พ้นเดือนหนึ่งไป อากาศก็อบอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าสำนักศึกษาสตรีก็เปิดภาคเรียน ได้ยินว่าการสอบเข้าปีนี้ดุเดือดมาก
แต่เฉียวเยว่กลับไม่ใส่ใจมากนัก เื่ราววุ่นวายของนางมีมากพออยู่แล้ว ไม่อยากจะสนใจเื่เหล่านี้
หากเอ่ยถึงเื่ที่เฉียวเยว่ใส่ใจที่สุด่นี้ก็คงจะเป็เื่การหมั้นหมายของพี่หญิงสาม ่ปีใหม่มีการจัดงานเลี้ยงในจวน หรงเยว่ได้ดูตัวคุณชายอยู่หลายคน ดูเหมือนว่าจะต้องตาคุณชายสกุลเฉิงคนหนึ่ง อาจเป็เพราะได้บทเรียนมาจากท่านอาเยียนหรัน ครานี้จึงพยายามเลือกเฟ้นบุตรเขยที่ไม่อยู่ไกลเกินไปนัก
ยิ่งอยู่ไกลหากผู้อื่นมีเจตนาซ่อนเร้นก็ยากจะหาทางป้องกัน หลังจากนั้นชีวิตจะเป็เช่นไรมิอาจรู้ได้
คุณชายสกุลเฉิงผู้นี้เป็คนเรียนหนังสือ เฉียวเยว่ไม่เคยเจอ แต่ตามที่ฉีอันเล่า อุปนิสัยใช้ได้ เป็คนซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ความรู้ระดับปานกลาง แต่เหมาะสมกับอุปนิสัยของหรงเยว่
เป็คนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา จิตใจไม่เลี้ยวลดคดเคี้ยว
หรงเยว่เป็คนวู่วามใจร้อน อยู่กับคนเช่นนี้ได้พอดี จากที่ได้ยินมาสาเหตุที่ตระกูลของพวกเขาสนใจหรงเยว่ก็เพราะเห็นว่าจวนซู่เฉิงโหวเป็ตระกูลที่มีหน้ามีตา การอบรมศึกษาบุตรหลานน่าจะไม่เลว นอกจากนี้ก็ยังถูกใจความเข้มแข็งของหรงเยว่อีกด้วย
มารดาของคุณชายเฉิงผู้นี้ตรงไปตรงมายิ่งนัก นางมักเอ่ยปากเสมอว่าบุตรของตนเองเหยาะแหยะเกินไป หากได้ภรรยาที่เข้มแข็งหน่อยก็คงจะดี
เฉียวเยว่มักไม่วางใจพี่สาวของตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงส่งคนไปสอบถาม ได้ยินว่าตระกูลนี้ไม่เลว หากถามว่ามีสิ่งใดไม่ดีบ้าง ก็คงจะเป็คุณชายเฉิงที่ค่อนข้างสุภาพอ่อนโยนไม่สนใจจะเข้าไปประสมโรงกับเื่ราวใดๆ กับอีกคนก็คือท่านย่าของครอบครัวนี้
ได้ยินว่าท่านย่าของคุณชายเฉิงเป็คนเคร่งครัดเ้าระเบียบมาก ดูเหมือนว่าฮูหยินเฉิงเองก็คงรองรับอารมณ์มาไม่น้อย เฉียวเยว่ลอบคาดคะเนอยู่เงียบๆ ครอบครัวของพวกเขาจะหาสะใภ้ที่ร้ายกาจหน่อยเพื่อมารับมือกับผู้าุโท่านนี้หรือไม่
แน่นอนว่าทุกสิ่งล้วนเป็นางที่คิดจินตนาการไปเรื่อยเปื่อย ความจริงเป็อย่างไรไม่มีใครรู้ได้
เมื่อท่านปู่ท่านย่าของพวกนางเห็นว่าใช้ได้ ก็คงมิใช่ปัญหาใหญ่
แค่ไม่มีความขัดแย้งในครอบครัวก็เพียงพอ
เฉียวเยว่กลับจากสำนักศึกษา ก็ตรงไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนหลัก ทุกคนต่างอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา นางอมยิ้มยอบกายเล็กน้อย ยิ่งใกล้ถึงวัยปักปิ่น เฉียวเยว่ก็สำรวมกิริยาไม่น้อย ดูสุขุมมากขึ้น ไม่ค่อยออกไปข้างนอก ราวกับโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว
แต่ผู้อื่นไหนเลยจะรู้ว่าแท้จริงแล้ว เฉียวเยว่รู้สึกว่า่นี้มักเกิดปัญหากับตนเองบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงพยายามหลีกเลี่ยงและระมัดระวังอย่างยิ่ง
นี่คือกลไกการป้องกันตัวของนาง เพื่อให้พ้นจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ฮูหยินผู้เฒ่าอมยิ้ม เอ่ยว่า "เฉียวเยว่ มานั่ง"
เฉียวเยว่ยิ้มพลางทักทายผู้าุโคนอื่นๆ
"ไฉนเ้ามาคนเดียว? ฉีอันเล่า?" ไท่ไท่สามเอ่ยถาม
ส่วนมากถ้าเขาไม่มาคารวะผู้ใหญ่ ก็ต้องมีการจัดการกันเสียหน่อย นับั้แ่ไท่ไท่สามกลับมาจากท่องเที่ยว ก็ดูร่าเริง และมีความองอาจเข้มแข็งขึ้นมาก แตกต่างจากเมื่อก่อนไม่น้อย ในส่วนนี้ทุกคนล้วนมองออก
