“นายท่านในเมื่อคุณเอาของพวกนี้ออกมา ผมก็จะไม่ปิดบังคุณล่ะนะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ “อันที่จริงที่ผมมาหาคุณกับเวยเวยครั้งนี้ก็เพื่อจะมาเอาของล้ำค่าพวกนี้ไป”
เมื่อกัวไฮว่พูดเสร็จมู่หรงเวยเวยที่อยู่ข้างๆ ก็พลันตาเบิกโพลงเป็ไปไม่ได้พี่ไฮว่ไม่มีทางหลอกใช้ฉัน ทำไมพี่ไฮว่ถึงทำแบบนี้ล่ะ
เมื่อกัวไฮว่เห็นมู่หรงเวยเวยมองตนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองกัวไฮว่ก็ยื่นมือออกมากุมมือน้อยๆ ของมู่หรงเวยเวยอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์รอก่อน ผมขอดูอักษรด้านใต้นี่ก่อน” กัวไฮว่พูดพลางใช้ตัวขวางคนอื่นเอาไว้แล้วเอากระบอกอันใหญ่ออกมาจากกระเป๋าเป้ของตนเองเขาเปิดออกอย่างระมัดระวังจากนั้นภาพม้วนยาวประมาณหนึ่งเมตรห้าสิบก็ถูกคลี่ออกมา
“ปะ...เป็ไปไม่ได้ เป็ไปได้ยังไง” ปรมาจารย์อวี้เฟิงกล่าวอย่างตกอกใ
“อาจารย์ท่านอย่าใไปเลย มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา” มู่หรงเวยเวยพยุงปรมาจารย์อวี้เฟิงแล้วพูดเบาๆ
“พ่อหนุ่มช่วยบอกที่มาของภาพนี้ทีได้ไหม” ปรมาจารย์อวี้เฟิงค่อยๆนั่งลงบนม้านั่งแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“เหอะๆ รูปนี้อาจารย์ผมให้มาน่ะ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ“อาจารย์บอกว่าตอนสมัยราชวงศ์ถังบรรพบุรุษได้พนันกับเฉินชิ่งหยวนแห่งหมู่บ้านเฉินสุดท้ายอาจารย์แพ้พนัน เฉินชิ่งหยวนจึงได้ให้ภาพแก่อาจารย์ภาพหนึ่งส่วนอาจารย์ได้ให้แบบกระบี่เฟยเจี้ยนที่หลานตนเองทำกับตราประทับที่ยังทำไม่เสร็จอันหนึ่งให้เฉินชิ่งหยวนไป
“พ่อหนุ่มหมายความว่าของในกล่องนั่นเป็ของอาจารย์ของเธอเหรอ” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพลันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“พวกเราสืบทอดกันมาเป็รุ่นๆ จนถึงรุ่นของผมตอนที่อาจารย์บรรลุเป็เซียนได้ทิ้งความปรารถนาเอาไว้หวังว่าจะนำของของอาจารย์กลับมาให้ได้” กัวไฮว่พูดเบาๆ “ตอนแรกผมก็จะมาไหว้นายท่านแต่บังเอิญได้รู้จักกับเวยเวยก็เลยปิดบังเวยเวยแล้วมาหาท่านอาจารย์ด้วยกันถึงที่นี่”
“ฮ่าๆ ที่แท้ก็เป็มิตรเก่านี่เองก็ว่าทำไมถึงเขียนอักษรได้ดีแถมยังเล่นหมากล้อมเก่งอีก” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดยิ้มๆ
“นายท่านเก็บภาพไว้ไหมครับ” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ เจตนาแน่ชัดตราประดับพลิกฟ้ากับกระบี่เฉินสิงเฟยเจี้ยนต้องให้ผมแล้วรึเปล่า
“ในเมื่อไม่ใช่ของที่บรรพบุรุษสืบทอดมาให้ทั้งยังเป็ของพนันอีกฉันก็ต้องคืนให้พ่อหนุ่มแล้วล่ะ” ปรมาจารย์อวี้เฟิงพูดพลางรับภาพอักษรที่กัวไฮว่ส่งมาให้จากนั้นกัวไฮว่ก็นำกล่องไม้จันทน์ทั้งสองกล่องใส่เข้าไปในกระเป๋าเป้ของตนเอง
กัวไฮว่มองไปที่เข็มทิศเจ็ดดาวจากพลังเซียนตอนนี้และตามระดับการฝึกฝนบนโลกแล้วเกรงว่าเป็ร้อยปีก็ไม่อาจจะใช้ได้เก็บไว้ที่ปรมาจารย์อวี้เฟิงก็แล้วกัน
“เวยเวยไม่โกรธที่ตอนแรกฉันไม่ได้บอกจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ใช่ไหม”กัวไฮว่กับมู่หรงเวยเวยอยู่ที่บ้านของปรมาจารย์อวี้เฟิงจนถึงสี่โมงเย็นเป็เพราะวันถัดมาต้องไปเข้าเรียนทั้งสองเลยปฏิเสธท่านอาจารย์และอู๋มาที่จะให้อยู่ต่อไม่ได้อยู่ทานข้าวที่บ้านของท่านอาจารย์
“โกรธสิ โกรธแน่นอนเพิ่งรู้จักพี่ได้แค่สองวันก็เริ่มมีเื่ปิดบังฉันซะแล้ว คราวหลังพอเลยนะ”มู่หรงเวยเวยพูดเสียงดังต่างกับคนละคนที่อยู่ที่โรงเรียน
“เอาล่ะ คุณหนูเวยเวย คืนนี้ฉันเลี้ยงข้าวเธอเอง อย่าโกรธกันเลยวันหลังมีอะไรฉันจะรีบบอกเธอทันทีเลยส่วนเื่ในวันนี้อาจารย์ย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามบอกคนอื่น อาจารย์ของเราพิเศษๆ หน่อยน่ะ”กัวไฮว่พูดขึ้นเสียงเบา
“มีอะไรพิเศษเหรอ” มู่หรงเวยเวยชะงักไปแล้วถามขึ้นยิ้มๆ
“พลังพิเศษแบบรูมเมตเธอนั่นแหละ พวกเราคือกลุ่มคนที่พิเศษบนโลกใบนี้”กัวไฮว่พูดเบาๆ
“งั้นปีหน้าพี่จะร่วมการแข่งต่อสู้หรือเปล่า” มู่หรงเวยเวยถามขึ้นด้วยเสียงเบา“พี่ไฮว่พี่มีพลังวิเศษอะไรเหรอบอกฉันหน่อยได้ไหม”
“พวกเราไม่เหมือนกันกับตระกูลหนานกงพวกเขาเป็สำนักเกิดใหม่มีองค์กรความสามารถพิเศษของประเทศเป็ผู้ควบคุมแต่พวกเราต่างกันพลังควบคุมตนเอง พลังของพวกเราแกร่งมากพวกเราไม่จัดการคนอื่นแต่ปกติแล้วก็ไม่ใช้พลังวิเศษรังแกคน” กัวไฮว่พูดด้วยเสียงเบา“เธอคิดดูนะตอนนั้นฉันาเ็หนักขนาดนั้นถ้าพึ่งแต่การแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียวเกรงว่าคงจะต้องไปรายงานตัวกับาานรกนานแล้ว”
“งั้นฐานะเ้าสี่ในสี่ตัวอันตรายก็ปลอมน่ะสิ” มู่หรงเวยเวยเบิกตาโพล่งถามขึ้น
“อืมเ้าสี่ในสี่ตัวอันตรายเมืองอู่เฉิงน่ะเอาไว้หลอกตาคนเท่านั้นแหละศัตรูของสำนักเราเยอะมากตอนนั้นอาจารย์เลยให้พวกเราทำแบบนี้เพราะกลัวว่าจะถูกตามฆ่าน่ะ” กัวไฮว่พูดปะติดปะต่อเื่ราว
“แล้วความรู้สึกที่พี่มีต่อถังซี โยวโยว แล้วก็ฉันในตอนนี้ล่ะ เพื่อตบตาคนเหมือนกันหรือเปล่า”มู่หรงเวยเวยถามขึ้นเบาๆ
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ฉันจริงใจกับพวกเธอนะเธอคิดดูสิสำนักโบราณแบบเราน่ะมักจะไม่รับแิสมัยใหม่หรอกอย่างหนึ่งสามีหนึ่งภรรยาฉันไม่ยอมรับหรอก ไม่งั้นคงไม่ชอบพวกเธอหลายคนพร้อมๆ กันหรอกฉันชอบพวกเธอพวกเธอชอบฉันพวกเราก็อยู่ด้วยกัน หลักธรรมง่ายๆ หลักธรรมมีรักก็คือแบบนี้แหละ”กัวไฮว่พูดด้วยใบหน้าสีหน้าสับปลับเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ช่างคิดเชื่อมโยงเป็ตุเป็ตะ
“ขี้โม้ หลายใจก็คือหลายใจ ไม่เห็นต้องมีเหตุผลมากมายเลยนี่” มู่หรงเวยเวยพูดยิ้มๆ “ไปกันพวกเราไปหาของอร่อยๆ กินกันฉันรับปากหลิงโม่ไว้แล้วว่าจะเอาของอร่อยๆ ไปฝากเธอ”
“ในที่สุดก็จัดการได้แล้วแดนมนุษย์ไม่ง่ายก็ตรงนี้นี่แหละที่สรวง์ต้องมาอธิบายแบบนี้กับสาวๆ ที่ไหนกัน” กัวไฮว่ลอบคิดในใจ
“เวยเวยต่อไปไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเธออย่าจากฉันไปนะ” ทั้งสองกินอาหารที่นับได้ว่าเป็มื้อค่ำมู่หรงเวยเวยซื้อของอร่อยๆ มาจากศูนย์การค้าไปให้หลิงโม่ในขณะที่กำลังจะกลับนั่นเองกัวไฮว่ก็พูดเบาๆ ที่ข้างหูมู่หรงเวยเวย
ขณะที่เพิ่งออกจากศูนย์การค้าตาซ้ายของกัวไฮว่ก็กระตุกอย่างจังทีหนึ่งลางสังหรณ์อัปมงคลระลอกหนึ่งทะลวงไปยังจิตใจ
“มารดามันเถอะ ที่ว่ากันว่าเวลาเซียนทะเลาะกันมนุษย์จะประสบภัยไม่คิดเลยว่าจะเสียดแทงเข้าสมองเซียนอย่างข้าด้วย” กัวไฮว่ลอบคิดในใจ
“เงินสิบล้านเพื่อฆ่าเด็กมอปลายเหรอฮ่าๆในที่สุดครั้งนี้องค์กรนี่ก็ให้ภารกิจที่ได้เงินสมเหตุสมผลสักที” ภายในห้องชั้นสิบแปดของศูนย์การค้าอู่เฉิงปืนไรเฟิลซุ่มยิงอยู่ระหว่างหน้าต่างกระบอกหนึ่งจ่อไปยังประตูทางออกศูนย์การค้า
“จื่อต้าน จื่อต้าน เป้าหมายปรากฏตัวแล้วนายท่านข่งสั่งมาแล้วว่าอย่าทำร้ายเด็กผู้หญิงคนนั้น ไม่งั้นพวกเรามีปัญหาแน่ได้ยินแล้วตอบด้วย”เสียงของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งส่งไปยังใบหูของชายหนุ่มถือปืนไรเฟิลซุ่มยิงอยู่บนชั้นสิบแปด
“ให้ตายจับตามองคนได้เงินสามแสนฆ่าคนถึงจะได้สิบล้านแกยังจะมาใช้เครื่องปลอมเสียงอีก” จื่อต้านพูดอย่างไม่ปิดบังทว่าเป้าบนปืนดูเหมือนว่าจะล็อกไปที่ร่างของกัวไฮว่แล้ว
“ระยะห่าง 338 เมตร ลม 22 ลมตะวันออก7.2 คอนเฟิร์ม” เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นในหูฟังอีกครั้ง
“หุบปาก ฉันไม่้าข้อมูลพวกนี้หรอก” จื่อต้านพูดกับไมค์หูฟัง“ลาก่อน พ่อหนุ่มน้อยรายที่เจ็ดสิบสาม” พูดเสร็จจื่อต้านก็เหนี่ยวไก
“ปัง!” ะุบินตรงไปยังศีรษะของกัวไฮว่แต่กลับไม่คาดคิดว่าในขณะที่ตนเองเหนี่ยวไกนั้น เป้าหมายที่ตนล็อกไว้จู่ๆ ก็หายไปต่อหน้าต่อตา”
“โอ้!”
“จื่อต้านภารกิจล้มเหลว แยกย้าย แยกย้าย”