ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักมาทั้งวันน่าจะทำให้เจาหรงหลับสนิทจนถึงเช้า แต่นางกลับตื่นขึ้นกลางดึกเสียก่อน แสงจันทร์นวลสาดส่องเข้ามาในห้องนอนที่เงียบสงัด นางได้ยินเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเว่ยหรานและลูกๆ ทั้งสาม
นางนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะความกังวล แต่เป็เพราะความตื่นเต้นที่แล่นพล่านอยู่ในอก
ภาพของลานดินว่างเปล่าหลังบ้านยังคงติดตา สมองของนางทำงานอย่างรวดเร็ว วาดภาพแปลงผักสีเขียวขจี โรงเรือนไก่หลังเล็ก และภาพครอบครัวที่อิ่มหนำสำราญจากผลผลิตที่ปลูกขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง มันไม่ใช่แค่ความฝันเฟื่องอีกต่อไป แต่เป็เป้าหมายที่นางจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้
ชาติก่อนนางเคยทะเยอทะยานอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน แต่ชาตินี้นางขอทะเยอทะยานเพื่อครอบครัวเล็กๆ ที่เป็ของนางอย่างแท้จริงบ้างจะเป็ไรไป
เจาหรงนอนคิดแผนการต่างๆ ในหัวเงียบๆ จนกระทั่งผล็อยหลับไปอีกครั้งในรุ่งสางของวันใหม่ และเมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงนกกระจิบที่ร้องเจื้อยแจ้วอยู่ริมหน้าต่าง นางก็รู้ทันทีว่าวันนี้คือวันเริ่มต้น ‘แผนการพลิกชีวิต’ ของนาง
หลังจากจัดการกิจวัตรยามเช้าและทำอาหารมื้อเช้าง่ายๆ อย่างข้าวต้มร้อนๆ กับไข่ต้มให้ทุกคนกินจนอิ่มหนำสำราญแล้ว เจาหรงก็เรียกประชุมสมาชิกครอบครัวเว่ยทุกคนที่โต๊ะกินข้าว ซึ่งแน่นอนว่ามีเพียงเว่ยหรานคนเดียวที่ดูจะตั้งใจฟัง ส่วนอีกสามหน่อน้อยนั้นสนใจมดตัวเล็กๆ ที่กำลังเดินไต่ขอบโต๊ะมากกว่า
"ท่านพี่" เจาหรงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ข้ามีเื่สำคัญอยากจะหารือ"
เว่ยหรานรีบวางถ้วยชาในมือลงแล้วนั่งตัวตรงทันที ท่าทางของเขาดูเกร็งเล็กน้อย ราวกับเด็กนักเรียนที่กำลังรอฟังคำสั่งจากท่านอาจารย์ "เื่อะไรหรืออาหรง"
"ข้าคิดว่า... เราไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปได้" นางพูดพลางกวาดตามองไปรอบๆ บ้านที่ตอนนี้สะอาดสะอ้านขึ้นมากแล้ว "ท่านพี่ทำงานรับจ้างในเมือง ได้เงินมาก็แทบไม่พอซื้อข้าวสารให้เราห้าชีวิตกินในแต่ละเดือน หากมีใครเจ็บป่วยขึ้นมา เราจะทำอย่างไรกัน"
สีหน้าของเว่ยหรานสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาหลุบตาลงมองมือที่หยาบกร้านของตัวเอง นี่เป็เื่ที่เขากังวลมาตลอด แต่ด้วยความที่เขาเป็คนซื่อ ไม่ได้มีหัวการค้าหรือความรู้อะไรมากมาย จึงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานหนักไปวันๆ เพื่อให้ภรรยาและลูกๆ มีกินไปแต่ละมื้อเท่านั้น
เจาหรงเห็นสีหน้าของสามีก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจ นางไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิเขาเลยแม้แต่น้อย นางรีบยื่นมือไปกุมมือใหญ่ของเขาไว้ "ท่านพี่อย่าเข้าใจข้าผิดนะ ข้ารู้ว่าท่านทำงานหนักเพื่อพวกเรามาตลอด ข้าไม่ได้จะตำหนิเลยแม้แต่น้อย แต่ข้าคิดว่าเราน่าจะลองหาหนทางอื่นดูบ้าง"
เว่ยหรานเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาซื่อตรงคู่นั้นเต็มไปด้วยคำถาม
นางจึงสูดหายใจลึกแล้วเริ่มอธิบายแผนการที่คิดไว้ตลอดทั้งคืน "ที่ดินว่างๆ หลังบ้านเราน่ะ ดินตรงนั้นดีมาก ข้าคิดว่าเราน่าจะพลิกดินขึ้นมาทำเป็แปลงผัก"
"แปลงผักหรือ" เขาขมวดคิ้ว
"ใช่เ้าค่ะ" นางพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น "เราจะปลูกผักที่ขึ้นง่ายๆ อย่างเช่น ผักกาด กวางตุ้ง หัวไชเท้า ปลูกไว้กินเองก่อน ส่วนที่เหลือเราก็เอาไปขายที่ตลาดได้ ถึงจะได้เงินไม่มาก แต่มันก็ดีกว่าไม่มีเลยนะ"
"แต่ว่า... การทำสวนมันเป็งานหนักนะอาหรง เ้าเพิ่งหายไข้ ร่างกายยังไม่แข็งแรง" นี่คือสิ่งแรกที่เขากังวล สุขภาพของนาง
"ข้าแข็งแรงดีแล้วจริงๆ" นางบีบมือเขาแน่นขึ้น "อีกอย่าง ข้าไม่ได้จะทำคนเดียวนะ ข้ามีท่านพี่อยู่ทั้งคน ท่านแข็งแรงออกปานนั้น เื่พลิกดินคงไม่หนักหนาเกินไปใช่หรือไม่"
คำเยินยอตรงไปตรงมาของนางทำให้เว่ยหรานหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที เขาไอแก้เก้อเบาๆ "ขะ... ข้าแรงเยอะอยู่แล้ว เื่แค่นี้สบายมาก"
เจาหรงแอบยิ้มกับท่าทีของเขา ก่อนจะพูดต่อ "ยังไม่หมดแค่นั้นนะ ข้าคิดว่าเราน่าจะเลี้ยงไก่ด้วยสักสี่ห้าตัว"
"เลี้ยงไก่!" คราวนี้ไม่ใช่แค่เว่ยหรานที่อุทาน แต่เป็เ้าสามแสบที่หูผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘ไก่’
"ไก่!" เว่ยเฟยะโอย่างตื่นเต้น "เราจะมีไก่เป็ของตัวเองหรือขอรับท่านแม่!?"
"กินได้ไหมขอรับ" เว่ยหู่ถามตาแป๋ว คำถามของเขาสร้างสรรค์กว่าใครเพื่อนเสมอ
เจาหรงหัวเราะแล้วหันไปลูบหัวเ้าตัวอ้วน "กินได้ แต่เราจะเลี้ยงมันไว้เก็บไข่กินกันก่อนนะ ไข่ไก่มีประโยชน์มาก เด็กๆ กินแล้วจะได้ร่างกายแข็งแรง"
"ข้าอยากเก็บไข่!" เว่ยเฟยรีบบอก
"ข้าอยากให้อาหารไก่!" เว่ยหลงที่เงียบมานานพูดขึ้นบ้าง
"ข้า... ข้าอยากอุ้มไก่" เว่ยหู่พูดเสียงอ่อย พลางทำท่ากางแขนอ้วนๆ ของตัวเองออก
ความกระตือรือร้นของลูกๆ ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงมาก เว่ยหรานมองภาพภรรยาที่พูดคุยหยอกล้อกับลูกๆ แล้วหัวใจก็พองโต เขายังคงรู้สึกเหมือนฝันไป แต่เป็ฝันดีที่เขาไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลย
"ถ้าเรามีไข่ไก่กินทุกวัน เราก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อ" เจาหรงหันกลับมาพูดกับเว่ยหราน "ไข่ที่เหลือเราก็เอาไปขายพร้อมกับผักได้อีกเหมือนกัน ท่านพี่คิดว่าเป็อย่างไร"
เว่ยหรานมองลึกเข้าไปในดวงตาของภรรยา แววตาของนางในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวังและประกายแห่งความมุ่งมั่นอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันช่างแตกต่างจากแววตาที่ว่างเปล่าและเ็าที่เขาคุ้นเคยโดยสิ้นเชิง เขาไม่รู้หรอกว่าแผนการนี้จะสำเร็จหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้คือ... เขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างตามที่นาง้า