"หลังเลิกเรียนเขาก็ไปสนามฝึกยุทธ์เ้าค่ะ" เฉียวเยว่ตอบ
อาจเป็เพราะได้รับอิทธิพลมาจากฉีจือโจว ฉีอันจึงไม่เหมือนคุณชายที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับวิชาความรู้แต่ดูแคลนศิลปะการต่อสู้ เฉียวเยว่รู้สึกว่าฉีอันทำถูกต้องแล้ว ไม่มีเหตุผลที่เรียนรู้เพียงอย่างเดียว หากเป็ไปได้ เด็กผู้ชายก็ควรฝึกยุทธ์ไว้บ้าง หาใช่เพื่อไปทะเลาะวิวาท แต่เพื่อฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง
"ฉีอันเด็กคนนี้จะต้องมีอนาคตที่ดีเป็แน่" ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวขึ้น
ไท่ไท่ใหญ่กับไท่ไท่รองต่างเม้มปากสงวนวาจา แต่ไท่ไท่สามกลับมิได้ถ่อมตน นางยิ้มคล้อยตามประหนึ่งว่าเห็นด้วย หากเป็การชื่นชมตัวนาง ไม่ว่าอย่างไรนางมักจะถ่อมตนเสมอ แต่หากเอ่ยถึงบุตรชายบุตรสาว ก็จะเป็อีกเื่
เฉียวเยว่นั่งลงข้างหรงเยว่ "พี่หญิงสามคิดถึงข้าหรือไม่"
หรงเยว่กลอกตาใส่นาง เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก "เอ๋? พี่หญิงสาม ท่านหน้าแดงหรือ?"
หรงเยว่นั่งเงียบอยู่ตรงนั้นไม่เหมือนกับนาง เฉียวเยว่เห็นใบหน้าของหรงเยว่แดงเล็กน้อย ก็ร้องทัก "พี่หญิงสาม?" หางเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย แฝงเจือไปด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า
"ข้าหน้าแดงที่ไหน อย่าพูดเหลวไหล" หรงเยว่เอ่ย
นางเว้นจังหวะเล็กน้อย "อาจเป็เพราะวันนี้อากาศค่อนข้างร้อนกระมัง"
เฉียวเยว่แสดงให้เห็นว่าตนเองไม่เชื่อ หากฤดูใบไม้ผลิอากาศร้อน แล้วฤดูร้อนจะทำเช่นไรกันเล่า?
นางมองไปรอบๆ อย่างมีเลศนัย แฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาดน่ารัก
"เ้านี่นะ ไม่ต้องมองแล้ว ต่อให้มีคน ป่านนี้ก็กลับกันไปหมดแล้วล่ะ" ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
พอเฉียวเยว่ได้ยิน ก็รู้ว่าต้องเป็ฮูหยินกับคุณชายสกุลเฉิงแน่นอน มิเช่นนั้นพี่หญิงสามก็ไม่มีเหตุผลที่จะหน้าแดงเช่นนี้
"ข้าเห็นว่าฮูหยินเฉิงผู้นี้ดูจะเข้ากับคนง่าย" ไท่ไท่รองเอ่ยปาก คนที่จะได้รับคำชมจากนางมีไม่มากจริงๆ เฉียวเยว่คาดคะเนว่าฮูหยินสกุลเฉิงผู้นี้จะต้องเป็คนช่างพูดอย่างแน่นอน
เฉียวเยว่เงี่ยหูฟังเงียบๆ
"คิดว่าอีกไม่กี่วันพวกเขาน่าจะมาสู่ขอ เช่นนี้ก็ดีมากจริงๆ" ไท่ไท่รองพูดต่อ
ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองเฉียวเยว่ เห็นนางกำลังเงี่ยหูฟังก็เอ่ยว่า "หรงเยว่ เฉียวเยว่ พวกเ้ากลับไปกันเถอะ ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน"
เฉียวเยว่ทำคอตก นางอยากจะฟังอย่างเปิดเผยก็ยังไม่ได้
"เ้าค่ะ" นางเบะปาก ตอบกลับไป
นางตามหรงเยว่ออกจากห้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
หรงเยว่เห็นนางยิ้มร่าก็ถามว่า "เ้ามองอะไร"
เฉียวเยว่ทำสีหน้าไร้เดียงสา "ข้ามองพี่หญิงสามมิได้หรือ พี่หญิงสามช่างเืเย็นไร้หัวใจยิ่งนัก ท่านทำเช่นนี้ ข้าจะทำเยี่ยงไรดี พอมีคนใหม่ก็ลืมคนเก่าเสียแล้ว"
หรงเยว่ชูกำปั้นทุบนาง "เพ้อเจ้อ คนใหม่คนเก่าอันใด เ้าเป็คนเก่าเสียที่ไหน แล้วมีคนใหม่อะไรกัน"
ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วจริงๆ
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก พลางเบี่ยงตัวหลบ "พี่หญิงสาม ท่านอายหรือ?"
หรงเยว่วิ่งตามเฉียวเยว่ เฉี่ยวเยว่เข้ามาในเรือนเห็นภาพฉากนี้เข้าพอดี ก็ยิ้มเอ่ยอย่างอ่อนโยน "พี่หญิงสาม น้องหญิงเจ็ด เหตุใดไม่เข้าไปในเรือนเล่า"
การถามเช่นนี้นับว่าเหมาะสม สองปีมานี้นางสงบเสงี่ยมขึ้นมากเพราะอายุมากขึ้นแล้วและต้องเตรียมตัวออกเรือน
แต่เฉียวเยว่เมินเฉยกับนางมาแต่ไหนแต่ไร นางเอ่ยปากว่า "ข้าจะกลับแล้ว พี่หญิงสามไปนั่งเล่นที่เรือนของข้าดีหรือไม่"
หรงเยว่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำ จึงกอดแขนของเฉียวเยว่แล้วเดินไปกันสองคน
เฉี่ยวเยว่มองเงาหลังของพวกนางพลางขบริมฝีปาก แต่หลังจากนั้นก็กลับมายิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แล้วเดินเข้าไปในเรือนหลัก
"ไม่ต้องไปสนใจ เห็นแล้วรำคาญตายิ่งนัก" หรงเยว่กล่าว
เฉียวเยว่เข้าใจอารมณ์ของหรงเยว่ แต่ไหนแต่ไรมาพวกนางก็ไม่มีความผูกพันลึกซึ้ง เฉี่ยวเยว่มักจะไปทำตัวน่ารักรู้ความต่อหน้าท่านลุงรองอยู่เสมอ คนอุปนิสัยเช่นหรงเยว่ไหนเลยจะทนดูได้
"ข้ารู้ คร้านจะสนใจนาง" เฉียวเยว่ตอบ
หรงเยว่หัวเราะเสียงเบา "บางคราข้าก็อิจฉาเ้าจริงๆ ท่านอาสามครองตัวบริสุทธิ์สะอาด แต่ไรมาไม่เคยมีเื่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เรือนของพวกเ้าไม่มีอนุภรรยา ก็ไม่ต้องเห็นหน้าพี่น้องที่ไม่ชอบหน้ากัน"
นางเว้นจงหวะเล็กน้อย แล้วกล่าวอีกว่า "แต่เ้าก็รู้นิสัยข้า ข้าทำเยี่ยงพี่หญิงใหญ่ไม่ได้ ข้าไม่อาจทำตัวเป็พี่น้องกับพวกนางได้จริงๆ ข้าไม่ชอบพวกนาง พวกนางถือสิทธิ์อันใดมาแย่งชิงความรักของบิดาข้าไป ถือสิทธิ์อันใดมารับคำชมเชยจากบิดาข้า นางเป็บุตรสาวที่ดี อะไรล้วนดีไปหมด ส่วนข้าไม่มีอะไรดีสักอย่าง ดื้อรั้นเอาแต่ใจ ทั้งที่พวกนางแย่งชิงบิดาข้าไปชัดๆ"
เฉียวเยว่เข้าใจความรู้สึก ดึงมือนางมากุมแล้วพูดปลอบประโลม "ข้ารู้ ข้าอยู่ข้างท่านตรงนี้ตลอดเวลา ข้าเองก็ไม่ชอบนาง ชาติกำเนิดของคนเราล้วนถูกลิขิตไว้แล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่อุปนิสัยของนางน่ารังเกียจ ข้ามักรู้สึกว่านางเสแสร้งจอมปลอมมาก ข้าไม่ชอบ"
เฉียวเยว่ไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย แม้จะว่าร้ายผู้อื่นอยู่
"พวกเราอย่าเอ่ยถึงนางอีกเลย จะไปสนใจทำไม ไปกันเถอะ ไปนั่งคุยเื่ว่าที่พี่เขยสามของข้าที่เรือนสามดีกว่า ผู้อื่นเป็อย่างไรบ้าง ถึงทำให้ท่านปู่กับท่านย่าพยักหน้าตกลง คงไม่เลวหรอกกระมัง"
พูดมาถึงตรงนี้ หรงเยว่ก็หน้าแดง "เหตุใดถึงรอบรู้ไปเสียทุกเื่ฮึ แม่นางยันต์แปดทิศ!"
หลังจากนึกดูแล้ว หรงเยว่ก็พูดอีกว่า "เฉียวเยว่ เ้าอายุสิบสามแล้ว ท่านอาสามกับอาสะใภ้สามยังไม่ดูตัวให้เ้าอีกหรือ?"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "พวกเราไม่รีบร้อน ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่อยากให้ข้าออกเรือนเร็วเกินไป อีกอย่างพี่หญิงสามก็เพิ่งจะหารือเื่แต่งงาน แล้วข้าจะรีบร้อนไปไยเล่า?"
"นั่นไม่เหมือนกัน ข้าอายุเยอะแล้วตัวเลือกก็ยิ่งน้อย แม้ว่าเลือกแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะได้แต่งงานกัน"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากหมั้นหมายเร็วเกินไป"
แต่เฉียวเยว่ไหนเลยจะคิดว่าสิ่งที่ตนเองพูดจะย้อนกลับมาตบหน้าตนเองอย่างรวดเร็ว
ยามนี้ชีวิตก็เพียบพร้อมสมบูรณ์ดี นางย่อมไม่รู้สึกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น "ข้าจะรอสิบหกสิบเจ็ดค่อยหมั้นหมาย สิบแปดสิบเก้าถึงจะแต่งงาน" นางพูดไปเรื่อยเปื่อย
"ข้าว่าเื่พรหมลิขิตไม่เกี่ยวข้องกับอายุ" นางแบมืออย่างไม่ยี่หระ
แต่ไม่รู้อย่างไร เฉียวเยว่พลันนึกถึงวันนั้นที่หรงจ้านจุมพิตหน้าผากของนาง
ภาพใบหน้าของหรงจ้านผุดขึ้นมาในสมอง หลังจากนั้นก็รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
"พวกเราอย่าคุยกันเื่นี้เลย" เฉียวเยว่ยุติหัวข้อนี้ในฉับพลัน อย่าพูดต่อเลยดีกว่า มิเช่นนั้นเดี๋ยวนางจะฟุ้งซ่านอีก
เฮ้อ ซูเฉียวเยว่ เ้าคิดเหลวไหลอะไรกันนี่
หรงเยว่มองเฉียวเยว่ด้วยความสงสัย "เ้าหน้าแดงอะไร"
เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก "ข้านี่นะ?"
หรงเยว่มองพินิจเฉียวเยว่ด้วยสายตาคลางแคลง "เ้าคงมิได้คิดถึงใครเข้าหรอกกระมัง?"
หลังจากนั้นก็ยิ้มออกมา "เ้ามีคนที่ชอบแล้ว?"
เฉียวเยว่สั่นศีรษะอย่างเด็ดขาดแล้วทำสีหน้าจริงจัง "เปล่านะ ข้ายังเป็เด็กอยู่เลย"
หรงเยว่กลอกตาใส่นาง ใครจะเชื่อ!
"เ้าชอบใคร บอกข้ามาเลย เป็... คุณชายิ่ หรือว่าผู้อื่น?"
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดเสียงดัง "ข้ากับพี่จื้อรุ่ยหรือ จะเป็ไปได้อย่างไร"
เห็นอยู่ว่าเขาเป็เหมือนพี่ชายของนาง
หรงเยว่ขบริมฝีปาก ก่อนเอ่ยถาม "ไยจะเป็ไปไม่ได้เล่า"
นางเว้นจังหวะเล็กน้อย ดวงตาทอประกายวูบวาบ "ข้านึกว่าพวกเ้าจะแต่งงานกันเสียอีก"
เฉียวเยว่ยักไหล่แบมือทั้งสอง ยิ้มเอ่ยว่า "ไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าเห็นเขาเป็เหมือนพี่ชายเท่านั้น"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้