อวี้ฉู่ซวนคือโอรสของฮองเฮาซ่ง ราชโอรสองค์ที่สองของฮ่องเต้ฉงเต๋อ
ราชโอรสองค์โตมีนามว่าอวี้ฉู่ฮ้วน เกิดจากสนมนางหนึ่งใน่ที่ฮ่องเต้ฉงเต๋อยังทรงเป็องค์รัชทายาท แต่ก็ป่วยและล่วงลับไปแล้ว
ทว่า เหตุผลจริงคือสิ่งใดกลับมิอาจรู้
อวี้ฉู่จาวเป็โอรสองค์ที่สาม รองลงไปยังมีองค์ชายน้อยใหญ่อีกมากมาย ทายาทของฮ่องเต้ฉงเต๋มีมากมายนัก
อวี้ฉู่จาวเป็องค์ชายเพียงองค์เดียวที่ได้รับอนุญาตให้สร้างตำหนักนอกวัง ตำแหน่งนับว่าสูงกว่าอวี้ฉู่ซวนไม่น้อย
อวี้ฉู่จาวี้เีต่อปากต่อคำ จึงเรียกด้วยความเคารพว่าเสด็จพี่ แต่คนอย่างอวี้ฉู่ซวนมิได้เป็คนมีสติสัมปชัญญะขนาดนั้น มีโอกาสยั่วโทสะเช่นนี้ย่อมไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ
“ได้ยินว่าชายาคนใหม่ตายอีกแล้วหรือ” ใบหน้าของอวี้ฉู่ซวนมักเป็เช่นนี้ ไม่เคยเปลี่ยนเลย
ในสายตาของอวี้ฉู่ซวน อวี้ฉู่จาวมีมารดาซึ่งเป็เพียงนางในวังที่เสียชีวิตไปนานแล้วจากอาการเจ็บป่วย อีกฝ่ายไม่มีญาติพี่น้องคอยสนับสนุน เป็คนที่เขาควรกังวลน้อยที่สุด
ทว่า คนที่สมควรตายอย่างอวี้ฉู่จาว เ้าองค์ชายเหลือขอคนนี้กลับถูกท่านอ๋องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในราชวงศ์อวี้ หรือเสด็จอาอวี้หนานถังคอยเลี้ยงดู นำเข้าไปฝึกในค่ายทหารั้แ่ยังเด็ก
แต่ก่อน อวี้ฉู่ซวนไม่คิดว่าคนอย่างอวี้ฉู่จาวจะทำอะไรได้ ก็เป็แค่คนบ้าบิ่น ใครจะไปรู้ว่าเขากลับสร้างชื่อจากาครั้งแรก กลายเป็ท่านอ๋องผู้มีชื่อเสียงขจร เป็เทพเ้าผู้ปกป้องตามคำเรียกขานของเหล่าผู้คนในราชวงศ์อวี้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อวี้ฉู่ซวนไม่พอใจเป็อย่างมาก เขาแสดงท่าทีรังเกียจชัดเจน ไม่ว่าใครต่างก็รับรู้เื่นี้เป็อย่างดี
“พ่ะย่ะค่ะ” อวี้ฉู่จาวี้เีจะสนทนากับอีกฝ่ายจึงตอบสั้นๆ ก่อนหมุนตัวเดินหนี
“นี่ หยุด!”
อวี้ฉู่จาวไม่สนใจแม้แต่น้อย ก้าวออกไปจากพระราชวังทันที
อวี้ฉู่ซวนที่ยืนอยู่ด้านหลังจ้องเขม็งแล้วกัดฟันกรอด “คิดว่าตนเองวิเศษนักหรือ เ้ารอก่อนเถอะอวี้ฉู่จาว!”
จากนั้น อวี้ฉู่ซวนเข้าไปในพระราชวังเฟิงอี้ ซึ่งเป็พระราชวังของฮองเฮา
.........
หลายวันมานี้ อวี้ฉู่จาวอาศัยอยู่ตำหนักภายในวังหลวง หลังจากวันไว้อาลัยเจ็ดวันของพระชายาผ่านไปถึงรู้สึกผ่อนคลาย
อันที่จริง งานศพของพระชายาไม่จำเป็ต้องให้ท่านอ๋องอยู่ แต่อย่างไรคนผู้นั้นก็ถือว่าเป็ชายาของเขาตามธรรมเนียม เขาจึงเป็คนที่สมควรอยู่มากที่สุด
ค่ำคืนหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งในจวนแม่ทัพฮวาเวยไม่อาจอดทนไหวได้อีกต่อไป
“เป็อย่างไร” นางเว่ยกับบุตรสาวหลินเสี่ยวฉีหันไปถามคนรับใช้ที่เพิ่งวิ่งเข้ามา
“จุดแล้วขอรับ” คนรับใช้พูดด้วยท่าทีเหนื่อยหอบ
“คนล่ะ ตายหรือไม่” นางเว่ยถามด้วยความร้อนใจ
“หากอยู่ข้างในคงไม่รอด ฟางเยอะขนาดนั้น ไฟก็โหมแรง ไม่มีทางหนีออกมาได้แน่นอนขอรับ” คนรับใช้ตอบด้วยความมั่นใจ
หลินเสี่ยวฉีเป็คนฉลาดรอบคอบ จึงเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “แล้วตกลงเ้านั่นอยู่ข้างในหรือไม่”
“เื่...เื่นั้นข้าไม่ได้สังเกตขอรับ มันมืดมาก ข้าเลยไม่กล้าทำอะไรเสียงดัง” คนรับใช้ตอบกลับอย่างรู้สึกผิด
“ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในนั้น แล้วจะเผาไปเพื่ออะไรล่ะ” หลินเสี่ยวฉีเริ่มมีน้ำเสียงไม่พอใจ
“พอแล้วเสี่ยวฉี เ้าเด็กนั่นต้องอยู่ข้างในแน่ อากาศหนาวเช่นนี้จะไปที่ไหนได้” นางเว่ยกล่าวแล้วหันไปพูดกับคนรับใช้ “พรุ่งนี้เ้าไปลอบดูเพื่อยืนยันอีกที เื่นี้ห้ามแพร่งพรายให้คนอื่นรู้เด็ดขาด เอ้านี่ ไปได้แล้ว”
นางเว่ยให้ถุงเงินกับคนรับใช้ไปหนึ่งถุงก่อนไล่ออกไป
“ท่านแม่ ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก” หลินเสี่ยวฉีรู้สึกกังวล
“ไม่มีอะไรหรอก หากท่านพ่อของเ้ากลับมา เราก็มีหลักฐาน”
เพราะจู่ๆ จ้านหวังมาถามข่าวคราวของหลินหร่าน ทั้งสองคนจึงเป็กังวลว่าหลินฮวาเหนียนอาจรู้อะไร อีกทั้งเวลาผ่านไปเจ็ดปีแล้ว หลินฮวาเหนียนอาจกลับมาเมืองหลวงก็เป็ได้ พวกเขาจึงคิดจะกำจัดหลินหร่านอีกครั้ง
ดังนั้น ค่ำคืนนี้จึงเป็โอกาสที่พวกเขาจะเผาทุกอย่างให้สิ้นซาก รอจนเหลียนฮวาเหนียนกลับมา ย่อมฟังและเชื่อที่พวกเขาพูดทั้งหมด
.........
อีกด้านหนึ่ง อวี้ฉู่จาวได้รับข่าวว่ามีคนเผากระท่อมของหลินหร่าน
เขาคิดอยู่แล้วว่าเื่ในจวนแม่ทัพฮวาเวยต้องไม่ธรรมดาแน่ เพราะอย่างนั้น หลังจากพาตัวหลินหร่านมาจึงได้ให้หน่วยสอดแนมไปสืบข่าวคราวของจวนกับกระท่อมฟาง
กลางดึกคืนหนึ่ง
อวี้ฉู่จาวยืนอยู่ในสวนดอกไม้ของตำหนัก ฝ่ามือลูบเสื้อคลุมของตนเองพร้อมฟังหน่วยสอดแนมที่กำลังพูดอยู่ด้านหลัง
บนใบหน้าของหน่วยสอดแนมสวมหน้ากากนกสีดำปิดครึ่งหน้า ร่างแทบจะกลืนไปกับความมืด
“ฮูหยินเว่ยของจวนแม่ทัพฮวาเวยให้คนจุดไฟเผากระท่อม เกรงว่า้าเอาชีวิตคุณชายน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
แววตาของอวี้ฉู่จาวเมื่อผสานเข้ากับคืนหนาวเหน็บในฤดูหนาวยิ่งดูเ็ามากขึ้น
“ข่าวลือในเมืองหลวงล่ะ สาเหตุที่เขาไปอยู่ในกระท่อมฟาง”
“คุณชายน้อยเป็บุตรชายของแม่ทัพฮวาเวย แต่หลังจากฮูหยินคนก่อนคลอดเขาออกมาก็เสียชีวิต จากนั้น…” แล้วหน่วยสอดแนมก็เล่าชีวิตอันน่าเศร้าของหลินหร่าน แต่หลินหร่านใน่เวลานั้นเป็ตอนที่หลินหร่านได้ข้ามภพมาพอดี
เวลานี้ อวี้ฉู่จาวอายุ 21 ปี ่ชีวิตในชาติก่อน เขาเคยเจอทั้งคนเป็คนตายมามากมาย การลอบสังหารและเื่น่ากลัวก็เช่นกัน
ทว่า ความสงสารจากเื่เล่าของหลินหร่านมาจากการที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน นั่นทำให้เขาตะลึงงัน
พอได้ฟังเื่ราวของหลินหร่าน คิ้วของเขาขมวดเป็ปมโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกสงสารเ้าของเื่เผยชัดเจนบนใบหน้า
หลังฟังเื่ราวทั้งหมด อวี้ฉู่จาวนิ่งไปพักหนึ่งก่อนออกคำสั่ง “ทิงเฟิง เจี้ยนอวี่”
“พ่ะย่ะค่ะ” นอกจากทิงเฟิงที่อวี้ฉู่จาวกำลังพูดคุยอยู่ด้วย ชายชุดดำที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนกลับปรากฏตัว
เขาสวมหน้ากากนก คาดว่าเป็เจี้ยนอวี่ที่ถูกกล่าวถึง
ทั้งคู่นั่งลงโดยคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“ส่งคนไปจับตาดูทุกคนในจวนแม่ทัพฮวาเวย อย่าให้คลาดสายตา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ไปได้”
ภายหลังหน่วยสอดแนมกลับไป อวี้ฉู่จาวยืนอยู่ในความมืด ไม่ขยับไปไหนอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
จากนั้นไม่นาน เกล็ดหิมะที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าก็ร่วงหล่นใส่ร่างของอวี้ฉู่จาว
อวี้ฉู่จาวยื่นมือออกไป มองเกล็ดหิมะที่ร่วงใส่มือของตนค่อยๆ ละลาย หลงเหลือไว้เพียงหยดน้ำ ทำให้เขาหวนนึกถึงชาติก่อน
่เวลาก่อนตาย น้ำตาหยดสุดท้ายของหลินหร่านเริ่มไหลรินออกมา
อวี้ฉู่จาวเดินมาขึ้นอาชาก่อนควบออกไปจากตำหนัก แม้จะดึกแล้ว แต่เขาอยากไปอยู่ข้างกายหลินหร่าน
คิดถึง คิดถึงมากเหลือเกิน
อวี้ฉู่จาวขี่หั่วเนี่ยกลับมาตำหนักชานเมืองของตน่กลางดึก
เวลานี้ หิมะกำลังตกหนัก
“ท่านอ๋อง ดึกมากแล้ว เหตุใดถึงไม่ประทับที่ตำหนักในวังพ่ะย่ะค่ะ” หยางซานเปิดประตูออกมาพบอวี้ฉู่จาวที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะจึงถามด้วยความเป็ห่วง เขาคิดว่าท่านอ๋องต้องมีธุระสำคัญแน่
อวี้ฉู่จาวไม่เอ่ยอะไร พอเดินเข้าประตูมาก็เดินตรงไปทางห้องนอน
หยางซานเห็นดังนั้นก็รู้ได้ทันที
ที่รีบร้อนเช่นนี้เพราะอยากพบใครบางคน
อวี้ฉู่จาวผลักประตูเข้าไปเบาๆ
“...ใคร ใครน่ะ”
ตอนแรกก็เกรงว่าจะรบกวนการนอน ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงสั่นระริกจากความกลัวของอีกคน
“ข้าเอง” อวี้ฉู่จาวรีบตอบ
“ท่านอ๋อง” หลังหลินหร่านรู้ว่าเป็เสียงของอวี้ฉู่จาว เขารีบเปิดม่านแล้วลงจากเตียง แม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้สวม
อวี้ฉู่จาวปิดประตู เดินผ่านฉากกั้นมาก็พบกับหลินหร่านที่ไม่ได้สวมแม้กระทั่งรองเท้ากำลังยืนอยู่
อีกฝ่ายสวมเพียงเสื้อสำหรับสวมชั้นในสีขาว กำลังยืนงงงวยอยู่หน้าประตูห้องนอนพลางทอดสายตามองเขาที่กำลังเดินเข้ามา
-----------------------------