้แผ่นไม้ทำเป็ที่ตักหิมะบนพื้นไปกองเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ค่อยใช้ไม้กวาดกวาดอีกรอบหนึ่ง
สวี่จือสวมชุดคลุมหนาๆ พอแหวกผ้าม่านที่ติดตรงประตูออก ก็ถูกอากาศหนาวทำให้ตัวสั่น หนาวเกินไปจริงๆ
ชิงเหมี่ยวกับชิงซุยเองก็กวาดหิมะอยู่ในเรือน พอเห็นสวี่จือที่หน้าประตูก็รีบเอ่ย “คุณหนูเก้าเ้าคะ อากาศข้างนอกมันหนาว ท่านรีบเข้าไปข้างในห้องเถิดเ้าค่ะ”
สวี่จือถาม “ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็พี่ชายล่ะเ้าคะ?”
ชิงเหมี่ยวตอบ “คุณชายสามไปที่สำนักงานเขตเ้าค่ะ ฮูหยินสามกับคุณชายใหญ่อยู่ที่เรือนหลัง บอกว่าจะทำความสะอาดพวกหิมะที่ตกลงมากองบนเรือนเพาะชำน่ะเ้าค่ะ”
สวี่จือฟังแล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะถูกลมพัดหน้าอีก เอามือใส่เข้าไปในแขนเสื้อ แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปเรือนหลัง
ในเรือนหลังไม่ได้มีแค่ท่านแม่และพี่ชายเท่านั้น ยังมีองครักษ์ของเรือนอีกหลายคน องครักษ์เหล่านี้ล้วนเป็คนที่มาจากจวนหย่งหนิงโหวพร้อมกัน ซึ่งคนพวกนี้เป็คนที่หย่งหนิงโหวเย่จัดมาให้ ทั้งสี่คนนี้เป็องครักษ์ที่ถูกฝึกในจวนมาั้แ่ยังเด็ก
ความจริงแล้วองครักษ์สี่คนนี้เดิมทีตอนแรกรู้สึกว่าการถูกส่งมาให้ติดตามคุณชายสามที่ไม่ค่อยจะได้รับความรักเท่าไหร่ของจวนเดินทางมายังเมืองเล็กๆ บริเวณชายแดน ทำให้ในใจของพวกเขารู้สึกเศร้าอยู่บ้าง ผู้ใดก็อยากจะติดตามเ้านายที่มีความแข็งแกร่งแล้วก็มีความสามารถ แต่ว่าหย่งหนิงโหวเย่สั่งมาทั้งสี่คนจึงทำได้แค่ตามมาอย่างขัดไม่ได้
เดิมคิดว่ามาที่นี่คงจะไม่ได้ดีมาก อย่างน้อยเงื่อนไขการใช้ชีวิตของที่นี่สู้ที่เมืองหลวงไม่ได้ ก่อนที่จะออกเดินทางได้ยินมาว่าที่นี่จะทานขนมแป้งกันเป็หลัก อีกทั้งยังเป็ขนมแป้งที่ทั้งแห้งทั้งแข็ง ผู้ใดจะไปรู้ว่าครอบครัวคุณชายสามจะสร้างเรือนเพาะชำมาปลูกผักในสถานที่ที่แห้งแล้งนี้ ซื้อสวนปลูกผัก ไม่ใช่แค่มีผักสดใหม่เอาไว้ทาน ยังมีข้าวขาวที่ปลูกได้เฉพาะที่ทางใต้อีกด้วย
เื่ที่ครอบครัวคุณชายสามทำในหลายปีนี้ทั้งสี่คนเห็นอยู่ในสายตา หลังจากพวกเขาตามมาอยู่ด้วย จางจ้าวฉือก็ได้จ่ายเงินเดือนแยกให้พวกเขาอีก ตอนนี้ทั้งสี่คนไม่เพียงแต่จะรับเงินเดือนจากจวนโหว ยังได้รับเงินเดือนจากจางจ้าวฉืออีกด้วย อีกทั้งเงินที่จางจ้าวฉือจ่ายให้ยังมากกว่าที่จวนโหวจ่าย ดังนั้นตอนนี้ครอบครัวสวี่มีเื่อันใด ทั้งสี่คนต่างกระตือรือร้นมากที่จะเข้าไปปกป้องอยู่ด้านหน้า ทุกครั้งที่สวี่เหราออกตรวจตรา จางจ้าวฉือไปที่จวนแม่ทัพ สวี่ตี้ไปที่ไร่ ก็จะมีคนคอยตามปกป้องเสมอ
