ผู้าุโหลี่ อู๋เจ๋อ และคนอื่น ๆ ที่อยู่บนเรือรบอินทนิลทองคำต่างตะลึงงันไปชั่วขณะ ลูกศรนับไม่ถ้วนของพวกเขายังคงทำอะไรพวกเย่เฟิงไม่ได้ ซ้ำยังปล่อยให้สองคนนั้นหนีเข้าไปในูเา
พวกเย่เฟิงทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ไม่นานก็มาถึงเขตูเาที่อยู่หลังเมืองลอยฟ้า ซึ่งพวกเขาทะยานเข้าไปในนั้นอย่างไม่มีความลังเลใด ๆ ทันใดนั้นหมอกอันหนาแน่นเข้าห่อหุ้มร่างเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ ทั้งสองคนพบว่ายิ่งเข้าไปลึกมากเท่าใด หมอกภายในนี้ก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังดูเหมือนว่าจะมีพิษปะปนอยู่ด้วย ก่อให้เกิดความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว
เรือรบอินทนิลทองคำแล่นมาด้วยความเร็ว แต่วิสัยทัศน์ไม่ค่อยดีนัก เรือรบจึงเกือบชนูเา ทำให้อู๋เจ๋อและคนอื่น ๆ ต่างต้องใพร้อมสีหน้าซีดเผือด
“หมอกงั้นหรือ บัดซบ!”
ผู้าุโหลี่เผยสีหน้าไม่สู้ดี พลังจิตของเขามิอาจคุมเรือรบให้แล่นฝ่าหมอกไปได้ หากเดินเรือรบไปต่อ เกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ง่าย ๆ
แม้ว่าเรือรบอินทนิลทองคำจะเดินหน้าไปต่อไม่ได้ แต่ผู้าุโหลี่และคนอื่น ๆ ก็ตรึงลมปราณของพวกเย่เฟิงได้ ดังนั้นจึงสามารถยืนยันตำแหน่งของสองคนนั้นได้คร่าว ๆ
“พวกเราตามไป หมอกนี้มีพิษ ข้าไม่เชื่อว่าสองคนนี้จะไปได้ไกล!” ผู้าุโหลี่กล่าวเช่นนั้นกับอู๋เจ๋อ
“ขอรับ!” อู๋เจ๋อพยักหน้า จากนั้นผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มหนึ่งะโลงจากเรือรบอินทนิลทองคำ ก่อนจะไล่ตามพวกเย่เฟิงไป ขณะเดียวกันพวกเขายังใช้ยาถอนพิษเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากพิษที่อยู่ในหมอก นี่ก็คือข้อได้เปรียบในฐานะที่พวกเขาเป็ชาวเมืองลอยฟ้า
“ูเาแห่งนี้แปลกพิลึกมาก พวกเราต้องรีบหาที่ปลอดภัยโดยด่วน”
การเดินทางผ่านหมอกหนาทำให้เย่เฟิงรู้สึกเวียนหัว ในร่างกายคล้ายมีไอพิษไหลเวียน กระทั่งเริ่มส่งผลกระทบต่อความเร็วของเขา กงซุนหลิงเอ๋อร์ก็เช่นกัน ใบหน้านางเริ่มขาวซีดลงเล็กน้อย
ด้านคนตระกูลอู๋ พวกเขาไล่ตามเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ พลันได้ยินผู้าุโหลี่พูดขึ้นว่า “สองคนนี้จะต้องโดนพิษของหมอกนี้กัดกร่อนเป็แน่ ความเร็วจึงเริ่มลดลง พวกเราฉวยโอกาสนี้ไล่ตามไปเสีย!”
ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนี้ต่างก็เผยสีหน้าดูแคลน ไม่เข้าใจลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเมืองลอยฟ้าแต่ก็ยังกล้าบุกเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า เย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ถูกพวกเขาฆ่าตายก็สมควรแล้ว
ูเาแห่งนี้มีชื่อว่าเทือกเขาลอยฟ้า เป็ที่รกร้างเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่นอกเมืองลอยฟ้า ลือกันว่ามีพิษชนิดหนึ่งถูกกดอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขานี้ พิษที่ปล่อยออกมานั้นรวมเป็หนึ่งกับกระแสอากาศ จึงก่อเกิดเป็หมอกพิษแบบพิเศษ
ไม่มีผู้ใดเคยเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาลอยฟ้าจริง ๆ เนื่องจากถูกหมอกพิษกัดกร่อนเป็เวลานาน พืชพรรณที่เติบโตรอบ ๆ เทือกเขาลอยฟ้าจึงมีเอกลักษณ์ด้วยเช่นกัน พืชพรรณเหล่านี้มีความเป็พิษสูง แต่กลับเหมาะที่จะหลอมเป็เม็ดยาสำหรับถอนพิษ ดังนั้นผู้คนจึงพัฒนายาถอนพิษที่ต้านหมอกพิษได้ออกมาก็เพื่อที่จะเก็บพืชพรรณเหล่านี้ และมียาถอนพิษชนิดหนึ่งที่สามารถป้องกันพิษจากหมอกรอบ ๆ เทือกเขาลอยฟ้าได้
ทว่าพวกเย่เฟิงไร้ซึ่งยาถอนพิษ จึงถูกหมอกพิษกัดกร่อนอย่างหนัก หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ทั้งสองคนก็รู้สึกว่าไม่สามารถเดินไปข้างหน้าต่อได้
“ตาบ้า พวกเราควรทำอย่างไรดี?” กงซุนหลิงเอ๋อร์เอ่ยถามเย่เฟิง สีหน้านางในเวลานี้ไร้ซึ่งสีแดง กลับแทนที่ด้วยสีขาวซีด
“พวกเราเข้าไปหลบที่ถ้ำนั้นก่อน” เย่เฟิงกล่าวพร้อมชี้นิ้วไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงใจกลางยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งตอนนี้เย่เฟิงเองก็คิดอะไรไม่ออก หากไม่สามารถทำอะไรได้จริง ๆ เขาก็จำต้องใช้พลังของหอกมาร
“อืม!” กงซุนหลิงเอ๋อร์พยักหน้า บัดนี้นางเชื่อฟังเย่เฟิงทุกอย่าง
จากนั้นทั้งสองคนเข้าไปในข้างในถ้ำทันที ก่อนจะพบว่าภายในถ้ำแห่งนี้สูงประมาณสิบกว่าจั้ง แต่หมอกพิษภายในนี้กลับเบาบางกว่าข้างนอกมาก ทำให้ทั้งสองคนหายใจสะดวกขึ้น หากคนตระกูลอู๋ไล่ตามมาถึงที่นี่ก็เท่ากับว่าไม่มีทางหนีรอด ดังนั้นกงซุนหลิงเอ๋อร์จึงไขว้ขานั่งลงขัดสมาธิและเริ่มปรับลมหายใจ เพื่อเตรียมรับมือกับศึกใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น
ด้านเย่เฟิง เขาสำรวจลักษณะภูมิประเทศภายในถ้ำอย่างละเอียด ถึงอย่างนั้นก็ยังหาวิธีที่จะหนีจากคนตระกูลอู๋ไม่ได้
“ตาเฒ่า ข้าถูกผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มหนึ่งไล่ล่า ท่านมีวิธีอะไรบ้างไหม?” เย่เฟิงจำต้องขอความช่วยเหลือจากราชันมารชื่อเทียน อีกฝ่ายมีประสบการณ์มากมายจึงต้องมีวิธีอย่างแน่นอน
“เ้านี่ไปล่วงเกินใครมาอีกล่ะ? ข้ากำลังบ่มเพาะเส้นิญญา ไม่ว่างพอจะสะสางเื่ของเ้า” เสียงของราชันมารชื่อเทียนดังก้องในหัว
เวลานี้ราชันมารชื่อเทียนเป็เพียงเสี้ยวจิตสำนึก ไร้พลังเฉกเช่นผู้ฝึกยุทธ์ราชันมารในปีนั้น แต่เขาก็ยังอยากฟื้นฟูพลังในอดีต ดังนั้นหากมีเวลาเขาก็จะฟื้นฟูเส้นิญญาอย่างเงียบ ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสังขารใหม่ในภายภาคหน้า
“หากท่านไม่ช่วย เช่นนั้นข้าก็คงต้องใช้พลังจากหอกมารอีกครั้ง” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ได้เด็ดขาด!” ราชันมารชื่อเทียนได้ยินก็โพล่งออกมาทันทีทันใด ด้วยน้ำเสียงร้อนรน
คราวก่อนที่เย่เฟิงโดนจวนเซิ่งอ๋อง ตระกูลเฉิน และนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ไล่ล่า เย่เฟิงก็ใช้หอกมาร ราชันมารชื่อเทียนยังช่วยเย่เฟิงต้านการกัดกร่อนจากไอมาร จนเกือบทำให้ตัวเองแตกสลาย ครั้งนี้ราชันมารชื่อเทียนเพิ่งฟื้นฟูก็เริ่มบ่มเพาะเส้นิญญา จึงไม่อยากโดนไอมารกัดกร่อนอีกครั้ง
“ไอ้หนู หอกมารเพิ่งวิวัฒนาการ ด้วยตบะของเ้าในตอนนี้ห้ามใช้มันเด็ดขาด!” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนพวกนั้นน่าจะไล่ตามมาทันแล้ว หรือจะให้ข้ารอความตายอยู่ที่นี่?” เย่เฟิงกล่าวหน้าตาย มีเพียงอยู่ต่อหน้าราชันมารชื่อเทียนเขาจึงแสดงความไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้ เขาสองคนทำพันธะโลหิต หากเย่เฟิงตาย จิตสำนึกของราชันมารชื่อเทียนก็จะสูญสลายทันที ดังนั้นเย่เฟิงจึงมั่นใจว่าตาเฒ่าผู้นี้จะทนดูเขาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้
“ช่างเถอะ!”
เป็ไปตามคาด หลังจากได้ยินคำพูดของเย่เฟิง ราชันมารชื่อเทียนก็ถอนใจ ก่อนกล่าวว่า “ที่ตัวเ้ามีหินหยวนอยู่เท่าไร?”
เย่เฟิงตาเผยประกาย “มีแน่นอน ท่าน้าเท่าไร?”
ตอนอยู่ที่ถ้ำปลายยอดปีศาจพิภพในเขาเทียนเสวียน เย่เฟิงได้รับสมบัติมามากมาย รวมถึงหินหยวนระดับสูงหลายพันก้อน ดังนั้นจนถึงตอนนี้เย่เฟิงจึงไม่เป็กังวลเกี่ยวกับหินหยวน
นอกจากนี้เมื่อหลายวันก่อนที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน เย่เฟิงยังปลอมตัวเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นาาเพื่อหลอกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะสามคน กระทั่งหลอกล่อจนได้แหวนมิติของพวกเขามาทั้งหมด ในนั้นต้องมีสมบัติอยู่ไม่น้อย แต่เนื่องด้วยเดินทางมาที่เมืองลอยฟ้าอย่างเร่งรีบ เย่เฟิงจึงไม่ได้ตรวจสอบว่าข้างในแหวนมิติมีอะไรอยู่บ้าง
“หินหยวนระดับกลาง 81 ก้อน” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว
“ไม่มีปัญหา” เย่เฟิงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล จากนั้นเขานำหินหยวนระดับกลาง 81 ก้อนออกมาจากแหวนมิติ ซึ่งกงซุนหลิงเอ๋อร์ไม่เห็นการกระทำของเย่เฟิง เพราะนางกำลังอยู่ในขั้นตอนฟื้นฟูพลัง
