เมืองชางอยู่ทางตอนใต้ของเขตปกครองเทพา เป็หนึ่งในหกเมืองหลัก มีเมืองใหญ่ที่อยู่ในปกครองยี่สิบเมือง เมืองเล็กหนึ่งร้อยเมือง เทือกเขารกร้างทางทิศใต้เป็เขตแดนที่กั้นระหว่างเขตปกครองเทพากับเขตปกครองเทพคนเถื่อน
เทือกเขารกร้างทอดตัวยาวเหยียดคดเคี้ยวไปมา ทั้งกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา ข้างในมีพุ่มไม้เตี้ยที่มีหนามงอกขึ้นระเกะระกะ มารอสูรมีอยู่เต็มไปหมด เรียกได้ว่าอันตรายมีอยู่ทั่วสารทิศ ลือกันว่าลึกเข้าไปภายในเทือกเขาแห่งนี้มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เทียบได้กับผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ จึงถือว่าส่วนลึกเป็สถานที่ต้องห้ามของสิ่งมีชีวิต ซึ่งอาจจะเทียบได้กับสถานที่อันตรายซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของทวีปที่มีชื่อว่า "เทือกเขาดำมืด" ซึ่งเป็สวนสนุกแห่งที่สองของเหล่ามารอสูร
แม้จะมีอันตรายมากมายเพียงใด แต่เทือกเขารกร้างกลับไม่เหมือนเทือกเขาดำมืดที่มนุษย์เหยียบย่างเข้าไปต้องตายทุกราย เทือกเขารกร้างขอเพียงผู้ฝึกยุทธ์ไม่เข้าไปภายในส่วนลึกแล้วเจอเข้ากับมารอสูรที่มีพลังฝีมือที่แข็งแกร่ง โอกาสรอดชีวิตก็ยังมีอยู่ไม่น้อย
ดังนั้น อาณาเขตชั้นนอกเทือกเขารกร้างจึงกลายเป็สวนสนุกของผู้ที่ชอบเสี่ยงภัยในเขตปกครองเทพา และเป็สนามฝึกทดสอบฝีมือของผู้ฝึกพลังยุทธ์ได้เป็อย่างดีอีกด้วย
เนื่องจากการหลั่งไหลมาของผู้ที่ชอบเสี่ยงภัย เมืองหมันเล็กๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเทือกเขารกร้างนี้จึงเจริญรุ่งเรืองขึ้น แต่เดิมที่เคยเป็หนึ่งในเมืองเล็กๆ ในจำนวนร้อยเมือง ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งที่พิเศษนี้ กลับกลายเป็ว่าทำให้เมืองหมันพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบเทียบเท่ายี่สิบเมืองใหญ่เลยทีเดียว
โรงเตี๊ยมอั้นเยว่!
โรงเตี๊ยมอั้นเยว่เป็โรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่ข้างประตูทางทิศใต้ของเมืองหมัน โรงเตี๊ยมมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นหนึ่งเป็ห้องรับประทานอาหาร ชั้นสองชั้นสามเป็ห้องพัก
ในเวลานี้ โต๊ะที่นั่งติดริมหน้าต่างของชั้นหนึ่งมีเด็กหนุ่มเสื้อเขียวคนหนึ่งนั่งอยู่ สายตาของเขามองดูผู้คนที่เดินผ่านสัญจรไปมา ภายในหัวไม่รู้ว่าครุ่นคิดเื่อะไรอยู่
คนผู้นี้คือเย่ชิงหานที่เดินทางมาไกลหลายร้อยกิโลเมตรจากเมืองชาง วันนั้นหลังจากอำลากับน้องสาวแล้วจึงได้เดินทางมาคนเดียวโดยการติดสอยห้อยตามกลุ่มพ่อค้ามา ใช้เวลาครึ่งเดือนจนมาถึงเมืองหมันที่อยู่ทางตอนใต้ของเขตปกครองเทพา
เมืองหมันไม่เสียทีที่เป็สวนสนุกของเหล่านักเสี่ยงภัย นักเสี่ยงภัยที่อยู่ในที่แห่งนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ทุกๆ วันจะมีนักเสี่ยงภัยจำนวนมากเดินทางไปยังเทือกเขารกร้างเพื่อฝึกฝนตนเองและล่ามารอสูร คนเหล่านี้ทุกครั้งที่กลับมาต่างมีหนังของมารอสูรและแก่นผลึกมารอสูรนำกลับมาด้วยจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แก่นผลึกมารอสูรที่นี่ราคาถูกเป็อย่างมาก
เย่ชิงหานที่เพิ่งจะมาถึงแน่นอนว่ารู้สึกตื่นเต้นคึกคักเป็อย่างยิ่ง ประกอบทั้งนี่เป็ครั้งแรกที่เดินทางจากบ้านมาไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมาที่นี่เป็การตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด เขาซื้อแก่นผลึกมารอสูรได้อย่างมากมายในราคาที่ต่ำเป็อย่างมาก
นับรวมวันนี้เป็วันที่สิบสามที่เย่ชิงหานมาถึงเมืองหมันแห่งนี้ หลังจากที่กว้านซื้อแก่นผลึกมารอสูรเป็ประจำทุกวัน ตอนนี้เงินที่มีอยู่ติดตัวก็เหลือไม่มากแล้ว แต่เ้าสัตว์อสูรเสี่ยวเฮยกลับยังคงเหมือนเดิม กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน ไม่มีเค้าลางว่าจะข้ามผ่าน่ระยะอ่อนแอให้เห็นเลยสักนิด สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงคือร่างกายที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เมื่อก่อนที่เพิ่งเรียกออกมามีขนาดเท่ากำปั้น ส่วนตอนนี้กลับมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือแล้ว เย่ชิงหานเริ่มจะปวดหัวกับเื่นี้ขึ้นมาอีก ไม่มีกะจิตกะใจนั่งฝึกฝนพลังปราณรบเหมือนเช่นทุกๆ วันที่เคยกระทำ จึงเดินลงไปยังห้องรับประทานอาหารสั่งเหล้าถูกๆ มาดื่มอยู่คนเดียวเงียบๆ
“เวลาก็ผ่านไปเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเด็กโง่ชิงอวี่อยู่ที่บ้านสบายดีหรือเปล่า? เสี่ยวเฮยเอ้ยเสี่ยวเฮย...เ้าจะกินแก่นผลึกมารอสูรอีกเท่าไรถึงจะข้ามผ่าน่ระยะอ่อนแอ?” มองคนที่เดินสัญจรไปมาบนท้องถนน ใจของเย่ชิงหานคิดไปต่างๆ นานา สายตาค่อยๆ เริ่มเลือนรางราวกับว่าได้มองเห็นลานที่พักเล็กๆ อันเงียบสงบของตน ที่แห่งนั้นน้องสาวที่ร่างบอบบางนั่งอยู่ภายในสายตาเหม่อมองมายังทิศทางที่ตั้งของเมืองหมัน
เฮ้อ!
แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของตนเองในขณะนี้ สายตาอดไม่ได้ที่จะเลือนรางมากขึ้นไปอีก พร์! ข้า้าพร์! พร์ของตนเองไม่ไหวเอาเสียจริงๆ ยี่สิบวันมานี้ไม่มีวันไหนที่ไม่ฝึกฝนเลย แม้จะเพียรพยายามขนาดนี้ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น
เวลาครึ่งเดือนที่เดินทางบนถนน เวลาเกือบจะทั้งหมดเขาใช้ไปในการฝึกฝนอยู่บนรถม้าโดยตลอด เมื่อมาถึงเมืองหมัน นอกจากที่ออกไปซื้อแก่นผลึกมารอสูรแล้ว เวลาที่เหลือก็ทำการฝีกฝนอยู่แต่ภายในห้อง
ผู้ที่ฝึกยุทธ์ลำดับแรกต้องทำร่างกายให้แข็งแรงเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับขอบเขตปุถุชน ลูกหลานของตระกูลเย่เริ่มฝึกยุทธ์ั้แ่เด็ก อายุได้ห้าถึงหกปีก็เริ่มก้าวเข้าสู่ระดับขอบเขตปุถุชนแล้ว จากนั้นเริ่มฝึกดูดซับพลังฟ้าดินเข้ามายังภายในร่างกายแล้วเปลี่ยนเป็พลังปราณรบก็จะก้าวเข้าสู่ระดับขอบเขตผู้กล้า
ลำดับต่อมาคือระดับขอบเขตขั้นสูง ระดับขอบเขตนี้จำเป็ต้องใช้พลังปราณรบที่มีอยู่ภายในกายมาทะลวงจุดชีพจรเล็กทั้งเก้าจุดคือ อินม่าย หยางม่าย ชงม่าย ต้องม่าย จั๋วเส่าจู๋ม่าย โย่วเส่าจู๋ม่าย จั๋วโส่วสีม่าย โย่วโส่วสีม่าย เจว๋ม่าย หรือเรียกโดยรวมว่า โจเทียนจิ่วม่าย ซึ่งจุดชีพจรเล็กที่อยู่ภายในกายทั้งเก้าจุดนี้หากทะลวงได้ทั้งหมดก็จะบรรลุถึงระดับขอบเขตยอดยุทธ์
การจะเลื่อนระดับพลังฝีมือจากระดับขอบเขตยอดยุทธ์ขึ้นสู่ระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์นั้น จำเป็จะต้องทะลวงจุดชีพจรใหญ่ทั่วร่างอีกสามจุดคือ เริ่นม่าย ตูม่ายและฉีม่าย พร้อมทั้งทำการสร้างตันเถียน เมื่อทะลวงจุดชีพจรใหญ่ได้ทั้งหมดและสร้างตันเถียนขึ้นมาได้ก็จะบรรลุถึงระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์
ระดับขอบเขตขั้นสูงและระดับขอบเขตยอดยุทธ์ทั้งสองระดับขอบเขตนี้ต้องอาศัยศักยภาพทางร่างกายและพร์ส่วนบุคคลเป็อย่างมาก คนจำนวนมากในเขตปกครองเทพาต่างติดอยู่ในสองระดับขอบเขตนี้ทั้งชีวิต และเย่ชิงหานก็เป็คนจำพวกนั้น สิ่งอุดตันที่เกาะอยู่ภายในจุดชีพจรภายในร่างทั้งสิบสองจุดมีมากมายมาหาศาล หากคิดคำนวณออกมาคงประมาณแปดส่วนเห็นจะได้
ดังนั้น แม้เย่ชิงหานฝึกฝนมากว่าสิบปีก็ทำได้เพียงแค่ทะลวงจุดอินม่ายและจุดหยางม่ายเพียงเท่านั้น ตอนนี้กำลังพยายามอย่างสุดกำลังที่จะทะลวงจุดชงม่ายให้ได้
ยี่สิบวันที่ผ่านมาเขาพยายามฝึกฝนพลังปราณรบเพื่อทะลวงจุดชงม่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเล็กน้อยมากเพียงแค่ร้อยละสองสามเปอร์เซ็นต์
เสี่ยวเฮยยี่สิบวันมานี้กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน ไม่มีเค้าลางว่าจะข้ามผ่าน่ระยะอ่อนแอให้เห็นเลยสักนิด นึกถึงคำพูดของผู้าุโเทียนสิงแห่งหอสัตว์อสูรที่กล่าวว่า “สัตว์อสูรยิ่งระดับคุณภาพสูงยิ่งใช้เวลาข้ามผ่าน่ระยะอ่อนแอยาวนานมากขึ้น” ดูท่าจะให้เสี่ยวเฮยข้ามผ่าน่ระยะอ่อนแอใน่ระยะเวลาอันสั้นคงเป็ไปไม่ได้แล้ว
แผนที่ตนเองคิดไว้เกิดข้อผิดพลาดจนได้ เดิมทีคิดว่าอาศัยเงินเก็บสะสมที่มีเดินทางมาเมืองหมันซื้อแก่นผลึกมารอสูรระดับหนึ่งก็จะสามารถทำให้เสี่ยวเฮยข้ามผ่าน่ระยะอ่อนแอไปได้ สามารถรวมร่างสัตว์อสูรได้ ตนเองก็จะสามารถเดินทางกลับไปเข้าร่วมเป็ศิษย์สายในของตระกูลได้อย่างภาคภูมิใจ
ไม่คาดคิดเลยจริงๆ! มีเพียงทางเดียวคือเข้าไปยังเทือกเขาเท่านั้น
เย่ชิงหานลูบคลำห่อผ้าที่อยู่บริเวณหน้าอกในใจครุ่นคิดตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ภายในห่อผ้าเป็ของใช้ต่างๆ ที่จำเป็ต่อการเข้าไปยังเทือกเขา เงินที่มีติดตัวก็จะหมดกระเป๋าแล้ว หากคิดอยากจะได้แก่นผลึกมารอสูรมาให้เสี่ยวเฮยกินอีก คงจำเป็ต้องเดินทางเข้าไปล่าภายในเทือกเขารกร้างด้วยตนเองเพียงเท่านั้น
ในขณะที่เย่ชิงหานครุ่นคิดเื่ราวอยู่ภายในใจนั้น ชายรูปร่างสูงใหญ่ท่าทางดุดันบนไหล่แบกดาบั์เดินเข้ามาภายในโรงเตี้ยม พอมาถึงก็นั่งพรวดลงไปยังเก้าอี้โดยทันทีพร้อมกับร้องะโขึ้น “น้องเสี่ยวเยว่ที่รัก รีบนำเหล้าสาวงามสีน้ำเงินมาให้พี่ดื่มก่อนสักไหหน่อยสิ นานแล้วที่ไม่ได้ดื่มเหล้าหมักฝีมือเ้า พี่คิดถึงจะบ้าตายอยู่แล้ว”
ผู้คนภายในห้องรับประทานอาหารถูกเสียงของชายรูปร่างสูงใหญ่ดึงดูดความสนใจ ด้านหนึ่งชายร่างผอมผมยาวปะไหล่คนหนึ่งลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮ่าๆ ข้าก็นึกว่าใครที่ไหน? ที่แท้ก็พี่ใหญ่เหมิ่งหลงนี่เอง เหมิ่งหลงข้าว่าเ้าไม่ได้คิดถึงเหล้าที่อั้นเยว่หมักหรอกมั้ง แต่คิดถึงเถ้าแก่เนี้ยแสนสวยอั้นเยว่ของเราต่างหากเล่าใช่ไหม ฮ่าๆ...”
“คิกๆ ไปให้พ้นเลยจ้าวเถ่ ขนาดอาเจ้อย่างข้าเ้ายังกล้าพูดจาหยอกเย้า ระวังคืนนี้เจ้จะดูดเ้าให้แห้งตาย” หญิงสาวที่มีใบหน้าสวยงามที่อยู่หลังโต๊ะคิดเงินเดินถือเหล้าไหหนึ่งเดินตรงมา
เถ้าแก่เนี้ยคนนี้ดูหน้าตาเหมือนกับอายุราวยี่สิบสองยี่สิบสามปี รูปร่างอวบอิ่ม มีส่วนเว้าๆ นูนๆ ได้รูป ใบหน้าดั่งดอกท้อ สองตาดั่งหงส์ชาดที่สวยงามชวนให้น่าหลงใหลอย่างยิ่ง นางมองค้อนตาขาวไปยังชายร่างผอมทีหนึ่ง จากนั้นวางเหล้าลงบนโต๊ะของเหมิ่งหลง แขนที่ขาวราวกับหยกหิมะของนางวางไปบนไหล่ของเหมิ่งหลงแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างเอาใจ “เหมิ่งหลงเ้ามีคนใหม่ที่ชอบแล้วใช่ไหม? ไม่คิดถึงอาเจ้คนนี้แล้ว? ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วถึงค่อยมาที่นี่?”