ตอนที่สวี่จือมาถึงก็เห็นผู้ติดตามสองคนยืนอยู่บนหลังคาเรือน เรือนนั้นตอนที่สวี่ตี้สร้างเรือนเพาะชำได้เลาะหลังคาออกไป กำแพงทางเหนือก็เพิ่มความหนา ความสูงเข้าไป ทางด้านกำแพงทางเหนือก็เอาหนังแกะบางๆ มายึดติดเอาไว้ ดังนั้นทางทิศเหนือจะสูงทางทิศใต้จะต่ำลงมาหน่อย เป็เช่นนี้ก็สะดวกที่จะทำความสะอาดหิมะที่ทับถมอยู่บนนั้น แล้วก็ทำให้ตอนที่ฝนตก น้ำฝนก็สามารถไหลลงมาได้ง่าย
สวี่ตี้ยืนอยู่ด้านล่างพลางเอ่ยสั่งไปด้วย “พี่จาง พี่จาง ท่านเบาๆ หน่อย เบามือหน่อย”
้ามีองครักษ์สองคนซึ่งในมือถือไม้ยาวๆ เอามาทำเป็ที่โกย โดยนำเ้าสิ่งนี้มาใช้โกยหิมะที่กองเอาไว้อย่างสะดวกมาก
พี่จางองครักษ์ที่อยู่้าผู้นั้นก็ค่อยๆ ใช้เ้าสิ่งนั้นโกยเบาๆ หิมะที่กองอยู่ก็ตกลงมาที่พื้น
พี่ชายองครักษ์้าทั้งสองคนทำงานกันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็จัดการกับหิมะที่กองอยู่บนหลังคาเรือนเพาะชำจนสะอาด สวี่ตี้โค้งตัวให้พวกพี่ชายเป็การแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็ทำความสะอาดหิมะบนพื้นต่อ
ทำงานกันยุ่งจนถึงเวลากลางวัน ป้าเหอก็ทำเส้นบะหมี่ ใส่เส้นบะหมี่ไข่ลงไป ก่อนจะเติมน้ำพริกที่สวี่ตี้ทำเอาไว้ ในน้ำพริกนั้นมีเนื้อวัวชิ้นใหญ่อยู่ด้านใน หลังจากถูกแช่อยู่ในน้ำมันพริก จึงมีกลิ่นพริกโชยออกมา ในอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ รับประทานบะหมี่ใส่น้ำพริกถ้วยใหญ่อย่างนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากจริงๆ
ตอนกลางวันสวี่เหราไม่ได้กลับมาทานข้าวอีกแล้ว หิมะตกหนักบ้านเรือนของหลายคนในเมืองมีหิมะกองอยู่เต็มไปหมด สวี่เหราจำเป็ต้องหาที่พักชั่วคราวให้กับพวกเขา ทั้งยังจัดคนไปช่วยคนในเมืองจัดการกับหิมะที่กองอยู่บนหลังคา ต่อไปหลุมบนถนนก็ต้องจัดการให้ดี คนในเมืองต่างถูกส่งออกไป สวี่เหราไม่เพียงแค่สั่งงานลูกน้อง ยังต้องดูสถานการณ์จริงในพื้นที่ใกล้ๆ อีกด้วย มัวแต่ทำงานยุ่งๆ ก็ผ่านเวลาอาหารกลางวันไปแล้ว สามีของป้าจ้าวทำอาหารในสำนักงานเสร็จแล้ว ผู้ใดมีเวลาว่างก็กลับมากิน กินเสร็จแล้วก็ไปทำงานต่อ
ทำงานมาจนถึงตอนกลางคืน สวี่เหราก็ให้สามีของป้าจ้าวตุ๋นเนื้อแกะหม้อใหญ่เอาไว้ให้ ก่อนจะซื้อแป้งทอดจากร้านข้างถนนมาจำนวนมาก ให้ทุกคนกลับมาทานอาหารร้อนๆ ก่อนค่อยกลับเรือน
อาลักษณ์หลี่งานยุ่งมาตลอดทั้งวัน เหนื่อยจนไม่สามารถยืดหลังให้ตรงได้ นั่งอยู่บนเก้าอี้เอามือยันเอวตัวเองพร้อมเอ่ย “เอวของข้า พออากาศหนาวทีไรก็จะเป็เช่นนี้ทุกที”
สวี่เหราเอ่ย “ฮูหยินของข้าทำยาทาเป็ ข้าจะกลับไปให้นางทำยามาทาให้ท่าน มันสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดให้ท่านได้”
อาลักษณ์หลี่ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยอย่างดีใจ “เช่นนั้นก็ดีเลย ข้ารู้ว่าฝีมือการแพทย์ของฮูหยินสวี่นั้นเก่งกาจมาก ได้ยาทาของฮูหยินสวี่ เอวของข้าจะต้องดีขึ้นมากแน่ๆ”
สวี่เหราออกไปด้านนอกแล้ว ภายในห้องมีเพียงผู้ช่วยเฉียนกับอาลักษณ์หลี่ที่ยังอยู่