“จัดเรียงหินหยวนพวกนี้ตามวิธีที่ข้าจะให้เ้า” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว นาทีต่อมาเย่เฟิงรับรู้ได้ว่ามีความทรงจำใหม่เข้ามาในหัว ในความทรงจำนี้คือวิธีสร้างค่ายกลลวดลายเทวะ หลังจากเย่เฟิงดูความทรงจำนี้คร่าว ๆ ก็ต้องใ ก่อนคิดในใจว่า “ตาเฒ่าสมแล้วที่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ราชันมาร”
ผู้ฝึกยุทธ์ราชันมารเป็การดำรงอยู่แบบใด แม้ตอนนี้จะเหลือเพียงเสี้ยวจิตสำนึก แต่ก็สามารถเล่นงานกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ได้อย่างง่ายดาย
“สิ่งที่ข้าสอนเ้าคือค่ายกลลวดลายเทวะ เ้าจงเปิดพลังจิตให้ถึงขีดสุดในตอนสร้างมัน ทำจิตใจให้ว่างเปล่า หาไม่แล้วเ้าจะล้มเหลวได้ง่าย ๆ เมื่อล้มเหลว ด้วยพลังจิตของเ้าในตอนนี้ก็มิอาจสร้างมันได้อีก ดังนั้นเ้าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ หากพร้อมแล้วก็เริ่มได้เลย!” ราชันมารชื่อเทียนกำชับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าจริงจังเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าการสร้างลวดลายเทวะมีระดับความยากที่สูงมาก โดยทั่วไปมักจะใช้เวลาหลายปีในการศึกษาจึงจะเกิดความชำนาญ บัดนี้เย่เฟิงได้ยินคำพูดของราชันมารชื่อเทียนก็ได้รู้ว่าข่าวลือนั่นเป็ความจริง ราชันมารชื่อเทียนส่งวิธีการสร้างลวดลายเทวะมาให้เย่เฟิง เย่เฟิงไม่เพียงแต่ต้องสร้างมัน แต่ยังมีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น สำหรับเย่เฟิงแล้วมันเป็เื่ที่ยากอย่างมาก
“ได้!” เย่เฟิงไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงพยักหน้าตอบตกลงทันที
จากนั้นพลังหยวนมารวมตัวที่ใจกลางฝ่ามือ ก่อนจะเข้าปกคลุมหินหยวนระดับกลาง 81 ก้อนที่วางอยู่บนพื้น ทันใดนั้นหินหยวนทั้งหมดค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น เคลื่อนไหวไปตามฝ่ามือของเย่เฟิง หินหยวนก้อนแล้วก้อนเล่าถูกวางในตำแหน่งตามลวดลายเทวะที่ประทับอยู่ในหัว ผ่านไปสิบลมหายใจ หินหยวนทุกก้อนก็ถูกวางในตำแหน่งเสร็จเรียบร้อยและยังแม่นยำอีกด้วย เพียงมองผิวเผิน เย่เฟิงก็มีท่าทีของผู้ชำนาญลวดลายเทวะ หากเขาไม่มีพลังิญญาอันแกร่งกล้า เขาคงทำเช่นนี้ไม่ได้ง่าย ๆ
“วางหินหยวนก็งั้น ๆ แหละ ต่อไปก็เริ่มสร้างลวดลายเทวะได้แล้ว” ราชันมารชื่อเทียนกล่าว ดูเหมือนจะไม่พอใจกับตำแหน่งของหินหยวนที่เย่เฟิงวาง ในชาติก่อน ราชันมารชื่อเทียนเป็อัจฉริยะผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดินใหญ่ ไม่เพียงแต่เป็ยอดฝีมือวิถีมาร แต่ยังเป็หมอชั้นอาจารย์ใหญ่ที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง ทั้งยังศึกษาค่ายกลลวดลายเทวะจนมีความชำนาญ กระทั่งสองสามค่ายกลที่เขาคุ้นเคยก็ถึงจุดที่เพียงคิดก็สร้างค่ายกลได้เลย
รอยหยักสีดำสองสามเส้นปรากฏบนหน้าผากของเย่เฟิง ในหัวเขาปรากฏภาพค่ายกลลวดลายเทวะขนาดใหญ่ จากนั้นเย่เฟิงปลดปล่อยพลังจิตในสภาวะสุดขีด พร้อมกับปลดปล่อยทักษะหล่อิญญา ทำให้พลังิญญาของเขาเพิ่มพูนขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ
จู่ ๆ พลังหยวนถ่ายเทไปที่ปลายนิ้ว พร้อมกับปรากฏแสงสีขาวกะพริบขึ้นราวกับมีพลังประหลาดโคจรอยู่บนนั้น จากนั้นเย่เฟิงวาดนิ้วนั้นไปที่พื้น
“วูบ!” ปลายนิ้วของเขาประหนึ่งคมมีดเล่มหนึ่ง มันทิ้งร่องรอยบนพื้นในพริบตาเดียว รอยนั้นยังมีแสงสว่างออกมาจาง ๆ จนในที่สุดรอยนั้นก็หลอมรวมเป็หนึ่งกับพื้นดิน
“น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่นึกว่าทำตามวิธีนี้จะสามารถสร้างลวดลายเช่นนี้ออกมาได้” เย่เฟิงคิดในใจ จากนั้นเขาวาดลวดลายต่อ โดยถ่ายเทพลังจิตสู่เส้นิญญา เพื่อพยายามทำให้ตัวเองไม่มีจิตใจว่อกแว่ก ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ลวดลายเทวะก็ออกมาเป็รูปร่าง
ต่อจากนั้นเย่เฟิงเริ่มสร้างรายละเอียดของลวดลายเทวะ ซึ่งเย่เฟิงไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว เขาวาดตามลวดลายเทวะที่ปรากฏอยู่ในหัวทุกขั้นตอน เมื่อเวลาผันผ่าน เย่เฟิงเริ่มวาดคล่องมือ ความเร็วจึงเพิ่มขึ้น ทำให้เขาจมปลักอยู่กับการวาดลวดลายเทวะจนลืมเวลา
ขณะนั้นที่นอกถ้ำ ผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลอู๋ได้ไล่ตามมาถึงแล้ว ผู้าุโหลี่พูดขึ้นว่า “ตามกลิ่นอายของสองคนนี้แล้ว พวกเขาน่าจะอยู่ในถ้ำนี้”
“ถ้ำนี้ดูอึมครึมมาก ไม่รู้ว่าข้างในจะมีกับดักอะไรหรือไม่?” ผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลฉู่คนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าหวาดระแวง
“ข้าว่าเ้าคิดมากไปเอง สองคนนี้เพิ่งหนีมาที่ถ้ำนี้ แล้วจะวางกับดักอะไรได้?” อู๋เจ๋อกล่าวขณะมองผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลฉู่คนนั้นด้วยสีหน้าดูแคลน
จากนั้นอู๋เจ๋อะโเสียงดังขึ้นว่า “ไอ้หนู พวกข้ารู้ว่าพวกเ้าสองคนซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ รีบออกมาให้จับเสียโดยดี!”
ทว่ากลับไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใด ๆ เพราะเย่เฟิงกำลังสร้างลวดลายเทวะ มีหรือจะไปสนใจอู๋เจ๋อ แต่กงซุนหลิงเอ๋อร์กลับตื่นขึ้น เมื่อเห็นเย่เฟิงวาดนิ้วไปมาที่พื้นไม่หยุด นางก็ต้องใ
“เ้าหมอนี่กำลังทำอะไรน่ะ?”
กงซุนหลิงเอ๋อร์มีความรู้กว้างขวางก็จริง ทั้งยังรู้จักค่ายกลลวดลายเทวะ แต่ไม่ว่านางจะคิดอย่างไรก็หาจุดเชื่อมโยงระหว่างเย่เฟิงกับค่ายกลลวดลายเทวะไม่ได้