"ข้า... ข้าเห็นด้วย" เขาตอบเสียงหนักแน่น "ขอแค่เ้าบอกมาว่าต้องทำอะไรบ้าง ข้าจะทำทุกอย่างเอง"
เจาหรงยิ้มกว้างอย่างดีใจ "ขอบคุณท่านพี่! ข้ารู้ว่าพึ่งท่านได้เสมอ"
เมื่อได้รับการอนุมัติจากหัวหน้าครอบครัวแล้ว เจาหรงก็ไม่รอช้า "ก่อนอื่น เราต้องสำรวจอุปกรณ์ของเราก่อน" นางพูดพลางเดินนำทุกคนไปยังโรงเก็บของเล็กๆ ข้างบ้าน ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็เป็แค่เพิงสังกะสีเก่าๆ เท่านั้น
ข้างในมีเครื่องมือทำการเกษตรอยู่ไม่กี่ชิ้น จอบด้ามไม้ที่ดูเหมือนจะผ่านามาแล้ว พลั่วที่ขึ้นสนิมจนแทบมองไม่เห็นสีเดิม และเสียมอันเล็กๆ อีกหนึ่งอัน
"อืม... ดูท่าว่าเราคงต้องซื้อของเพิ่มนิดหน่อย" นางพึมพำกับตัวเอง
"เรา... เราไม่ค่อยมีเงินเหลือแล้วนะอาหรง" เว่ยหรานพูดเสียงอ่อย เขารู้สึกละอายใจที่ไม่สามารถหาเงินมาให้นางใช้จ่ายได้อย่างที่ควรจะเป็
เจาหรงหันกลับมายิ้มให้เขาอย่างเข้าใจ "ไม่เป็ไรหรอก เรามีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น" ก่อนจะถามเขาต่อ "ตอนนี้เรามีเงินเก็บอยู่เท่าไหร่หรือ"
เว่ยหรานเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วหยิบถุงผ้าใบเล็กๆ ที่ซ่อนไว้อย่างดีออกมา เขายื่นมันให้นางด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย เจาหรงรับมาแล้วเทเหรียญอีแปะทั้งหมดลงบนฝ่ามือ มีไม่ถึงหนึ่งร้อยอีแปะด้วยซ้ำ
นี่คือเงินทั้งหมดที่พวกเขามีเพื่อประทังชีวิตไปจนกว่าเว่ยหรานจะได้งานรับจ้างครั้งต่อไป
เจาหรงกำเหรียญทั้งหมดไว้ในมือแน่น ความรู้สึกกดดันถาโถมเข้ามาเล็กน้อย แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น นางเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้สามีอีกครั้ง "ไม่เป็ไร เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับเริ่มต้นแล้ว"
ความมั่นใจของนางส่งผลให้เว่ยหรานใจชื้นขึ้นมาบ้าง
"เอาล่ะ!" นางปรบมือหนึ่งครั้งเพื่อเรียกสมาธิ "สิ่งที่เราต้องซื้อคือเมล็ดพันธุ์ผัก หัวจอบอันใหม่ แล้วก็... ลูกไก่สักสี่ตัว" นางใช้นิ้วไล่นับ "เงินที่เหลือเราต้องเก็บไว้ซื้อข้าวสาร"
นางหันไปมองสามี "ท่านพี่พอจะรู้จักใครในหมู่บ้านที่พอจะให้คำแนะนำเื่การปลูกผักได้บ้างหรือไม่" นางรู้ดีว่าตัวเองมีความรู้แค่ผิวเผิน หากจะลงมือทำจริงจังก็ควรจะปรึกษาผู้มีประสบการณ์
เว่ยหรานนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ "มีสิ! ท่านลุงหลิวที่อยู่ท้ายหมู่บ้านน่ะ ท่านเป็ชาวสวนเก่าแก่ที่สุดในหมู่บ้านเราเลย แปลงผักของท่านลุงงามที่สุดแล้ว"
"ดีเลย! เช่นนั้น ตอนบ่ายเราไปหาท่านลุงหลิวกัน"
และแล้วใน่บ่ายของวันนั้น ครอบครัวเว่ยทั้งห้าชีวิตก็ยกโขยงกันไปยังบ้านของท่านลุงหลิวที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ระหว่างทางที่เดินผ่านบ้านของเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ก็มีสายตาหลายคู่มองมาอย่างแปลกใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นเจาหรงจูงมือลูกๆ ทั้งสามคนเดินนำหน้าสามีอย่างกระฉับกระเฉง
"นั่นแม่นางเจาหรงไม่ใช่รึ ปกติไม่เคยเห็นนางออกจากบ้านเลยนี่นา"
"นั่นสิ แถมวันนี้ยังดูแปลกๆ ไป ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ"
"สงสัยจะหายไข้แล้วกระมัง"
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นเป็ระยะๆ แต่เจาหรอกก็หาได้สนใจไม่ นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย จูงมือลูกๆ เดินต่อไปอย่างมั่นคง
บ้านของท่านลุงหลิวเป็บ้านไม้หลังเล็กๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยแปลงผักและสวนผลไม้ที่เขียวชอุ่ม แค่มองดูก็รู้ว่าเ้าของใส่ใจดูแลเป็อย่างดี ท่านลุงหลิวเป็ชายชราผมสีดอกเลาที่แม้จะอายุมากแล้วแต่ยังดูแข็งแรง เขากำลังรดน้ำผักอยู่ พอเห็นครอบครัวเว่ยเดินเข้ามาก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
"อ้าว! เ้าหนุ่ม มีธุระอันใดรึ หรือว่าจะมาของานทำ" ท่านลุงหลิวเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงใจดี
"คารวะท่านลุงหลิว" เว่ยหรานรีบประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม "วันนี้ข้าไม่ได้มาของานทำขอรับ แต่ภรรยาของข้า เอ่อ... นางมีเื่อยากจะปรึกษาท่านลุง"
ท่านลุงหลิวหรี่ตามองเจาหรงที่ยืนอยู่ข้างๆ เว่ยหราน เขาจำได้ว่านางเป็หญิงสาวที่เอาแต่เก็บตัวเงียบและมีท่าทีเ็าอยู่เสมอ แต่วันนี้นางกลับดูแตกต่างออกไป ดวงตาของนางสดใสและมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่ที่มุมปาก
"คารวะท่านลุงหลิวเ้าค่ะ" เจาหรงย่อกายคารวะอย่างงดงาม "ข้าชื่อเจาหรง เป็ภรรยาของพี่เว่ยหรานเ้าค่ะ"
"อืม ข้ารู้จักเ้าอยู่" ท่านลุงหลิวพยักหน้า "แล้วมีเื่อันใดจะปรึกษาคนแก่อย่างข้ากันเล่า"
เจาหรงจึงเริ่มอธิบายแผนการทำสวนผักและเลี้ยงไก่ของนางให้ท่านลุงหลิวฟังอย่างละเอียด นางเล่าถึงความคิดที่จะปลูกไว้กินเองและนำไปขาย ถามถึงชนิดของผักที่ควรปลูกในฤดูนี้ และถามถึงวิธีการเตรียมดินที่ถูกต้อง
ยิ่งฟัง ท่านลุงหลิวก็ยิ่งเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เคยคิดเลยว่าหญิงสาวที่ดูบอบบางเช่นนี้จะมีความคิดความอ่านที่หลักแหลมและเป็ขั้นเป็ตอนถึงเพียงนี้ นางไม่ได้ถามอย่างเลื่อนลอย แต่ถามในสิ่งที่แสดงให้เห็นว่านางได้ไตร่ตรองมาเป็อย่างดีแล้ว
"โฮ่ น่าสนใจๆ" ท่านลุงหลิวลูบเคราขาวๆ ของตัวเอง "นับว่าเป็ความคิดที่ดีมากแม่หนู ดินหลังบ้านของพวกเ้าน่ะดีนัก ข้าเคยเห็นอยู่ หากดูแลดีๆ ต้องได้ผลผลิตงามแน่นอน"
จากนั้นท่านลุงหลิวก็เริ่มให้คำแนะนำอย่างไม่ปิดบัง เขาบอกว่า่นี้อากาศกำลังดี ควรจะเริ่มจากการปลูกผักกาดเขียว กวางตุ้ง และผักบุ้ง เพราะเป็ผักที่โตไวและทนทาน เขาแนะนำร้านขายเมล็ดพันธุ์ราคาถูกในเมืองให้ และยังสอนเทคนิคการพรวนดินผสมปุ๋ยคอกง่ายๆ ให้อีกด้วย
"ส่วนเื่ไก่" เขากล่าวต่อ "ไปหาอาซาที่ตลาดสิ เขาขายลูกไก่พันธุ์ดี ราคาไม่แพง บอกว่าข้าแนะนำมา เดี๋ยวเขาลดให้"
เจาหรงตั้งใจฟังทุกถ้อยคำและจดจำไว้ในใจอย่างดี นางซักถามในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมด้วยความนอบน้อม จนท่านลุงหลิวถึงกับหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู
"ดูท่าเ้าจะเอาจริงเอาจังน่าดูเลยนะแม่หนู"
"เ้าค่ะท่านลุง" นางตอบอย่างหนักแน่น "ข้าตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด เพื่อครอบครัวของข้าเ้าค่ะ"
คำพูดของนางทำให้ทั้งท่านลุงหลิวและเว่ยหรานที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ประทับใจจนแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่
หลังจากได้ความรู้และคำแนะนำอันเป็ประโยชน์มาเต็มเปี่ยมแล้ว ครอบครัวเว่ยก็กล่าวขอบคุณและขอตัวลาท่านลุงหลิวกลับบ้าน ขากลับ เว่ยหรานมองภรรยาของตัวเองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและภาคภูมิใจ
"เ้า... เ้าเก่งมากเลยนะอาหรง" เขาพูดออกมาจากใจจริง "ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเ้ามีความคิดแบบนี้"
เจาหรงยิ้มเขินเล็กน้อย "ข้าก็เพิ่งจะคิดได้เหมือนกัน"
คืนนั้น หลังจากส่งเ้าสามแสบที่เหนื่อยจากการไปเที่ยวเล่นบ้านท่านลุงหลิวเข้านอนแล้ว สองสามีภรรยาก็ออกมานั่งที่แคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านเช่นเคย
ท้องฟ้ามืดสนิทประดับประดาไปด้วยดวงดาวนับล้านดวง อากาศเย็นสบายและเงียบสงบ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดขับกล่อมเป็เพื่อน
ทั้งสองคนนั่งมองที่ดินว่างเปล่าผืนนั้นด้วยกันเงียบๆ แต่ในตอนนี้มันไม่ได้ดูว่างเปล่าอีกต่อไป ในสายตาของพวกเขาทั้งคู่ มันคือผืนดินแห่งความหวัง คืออนาคตของครอบครัว
"พรุ่งนี้ ข้าจะเริ่มถางหญ้าและพลิกดินเลย" เว่ยหรานพูดขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เจาหรงหันไปมองใบหน้าด้านข้างของเขา แสงจันทร์อาบไล้ลงมาทำให้เห็นสันกรามที่คมคายและแววตาที่เด็ดเดี่ยว นางรู้สึกขอบคุณ์อีกครั้งที่มอบบุรุษผู้นี้ให้แก่นาง
นางค่อยๆ เลื่อนศีรษะไปซบลงบนไหล่กว้างของเขาอย่างแ่เบา
เว่ยหรานสะดุ้งเล็กน้อย เขานั่งตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อน หัวใจเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาข้างนอก
"ท่านพี่ ขอบคุณนะเ้าคะ" นางกระซิบเสียงเบา
"ขะ... ขอบคุณเื่อะไร" เขาถามเสียงสั่น
"ขอบคุณที่เชื่อใจข้า และพร้อมที่จะเหนื่อยไปกับข้า"
เว่ยหรานไม่ได้ตอบอะไร เขาทำเพียงแค่ค่อยๆ ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาโอบรอบไหล่ของนางอย่างเก้ๆ กังๆ ดึงร่างของนางให้เข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด ััได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของกันและกัน
เจาหรงหลับตาลง สูดกลิ่นกายของเขาที่ผสมกับกลิ่นดินจางๆ เข้าเต็มปอด...
นี่คือชีวิตที่นางเลือกแล้วในครั้งนี้ ชีวิตที่อาจจะเหนื่อยยาก แต่นางจะไม่มีวันยอมปล่อยให้หลุดมือไปอีกเป็อันขาด