ผู้ช่วยเฉียนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ อยู่ด้านข้าง “สตรีผู้หนึ่ง ไม่อยู่ดูแลสามีดูแลลูกในเรือน วันๆ เอาแต่ออกนอกเรือนยังเป็สตรีชนชั้นสูงอยู่อีกหรือ”
อาลักษณ์หลี่เอ่ย “ใต้เท้าเฉียน ท่านพูดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เมืองเหอซีของพวกเรา้าสตรีที่อยู่แต่ในเรือนคอยดูแลสามีดูแลลูกอย่างเดียวั้แ่เมื่อใดกัน? ตอนที่สตรีพวกนั้นขึ้นไปบนกำแพงก็ใช่ว่าท่านไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าคิดว่าที่ฮูหยินสวี่ทำก็เป็เื่ที่ดี เป็ตัวอย่างที่ดีให้กับสตรีในเหอซีของพวกเรา”
ผู้ช่วยเฉียนคิดไม่ถึงว่าอาลักษณ์หลี่จะย้อนตนเองกลับเช่นนี้ จึงถอนหายใจออกมาแล้วลุกขึ้นยืน “ใต้เท้าหลี่ เ้าจะต้องเข้าใจนะ เ้าอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปีแล้ว ต่อไปไม่แน่ว่าจะอยู่ที่นี่ไปตลอด ใต้เท้าสวี่นั้นมาจากเมืองหลวง ต่อไปเขาก็จะต้องกลับเมืองหลวง ควรจะทำอย่างไรในใจของท่านรู้ดีที่สุด”
จวนที่สร้างใหม่ของอาลักษณ์หลี่ ในสายตาของหลายคนก็คิดว่าเขาจะปักหลักอยู่ที่นี่แล้ว เรือนหลังใหญ่ขนาดนั้น สร้างขึ้นมาจะต้องใช้เงินมาก อยากจะขายออกไปก็คงจะขายออกยาก
นี่คือเบื้องหน้าที่ทุกคนเห็น แต่ในใจของอาลักษณ์หลี่นั้นย่อมรู้ดีที่สุด ว่าเรือนหลังนั้นเป็มาอย่างไร อีกทั้งเว่ยซื่อจื่อกับใต้เท้าสวี่เองก็รับประกันกับเขาแล้ว ตอนที่สวี่เหราไปก็จะเอาอาลักษณ์หลี่ไปด้วย หรือก็คือ ต่อไปอาลักษณ์หลี่จะติดตามสวี่เหราเหมือนกับตั๊กแตนบนเชือก เดิมทีอาลักษณ์หลี่เป็คนที่ทำการใดจะเป็คนที่มั่นคง มีเว่ยหลางกับสวี่เหรารับประกัน เช่นนั้นก็ให้สวี่เหราเป็คนออกความคิดและตัดสินใจส่วนอาลักษณ์หลี่ก็จะคอยให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
อาลักษณ์หลี่ดื่มชาหนึ่งอึกก่อนจะเอ่ย “ใต้เท้าเฉียน ข้าเป็เพียงแค่อาลักษณ์เล็กๆ คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองเหอซีมาได้หลายสิบปี จึงเกิดความผูกพันกับเมืองนี้ ข้าหวังมากว่าคนที่นี่จะมีชีวิตความเป็อยู่ที่ดี เรี่ยวแรงน้อยๆ ของข้าทำเื่ใหญ่โตไม่ไหว จะทำได้ก็แค่เื่เล็กๆ น้อยๆ”
ผู้ช่วยเฉียนได้ยินแล้วก็ถลึงตาใส่อาลักษณ์หลี่ไปหนึ่งที ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป เดินไปถึงหน้าประตูก็เจอกับพนักงานข้าราชการคนหนึ่งที่จะเข้ามาเชิญผู้ช่วยเฉียนกับอาลักษณ์หลี่ไปทานข้าวที่โรงอาหารพอดี จึงรีบโค้งตัวให้หัวหน้าเฉียนที่หน้าประตู “ใต้เท้าเฉียน กับข้าวเสร็จแล้วขอรับ เชิญไปรับประทานได้ที่โรงอาหารได้เลยขอรับ”
ผู้ช่วยเฉียนแค่นหัวเราะ และไม่ได้ตอบกลับไป ก่อนจะเดินไปทางประตูใหญ่ของสำนักงาน
พนักงานเห็นผู้ช่วยเฉียนออกไปแล้ว ก็รีบเข้ามาถามอาลักษณ์หลี่เสียงเบา “ใต้เท้าหลี่ขอรับ ใต้เท้าเฉียนเป็อันใดไปหรือขอรับ?”
อาลักษณ์หลี่ยิ้มแล้วตอบ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็อันใด ข้าวเสร็จหรือยัง? หากเสร็จแล้วพวกเรารีบไปทานข้าวกันเถิด ทานข้าวเสร็จแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อน ทำงานมาทั้งวันแล้ว เอวของข้าน่ะยืดไม่ขึ้นแล้ว หากยังทำงานเช่นนี้ไปอีกหลายวัน ข้าจะต้องนอนเฉยๆ อยู่ในเรือนไปอีกหลายวันเป็แน่ คนอายุน้อยแบบพวกเ้านี่ช่างดีจริงๆ ทำงานมาทั้งวันก็ยังสดใสมีเรี่ยวแรง”
พนักงานข้าราชการรีบเข้ามาประคองอาลักษณ์หลี่ลุกขึ้น เขาประคองเอวแล้วเดินไปโรงอาหารกับพนักงานสำนักงาน
หลังจากสวี่เหรามาที่นี่ เพราะว่าทำงานล่วงเวลาบ่อยๆ จึงจัดโต๊ะจำนวนมากในห้องใหญ่ข้างๆ ห้องทำงานให้เป็โรงอาหารภายในสำนักงานว่าการ ทั้งยังเอาเงินทุนจำนวนหนึ่งออกมาจากรายได้ของสำนักงานเขต เพื่อให้พนักงานข้าราชการที่ทำงานกับตนเองเหล่านี้สามารถทานข้าวร้อนๆ อีกทั้งยังมีเงินค่าทำงานล่วงเวลาด้วย ไม่ให้ทุกคนทำงานแบบไม่ได้รับเงิน
ในโรงอาหารยังจุดตะเกียงเอาไว้หลายอัน ด้านในตะเกียงใส่น้ำมันเอาไว้ ด้านนอกมีกระจกครอบกันไฟ ได้ยินมาว่ากระจกครอบพวกนี้เอามาจากทางใต้ ราคาแพง เพราะว่ามีจางจ้าวจื่ออยู่สวี่เหราถึงได้คิดที่จะซื้อของพวกนี้มาไว้ เนื่องจากโรงอาหารมีพื้นที่กว้าง หากทำงานล่วงเวลาจนถึงกลางคืนมาทานข้าวแบบมืดๆ ไม่มีแสงไฟเลยสักนิดจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ จึงขอให้จางจ้าวจื่อซื้อมาแล้วเอามาวางไว้ในโรงอาหารโดยเฉพาะ
ตอนที่อาลักษณ์หลี่ถูกข้าราชการคนนั้นพยุงเข้ามา ด้านในก็มีคนนั่งอยู่หลายคนพูดคุยกันเสียงดัง ข้าราชการ พนักงานทั่วไปในสำนักงานว่าการพวกนี้ต่างเป็คนท้องถิ่นของเหอซี เดิมกลับบ้านไปทานข้าวก็ได้ แต่ว่าอาหารในโรงอาหารดันอร่อยเสียนี่ ในใจสวี่เหราย่อมรู้ดีว่าอยากจะให้ม้าวิ่งก็ต้องให้ม้ากินหญ้าให้เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงสั่งเอาไว้ว่าการจะทำอาหาร จะต้องทำให้ดี ทำให้เพียงพอ
ตอนกลางคืนตุ๋นเนื้อแกะ บวกกับแป้งทอดจากร้านแป้งทอดริมถนน เนื้อแกะของสามีป้าจ้าวเริ่มตุ๋นั้แ่ตอนสายๆ จากน้ำแกงใสๆ ตอนนี้น้ำแกงในหม้อใหญ่กลายเป็สีน้ำนม ส่วนแป้งทอดนั้นใช้แป้งข้าวสาลีมาทำ ทอดจนกรอบ ด้านในยังใส่ผงพริกไทย เกลือ ด้านนอกก็โรยงาดำเอาไว้หนึ่งชั้น มือหนึ่งถือแป้งทอด อีกมือหนึ่งรองมือไว้ด้านล่างแป้งทอด กัดเข้าไปหนึ่งคำก็มีผงขนมปังกรอบๆ ร่วงลงมา หลังจากใช้มือรับผงพวกนั้นแล้วก็ค่อยตบเข้าปาก กลิ่นหอมๆ ของงาดำคั่วหอมกระจายอยู่เต็มปาก
รับประทานแป้งทอด ตามด้วยซดน้ำแกงเนื้อแกะ ในน้ำแกงยังมีเนื้อแกะเปื่อยๆ เป็ชิ้นๆ อยู่มากมาย อีกทั้งในน้ำแกงยังเติมผงพริกไทยลงไป บนโต๊ะก็วางน้ำพริกที่สวี่ตี้ทำเอาไว้ อยากจะกินเผ็ดก็เติมลงไปในถ้วย ซดเข้าไปหนึ่งคำ กลิ่นหอมๆ บวกกับกลิ่นเผ็ดๆ ทำให้สบายไปทั้งตัว
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว ความเหนื่อยล้าบนตัวก็เหมือนกับถูกขับออกมาพร้อมเหงื่อจากการกินเผ็ดอย่างไรอย่างนั้น สบายตัวมาก
สวี่เหราเองก็ทานแป้งทอดไปสองก้อน ซดน้ำแกงเนื้อแกะไปหนึ่งถ้วย แต่ว่าเขาไม่ได้ใส่น้ำพริกลงไป เขาทานอาหารรสชาติจืดมาก ทานรสชาติเผ็ดๆ ไม่ค่อยได้มาตลอด
เมื่อกินอิ่มแล้วทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
อาลักษณ์หลี่ออกเป็คนสุดท้าย ร้องเรียกสวี่เหราเอาไว้ “ใต้เท้าหลี่ ข้ารู้สึกว่าใต้เท้าเฉียนเข้าใจอะไรท่านผิดหรือไม่?”
สวี่เหราถอนหายใจ “เหล่าหลี่เอ๋ย จิติญญาของคนเรานั้นมีจำกัด ข้าน่ะก็ไม่ใช่คนมีเงินที่ผู้ใดก็ต่างชื่นชอบ ข้าเองก็ไม่สามารถทำได้ทุกอย่างจนทุกคนชอบข้า ดังนั้นข้าทำสิ่งที่ตนเองต้องทำให้ดี พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ถึงที่สุด โดยไม่ทำให้ฮ่องเต้ทรงผิดหวัง ให้สมกับที่ราชสำนักให้ความเชื่อใจข้า ให้สมกับที่ราชสำนักจ่ายเงินเดือนกับข้า นี่สำหรับเบื้องบน ส่วนเบื้องล่างก็เพื่อประชาชนที่ข้าปกครอง ให้ประชาชนกินอิ่ม มีชีวิตที่ดีภายใต้การปกครองของข้า แค่นี้ข้าก็ไม่รู้สึกผิดอะไรแล้ว”
อาลักษณ์หลี่ฟังแล้วก็พยักหน้าแข็งขัน ก่อนจะเอ่ย “ใต้เท้าสวี่ สิ่งที่ท่านพูดชนะตำราหลายสิบเล่มที่ได้อ่านเลยนะขอรับ คนเราจะต้องใช้ชีวิตให้ไม่มีเื่ให้รู้สึกละอายใจสิถึงจะดี หากทำเื่ที่รู้สึกผิดขึ้นมาแล้วจริงๆ ตอนนี้ยังไม่รู้สึกอะไร รอต่อไปก็ต้องมี่เวลาที่ตนเองรู้ผิด เอาล่ะ เวลาก็ดึกมากแล้ว ข้าเองก็ต้องรีบกลับเรือนแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้หนาใต้เท้าสวี่”
สวี่เหรายิ้มแล้วพยักหน้า “แล้วเจอกันใต้เท้าหลี่”
ครอบครัวของอาลักษณ์หลี่ได้ส่งรถม้ามารับเขา หลังจากเขาขึ้นรถที่หน้าประตูสำนักงานว่าการก็กลับไปที่เรือน
กลับมาถึงเรือนภรรยายังไม่นอน กำลังพาบุตรสาวทั้งสองทำงานเย็บปักอยู่ในห้อง พอเห็นอาลักษณ์หลี่กลับมาแล้วก็รีบเข้าไปช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า บุตรสาวทั้งสองก็ไปช่วยยกน้ำล้างหน้า ช่วยหยิบรองเท้าสวมในเรือนมาให้
อาลักษณ์หลี่หัวเราะเหอะๆ เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้า ถึงได้นั่งลงบนตั่ง ฮูหยินหลี่รินน้ำชาให้เขา ก่อนที่อาลักษณ์หลี่จะดื่มไปหนึ่งอึก “ดึกแล้ว ทุกคนรีบไปพักผ่อนเถิด”
เพราะว่าไม่ใด้อยู่ในเรือนของตนเอง อาลักษณ์หลี่กับฮูหยินและบุตรสาวทั้งสองคนอาศัยอยู่ในทางเข้าที่สอง ทางเข้าแรกเอาไว้เป็สถานที่รับแขก บุตรชายกับภรรยาพักอยู่ในทางเข้าที่สี่ ทางเข้าที่สามก็เป็ที่พักของแขก ส่วนเรือนสุดท้าย ถึงแม้จะมีเส้นทางเชื่อมกับเรือนหน้า แต่ประตูแสงจันทร์นั้นถูกขัดกลอนเอาไว้อย่างแ่า อาลักษณ์หลี่ได้สั่งคนในครอบครัว ไม่อนุญาตให้รู้สึกอยากรู้อยากเห็นกับเื่นี้ ไม่อนุญาตให้สอบถาม แล้วก็ไม่ให้มาที่นี่
เรือนด้านในสุดนั้นมีคนที่เว่ยหลางส่งมาพัก ด้านหลังได้ทำประตูเข้าออกทางเดียวเอาไว้ ซึ่งเป็จุดที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับคนในครอบครัวสกุลหลี่
ฮูหยินหลี่หยิบประคบร้อนอันหนึ่งมาให้อาลักษณ์หลี่ “รีบเอาไปประคบเอวเถิด อากาศหนาวแล้ว อยู่ในอากาศหนาวด้านนอกนานๆ ปวดเอวหนักมากเลยใช่หรือไม่เ้าคะ?”
อาลักษณ์หลี่กล่าว “ใต้เท้าสวี่บอกว่าจะให้ฮูหยินของพวกเขาทำยาทามาให้ข้า ครอบครัวมารดาของฮูหยินสวี่เป็หมอกันมาร้อยปีแล้ว อีกทั้งวิชาแพทย์ของฮูหยินสวี่เองก็อย่างที่เห็นกัน เอวของข้าน่ะ ไม่แน่ฮูหยินสวี่อาจจะรักษาหายก็ได้นะ?”
เอวของอาลักษณ์หลี่ตอนยังหนุ่มเป็เพราะลำบากอ่านหนังสือมาก อีกทั้งตอนนั้นความเป็อยู่ในครอบครัวหลี่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ มีเงินก็ต้องเอาไปส่งให้อาลักษณ์หลี่เรียนหนังสือเพื่อสอบขุนนาง ถึงแม้จะป่วยก็ต้องทน ตอนนั้นยังหนุ่ม ทนได้ก็ช่างเถิด ผู้ใดจะไปคิดว่าตอนนี้จะปวดเอวจนแทบทนไม่ไหวกัน?
ฮูหยินหลี่ได้ยินแล้วก็เอ่ยด้วยความดีใจ “เช่นนั้นก็ดีเลยเ้าค่ะ อีกสองวันข้าจะไปที่สกุลสวี่ เอาผักดองที่พวกเราทำเองไปให้กับฮูหยินสวี่ ปีที่แล้วยังได้ยินฮูหยินสวี่บอกว่าครอบครัวพวกเขายังไม่ได้ทำ แล้วก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร พอดีกับที่ข้าเอาไปให้พอดี ค่อยสอนพวกเขาว่าวิธีการทำอย่างไร”
เชิงอรรถ
[1] เทศกาลตงจื้อ (冬至 dōng zhì) หรือแปลตรงๆ ว่า "ฤดูหนาวมาถึงแล้ว" เป็เทศกาลสำคัญของจีนตามปฏิทินจันทรคติ และนับเป็เทศกาลสำคัญของชนชาติจีนด้วย