“แหะๆ!” เหมิ่งหลงยื่นฝ่ามือที่ดำมืดออกไปหวังที่จะลูบก้นงอนของอั้นเยว่สักครั้ง อั้นเยว่ราวกับรู้ั้แ่แรกแล้วจึงยื่นมือออกไปปัดกระเด็นออกไป มองค้อนด้วยสายตายั่วเย้าไปครั้งหนึ่งก่อนจะเดินส่ายสะโพกเดินจากไป
เหมิ่งหลงยิ้มอย่างลามกพูดขึ้นว่า “น้องเสี่ยวเยว่เ้าพูดบ่อยๆ ว่าเ้าจะกับข้าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เพียงแค่ให้พี่จับลูบคลำดูสักครั้งก็ยังไม่ได้”
“ถูกต้องที่สุด เถ้าแก่เนี้ยอั้นเยว่แสนสวยที่รัก เ้าพูดทุกครั้งว่าจะดูดข้าให้แห้ง ทำไมถึงดีแต่พูดไม่ลงมือปฏิบัติบ้างเล่า? หลอกให้ข้าอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณรอั้แ่หัวค่ำ แต่กลายเป็ว่าปล่อยให้พี่เฝ้ารอในห้องน้อยอย่างเดียวดาย พี่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างน่ะรู้ไหม...” ชายวัยกลางคนร่างผอมที่ชื่อจ้าวเถ่สะบัดผมทำท่าทางหว่านเสน่ห์
เหมิ่งหลงเห็นว่าจุดสนใจโดนจ้าวเถ่แย่งไปแล้วจึงหัวเราะแหะๆ ด่าขึ้น “เ้าเฝ้ารอในห้องน้อยอย่างเดียวดายห่าอะไร น้องเยว่ข้ามีเื่เกี่ยวกับจ้าวเถ่จะบอก ไม่นานก่อนหน้านี้เขาไปที่หอหมื่นบุปผามา จ้าวเถ่คนนี้ชีวิตส่วนตัวโคตรจะเหลวแหลกเลย ดูเขาผอมขนาดนี้ ข้าว่าคงจะติดโรคจนระยะสุดท้ายแล้ว”
จ้าวเถ่ได้ยินชักทนไม่ไหว ตบโต๊ะฉาดหนึ่งร้องด่าขึ้น “เหมิ่งหลง เ้าอย่ามาผายลมแถวนี้! เ้าคิดว่าตอนกลางคืนเ้ามองรูปอั้นเยว่แล้วฝึกวิชาสองมือคว้าจับเป็ประจำทุกคืน คิดว่าจะไม่มีคนอื่นรู้อย่างนั้นรึ?”
มองเห็นทั้งสองมีท่าทางจะลงไม้ลงมือกัน สีหน้าของอั้นเยว่เ็าลงในทันใด นางถลึงตาใส่แล้วพูดขึ้นด้วยความโมโห “พอได้แล้วพวกเ้าทั้งสองคน คนกันเองก็อีกเื่หนึ่ง...ที่ตบโต๊ะพังต้องชดใช้เพิ่มเป็สองเท่า...พวกเ้าต่างอยากจะได้ข้าใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ได้ไม่มีปัญหา ตอนไหนที่พวกเ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะขัดสีฉวีวรรณอย่างดีเดินไปหาเองถึงที่เตียงนอนเลย”
“...”
ทั้งสองหดหัวกลับแทบไม่ทัน เมื่อสักครู่ยังทำท่าองอาจราวกับเสือ แต่ตอนนี้ดูคล้ายกับหนูที่เจอแมวเข้าอย่างไรอย่างนั้น เถ้าแก่เนี้ยอั้นเยว่คนนี้พลังฝีมือลึกล้ำไม่อาจคาดเดา อย่าเห็นว่านางเวลาปกติธรรมดาเป็กันเองไม่ถือเนื้อถือตัว แต่ถ้าได้ลงไม้ลงมือไม่มีการออมมือเด็ดขาด
“ฮ่าๆ...” เห็นทั้งสองมีอาการบิดไปมาทำหน้าไม่ถูก ผู้คนที่อยู่ในชั้นรับประทานอาหารต่างหัวเราะออกมาอย่างครื้นเครง เย่ชิงหานได้ยินก็ยังรู้สึกขบขันไปด้วย ตัวตลกทั้งสองคนนี้น่าสนใจจริงๆ แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นเย่ชิงหานเองก็รู้สึกเลื่อมใสศรัทธาอย่างหมดจิตหมดใจต่อเถ้าแก่เนี้ยที่พราวไปด้วยเสน่ห์ผู้นี้ วิธีการทำธุรกิจทำได้ถึงระดับขั้นสุดยอดเลยทีเดียว คาดว่าผู้ชายส่วนมากที่อยู่ในชั้นรับประทานอาหารในตอนนี้ที่มากันก็คงเพราะเถ้าแก่เนี้ยคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย