“ถวายบังคมเสด็จพ่อ ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหวินเจ๋อคุกเข่าลงตรงหน้าชายอายุสี่สิบกว่าที่อยู่ในชุดสีทองปักดิ้นลายัเหิน ท่าทางน่าเกรงขามที่กำลังนั่งก้มหน้าอ่านฎีกา
“กลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ ลุกขึ้นเถิดเป็อย่างไรบ้างงานที่เสด็จแม่ของเ้ามอบหมายให้ทำ สำเร็จหรือไม่”
เฮ่อเหวินฮ่องเต้ บุรุษที่อดีตต้องสู้รบกับพี่น้องร่วมสายเืเพื่ออำนาจที่เป็ของพระองค์โดยชอบธรรม และสุดท้ายพระองค์คือผู้ที่ได้ขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแคว้นจิ้น แต่ต้องแลกกับการสูญเสียบุตรชายคนเล็กของพระองค์ไป
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกพาน้องชายกลับมาได้อย่างปลอดภัย อีกไม่กี่วันรอให้เขาพร้อมกว่านี้ ลูกจะพาเด็กคนนั้นมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อและเสด็จแม่เองพ่ะย่ะค่ะ”
แม้แต่เฮ่อเหวินฮ่องเต้เองก็ใ เมื่อบุตรชายคนโตของตนเอ่ยออกมาเช่นนั้น หลายปีมานี้แม้พระองค์จะมีสนมนางในมากมาย แต่วังหลังราวกับต้องคำสาปเพราะพวกนางได้ให้กำเนิดเพียงองค์หญิงเท่านั้น ในวังหลวงแห่งนี้จึงมีเพียงองค์รัชทายาทเฮ่อเหวินเจ๋อเป็ผู้สืบทอดบัลลังก์แต่เพียงผู้เดียว
“ดี ดี ดี ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว”
เมื่อได้ยินผู้เป็บิดาเอ่ยคำว่าดีออกมาถึงสามครั้ง เฮ่อเหวินเจ๋อก็ไม่รู้ว่าตนเองต้องทำหน้าอย่างไร หากต้องบอกเื่ของกู้จิ่งเหยียนกับพระองค์
“คือ...เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกมีเื่สำคัญต้องกราบทูลต่อพระองค์”
เฮ่เหวินฮ่องเต้ที่กำลังดีใจ เลิกคิ้วมองบุตรชายคนโตของตนด้วยความสงสัย จากนั้นเฮ่อเหวินเจ๋อก็ได้เล่าเื่ราวที่ตนให้คนไปสืบเกี่ยวกับกู้จิ่งเหยียนทั้งหมดแก่พระบิดา หลังจากที่เฮ่อเหวินฮ่องเต้ได้ฟังพระองค์ก็บันดาลโทสะลงไปที่โต๊ะอย่างแรง ทำเอาขันที่คนสนิทถึงกับสะดุ้งจนตัวโยน เพราะไม่คิดว่าฝ่าาที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดจะแสดงอาการโกรธเกรี้ยวออกมาเช่นนี้
“บังอาจนัก ต่อให้ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็บุตรชายของเรา แต่อย่างน้อยเขาก็น่าจะคิดได้ว่าเด็กคนนั้นเองก็เป็เืเนื้อเชื้อไขของเขา เหตุใดถึงได้ผลักไสเด็กคนนั้นออกไปตกระกำลำบากอยู่นอกจวน คนผู้นี้ไม่น่าจะเกิดเป็บิดาของผู้ใดเลย น่าเสียดายที่เราอยู่ที่นี่ไม่อย่างนั้นขุนนางตระกูลกู้ผู้นั้นเราจะเป็ผู้สั่งสอนเขาเอง”
เฮ่อเหวินเจ๋อเองก็คิดเช่นเดียวกัน แม้เขาจะหมั่นไส้ในท่าทางของน้องชาย แต่ก็มิได้หมายความว่าเขา้าให้เด็กคนนั้นต้องลำบากและถูกเหยียดหยามจากผู้อื่น เมื่อพูดถึงเื่นี้เขาก็นึกถึงสตรีน้อยนางนั้นที่คอยให้การดูและน้องชายของตนมาตลอด
“ยังดีที่เขามีสาวใช้ที่ดูแลเป็อย่างดี แต่น่าเสียดายที่พวกเราพลัดหลงกันหลังจากที่มีมือสังหารบุกเข้ามา”
เฮ่อเหวินเจ๋อยังเล่าเื่ราวที่เกี่ยวกับลู่หยวนซีให้กับฮ่องเต้เฮ่อเหวินฟัง ทั้งท่าทางของนางและวิธีรักษาที่พิสดารและดูจะเหนือกว่าหมอทุกคนที่เขาเคยได้พบมา
“นางเก่งกาจเพียงนั้นเชียวหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ การรักษาของนางไม่เหมือนผู้ใด คราแรกที่ลูกถูกลอบสังหารจนแทบเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย นางเป็ผู้ที่ช่วยลูกออกมาจากเงื้อมมือของพญามัจจุราช น่าเสียดายที่มิได้กลับมาที่นี่พร้อมกัน แต่ลูกได้ให้คนของลูกย้อนกลับไปตามหานางแล้วพ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นานคงได้ข่าวกลับมา”
เฮ่อเหวินฮ่องเต้พยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดี หากว่านางมีความสามารถที่เก่งกาจเช่นนี้ นางก็อาจมีประโยชน์ต่อแคว้นจิ้นของเราไม่น้อย แต่พ่อกลัวว่าหากมีคนรู้เกี่ยวกับความสามารถของนาง นางอาจจะถูกคว้าตัวไปเสียก่อน”
เฮ่อเหวินเจ๋อส่ายหน้า เพราะเขามั่นใจในสายตนของตน
“ลูกคิดว่าไม่น่าจะเป็เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหวินฮ่องเต้มองบุตรชายคนโตด้วยสายตาสงสัย ก่อนชายหนุ่มจะเล่าสิ่งที่ตนได้เห็นมากับตาเกี่ยวกับความรู้สึกของน้องชายที่มีต่อสตรีนางนั้น
“เป็เช่นนี้เอง เช่นนั้นก็น่าจะวางใจได้ว่านางจะไม่ไปอยู่กับคนอื่น แต่เื่นี้เราก็ไม่ควรประมาท เอาไว้ให้นางมาถึงที่นี่ก่อนค่อยถามความสมัครใจของนางว่า้าที่จะแต่งงานกับเด็กคนนั้นหรือไม่”
สองพ่อลูกคุยกันเื่ราชกิจเล็กน้อย ก่อนเฮ่อเหวินเจ๋อจะทูลลาเพื่อกลับไปยังตำหนักของตน สองวันหลังจากนั้น องค์รัชทายาทเฮ่อเหวินเจ๋อได้พากู้จิ่งเหยียนเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาในวังหลวง โดยที่มิได้บอกเหตุผลกับเขา แต่หลังจากที่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเขาก็ร้องไห้ออกมา นั่นเป็เหตุผลว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ถูกเฮ่อเหวินเจ๋อล้อเลียน
“ทั้งหมดคือเื่ที่ท่านเก็บงำเอาไว้ก่อนหน้านี้”
กู้จิ่งเหยียนถามร่างสูงที่นั่งลงจิบชาอย่างสบายอารมณ์ เวลานี้เขาอาศัยอยู่ในตำหนักรัชทายาทเพื่อรอเวลาประกาศเกี่ยวกับฐานะที่แท้จริงของเขาออกไป
“ใช่ ข้าแค่้าให้เ้าได้รู้ความจริงจากปากของเสด็จแม่ด้วยตนเอง เอาเถอะกลับมาอย่างปลอดภัยได้ก็ดีแล้ว ส่วนเื่สาวใช้ของเ้า คนของข้ารายงานมาแล้วว่ายังหาตัวนางไม่พบ พวกเขาไปสอบถามท่านหมอที่อยู่ในอำเภอถงอัน เห็นบอกว่านางเสียใจที่เ้าตายในกองเพลิงทำให้สลบไปถึงหนึ่งเดือน ตอนนั้นท่านหมอเองก็อยู่ดูแลนางมิได้ออกไปไหน ทำให้คนของข้าตามหาเขาไม่พบเช่นกัน ต่อมานางได้ติดตามคนผู้หนึ่งไป เขาบอกว่าตนเองเป็พ่อค้าแต่ท่าทางที่แสดงออกมิใช่เช่นนั้น ท่านหมอเองก็ไม่รู้ว่าความจริงเขาเป็ใคร”
เมื่อเอ่ยถึงลู่หยวนซีกู้จิ่งเหยียนก็มีท่าทีเปลี่ยนไป เขารู้สึกไม่สบายใจที่นางจะต้องไปอยู่ใกล้ชิดกับบุรุษอื่น แต่เขาที่เป็ตัวไร้ประโยชน์คอยแต่จะเป็ภาระของนางจะสามารถทำสิ่งใดได้
“ไม่ต้องห่วงเื่นั้น ข้าคิดว่าอีกไม่นานคงหานางพบแน่นอน”
เฮ่อเหวินเจ๋อมองความไม่สบายใจที่แสดงออกทางสีหน้าของน้องชาย เขาที่เป็พี่ชายคิดว่าคงทำให้เด็กคนนี้ได้เพียงเท่านี้
“ส่วนเ้าก็เลิกหักโหมได้แล้ว อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงเปิดตัวของเ้าในฐานะองค์ชายรอง เตรียมตัวเอาไว้เถอะ”
กล่าวจบเฮ่อเหวินเจ๋อก็เดินออกจากห้องไป ที่เรือนพักรับรองภายในตำหนักรัชทายาท ข้างกายของกู้จิ่งเหยียนมีเพียงบ่าวรับใช้ไม่กี่คน เพราะเขายังคงไม่้าให้ใครเข้าใกล้ตนเองนอกจากนาง แต่เวลานี้นางมิได้อยู่ที่นี่ดังนั้นเขาจำต้องรับความช่วยเหลือจากคนอื่น จะมีก็แค่เพียงเื่ส่วนตัวของเขาเท่านั้นที่จัดการเอง แม้เขาจะอาศัยอยู่ในตำหนักรัชทายาท แต่ยังมีคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของกู้จิ่งเหยียน เห็นว่าเขาเป็เพียงคนพิการที่แม้แต่จะเดินเองยังไม่ได้จึงได้เข้ามาหาเื่และพูดจาเหยียดหยามเขา และคนผู้นั้นก็คือน้องชายของพระชายารัชทายาทที่มาหาพี่สาวของตนและได้พบกับกู้จิ่งเหยียนโดยบังเอิญที่ศาลาริมสระบัว
“เ้าเป็ใคร!! เหตุใดถึงได้เข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาต”