หลังจากกินอาหารเช้ากันอย่างเร่งรีบแล้ว เหลียงซื่อก็สั่งให้ต้ายาและเอ้อร์ยาออกไปหาหญ้าหมูอีกครั้ง ส่วนนางเองก็ยกตะกร้าหญ้าหมูที่สองหลานสาวเก็บมาเมื่อเช้าตรู่ไปยังลานหลังบ้านเพื่อสับให้ละเอียด จากนั้นจึงก่อไฟเพื่อต้มอาหารหมู
อันซิ่วเอ๋อร์กลับเข้ามาในห้องของตน แล้วเริ่มลงมือทำงานเย็บปักถักร้อย
บนสะดึงปักผ้าของนางมีผ้าเช็ดหน้าที่ยังปักไม่เสร็จอยู่ผืนหนึ่ง เป็ลายดอกบัวคู่ที่ดูงดงามราวกับมีชีวิต แม้จะเป็เพียงหญิงชาวนาธรรมดา แต่อันซิ่วเอ๋อร์ก็มีฝีมือปักผ้าที่ประณีตยิ่งนัก ผ้าเช็ดหน้าที่นางปักนั้นงดงาม เป็ที่นิยมในตัวเมืองทีเดียว ทว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ เดิมทีนางตั้งใจจะปักให้กู้หลินหลาง
อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงจดจำภาพในความฝันนั้นได้ดี ณ ป่าท้อที่ดอกไม้เบ่งบานสะพรั่งอยู่ด้านหลังหมู่บ้าน นางหน้าแดงก่ำ ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ให้แก่กู้หลินหลาง กู้หลินหลางเอื้อมมือมารับ พลางจับมือนางไว้แน่น ทั้งสองกอดกันอย่างแนบชิด ภายใต้วาจาหวานล้ำของเขา นางก็เคลิบเคลิ้ม ตกลงใจที่จะหนีตามเขาไป
นางยอมรับว่ากู้หลินหลางนั้นรูปงาม ผิดแผกจากชายหนุ่มในหมู่บ้านโดยสิ้นเชิง เขาผู้นั้นมักสวมเสื้อคลุมยาว มีท่วงท่าสง่างาม สตรีในหมู่บ้านต่างก็พากันชื่นชอบเขา
แต่ความงามนั้นกินแทนข้าวไม่ได้ กู้หลินหลางรูปงามก็จริง ทว่ากลับไร้หัวใจ ทอดทิ้งนางไปอย่างไม่ไยดี ส่วนนางเองก็รูปงาม ถึงกระนั้นก็มิใช่ว่าถูกบุรุษม่ายผู้หนึ่งย่ำยีจนแหลกสลายหรือ
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็ยื่นมือออกไป ปลดผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นออกจากสะดึง มองมันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขึงมันกลับเข้าไปดังเดิม แล้วตั้งหน้าตั้งตาใช้เข็มและด้ายปักต่อไป
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันตลาดนัด หากนางสามารถปักผ้าเช็ดหน้าเพิ่มได้อีกสักหลายผืน เมื่อถึงเวลานำไปขายในเมือง ก็คงพอจะได้เงินมาบ้าง
ท่านพ่อและท่านแม่ลำบากตรากตรำเพื่อนางมามาก ั้แ่เล็กจนโตก็ทะนุถนอมนางไว้ในอุ้งมือ หากนางสามารถเก็บเงินได้สักก้อน ก่อนที่จะออกเรือนไป ซื้อกล้องยาสูบใหม่ให้ท่านพ่อสักอัน ซื้อปิ่นปักผมเรียบๆ ให้ท่านแม่สักอัน ก็คงจะดีไม่น้อย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มือของอันซิ่วเอ๋อร์ก็ยิ่งขยับเข็มได้เร็วขึ้น
เมืองลั่วเหอจะจัดตลาดนัดทุกๆ ห้าวัน คือทุกวันที่สองและวันที่เจ็ดของเดือน อันซิ่วเอ๋อร์เร่งปักผ้าเช็ดหน้าทั้งวันทั้งคืน แม้ดวงตาจะแดงช้ำไปหมด แต่ความพยายามก็ไม่สูญเปล่า ในที่สุดนางก็ปักผ้าเช็ดหน้าได้หกผืน กับทำพู่ห้อยได้อีกจำนวนหนึ่งทันก่อนวันตลาดนัด
นางได้บอกกล่าวกับเหลียงซื่อไว้ั้แ่เมื่อเย็นวานแล้วว่าวันนี้จะไปตลาดนัด นี่คงเป็ครั้งสุดท้ายที่นางจะได้ไปตลาดนัดในฐานะหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน
เช้าวันรุ่งขึ้น นางตื่นแต่เช้าตรู่ ล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็คุ้ยมันเทศเผาออกมาจากกองเถ้าในเตาไฟ นี่คือมันเทศที่นางฝังไว้ในเตาั้แ่เมื่อคืนตอนหุงข้าว เช้านี้จึงยังอุ่นๆ อยู่ นางรีบปอกเปลือกแล้วกินรองท้อง ดื่มน้ำตามไปอีกอึกใหญ่ จากนั้นก็คว้าตะกร้าเตรียมตัวเดินทางเข้าเมือง
จากหมู่บ้านไปยังตัวเมืองนั้นมีระยะทางหลายลี้ หากเดินเท้า ด้วยฝีเท้าของอันซิ่วเอ๋อร์ จะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามเต็มๆ นางจึงต้องรีบออกแต่เช้าตรู่ เพราะกลัวว่าจะไปถึงสาย แล้วจะไม่มีที่ให้วางแผงขายของ
ระหว่างทาง นางพบเจอกับหญิงชาวบ้านหลายคน พอพวกนางเห็นอันซิ่วเอ๋อร์ ก็พากันเอ่ยปากหยอกล้อ "อ้าว ซิ่วเอ๋อร์ จะเข้าเมืองไปตลาดนัดคนเดียวรึ?"
"เ้าค่ะ ท่านป้าทั้งหลาย สวัสดีเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มทักทายบรรดาป้าๆ ที่คุ้นเคยกันในหมู่บ้าน
พวกนางกลับหัวเราะเย้าแหย่ "จางตาบอดนั่นมิใช่มีเรือหรอกรึ? เ้านั่งเรือของเขาไปไม่เร็วกว่ารึไง? ไยต้องเดินให้เมื่อยด้วยเล่า?"
"ท่านป้าอย่าล้อข้าเล่นเลยเ้าค่ะ" พอได้ยินคำพูดเ่าั้ อันซิ่วเอ๋อร์ก็หน้าแดงก่ำ ก้มหน้าลง รีบเดินเร็วขึ้นอีกสองสามก้าว ปลีกตัวมุ่งหน้าไปเพียงลำพัง
"ดูสิๆ แม่หนูนี่ อายจนหน้าแดงเชียว"
"น่าเสียดายจริงๆ นะ ซิ่วเอ๋อร์รูปงามขนาดนี้ กลับต้องไปแต่งกับคนเช่นนั้น"
แม้คำพูดของพวกท่านป้าจะยังดังแว่วไล่หลังมา ในใจของอันซิ่วเอ๋อร์กลับสงบนิ่ง จางเจิ้นอันเป็คนเช่นไรกัน?
ถึงแม้อายุจะมากไปหน่อย รูปร่างหน้าตาจะดูดุดันไปสักนิด แต่ด้านอื่นๆ ก็อาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พวกนางว่า อย่างน้อยในยามที่ครอบครัวลำบาก เขาก็ยินดีนำเงินทองมาสู่ขอนาง นั่นเท่ากับเป็การช่วยชีวิตท่านพ่อของนางไว้ เขาคือผู้มีพระคุณของนาง
ดวงตะวันค่อยๆ โผล่พ้นทิวเขา แสงสีทองสาดส่องลงมาบนเส้นทางราวกับปูลาดด้วยพรมทองคำ อันซิ่วเอ๋อร์ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วก้าวเดินต่อไป
นางไม่ค่อยได้เดินทางไกลเช่นนี้บ่อยนัก เมื่อมาถึงในเมือง ก็รู้สึกเพียงว่าขาทั้งสองข้างปวดเมื่อยไปหมด แต่ก็ไม่มีเวลามาใส่ใจ รีบเดินตรงไปยังใจกลางตลาดนัด บริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่านที่สุด แล้วหาพื้นที่ว่างเหมาะๆ แห่งหนึ่งเพื่อนั่งลง
ก่อนหน้านี้นางได้ขอให้อันเถี่ยมู่ พี่ชายรอง ช่วยทำเก้าอี้เล็กๆ แบบพับได้ให้ตัวหนึ่ง เวลานี้จึงกางมันออกเพื่อนั่งลงริมทาง ตะกร้าใบเล็กข้างตัวก็คือแผงลอยของนาง นางหยิบพู่ห้อยออกมาสองสามอันผูกประดับไว้ที่หูหิ้วตะกร้า จากนั้นก็หยิบไม้หนีบอันเล็กๆ มาหนีบผ้าเช็ดหน้ากางโชว์ไว้
ในตลาดนัดคึกคักยิ่งนัก เพียงไม่นานก็มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาสอบถาม ของที่อันซิ่วเอ๋อร์ทำนั้นงดงาม ฝีมือประณีต ทั้งยังตั้งราคาไม่แพง ไม่นานนักนางก็ขายผ้าเช็ดหน้าไปได้สองผืน พู่ห้อยอีกห้าอัน ได้เงินมารวมยี่สิบห้าอีแปะ พอกำถุงเงินเล็กๆ ไว้ในมือ อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกอิ่มใจ คิดว่าหลายวันที่ผ่านมา ความเหนื่อยยากของตนไม่ได้สูญเปล่า
จากนั้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็นั่งลงถักพู่ห้อยไปพลาง รอเรียกลูกค้าไปพลาง
นางมีฝีมือคล่องแคล่ว เพียงขยับปลายนิ้วทั้งสิบ พู่ห้อยอันงดงามก็ค่อยๆ เป็รูปเป็ร่างขึ้นในมือ คราวนี้นางกำลังใช้ด้ายไหมสีสดถักเป็รูปผีเสื้อตัวน้อย แม้แต่คุณยายที่นั่งขายไข่อยู่แผงข้างๆ ก็ยังอดส่งเสียงชื่นชมออกมาไม่ได้ "แม่หนูเอ๊ย เ้าฝีมือดีจริงๆ"
"ขอบคุณท่านยายที่ชมเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์เม้มปากยิ้ม แล้วก้มหน้าถักต่อไป
เพราะนางมีฝีมือดี ทั้งยังนั่งทำโชว์ให้เห็นกันจะจะ ตรงนั้น ไม่นานก็ดึงดูดให้หญิงสาวหลายคนมายืนมุงดูที่แผงเล็กๆ ของนาง เพียงครู่เดียว สินค้าของนางก็ขายไปเกือบหมด
เมื่อเห็นว่าตะวันคล้อยบ่ายมากแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์จึงตั้งใจจะเก็บร้าน พอลุกขึ้นยืนเตรียมจะเก็บของ ก็มีบุรุษผู้หนึ่งท่าทางเหมือนบัณฑิตเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านของนาง อันซิ่วเอ๋อร์รีบทักทายตามมารยาท "ท่านบัณฑิต สวัสดีเ้าค่ะ เชิญเลือกชมก่อนได้นะเ้าคะ"
เดิมทีบุรุษผู้นี้เพียง้าแวะซื้อพู่ห้อยสักอันเพื่อนำไปผูกประดับกับจี้หยก แต่พอได้ยินเสียงอันไพเราะ เขาก็มิอาจห้ามใจไม่ให้เงยหน้าขึ้นมองอันซิ่วเอ๋อร์ได้ เพียงชั่วพริบตา ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง สตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้มีริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวเรียงสวย ใบหน้าแย้มรอยยิ้ม งดงามราวกับนางในภาพวาด
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกขุ่นเคืองกับสายตาที่เสียมารยาทเช่นนั้น จึงกระแอมเบาๆ บุรุษผู้นั้นจึงได้สติ รีบถามออกไปอย่างลุกลนว่า "เอ่อ...แม่นาง ขอถามว่าสิ่งนี้ราคาเท่าใด?"
"พู่ห้อยอันละหนึ่งอีแปะเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูไม่เป็ธรรมชาติของบุรุษผู้นี้ ในใจก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงหุบรอยยิ้มลง
"เช่นนั้นข้าขอซื้อสักอัน" บัณฑิตหนุ่มยื่นเงินหนึ่งอีแปะส่งให้ สีหน้าแดงก่ำ อันซิ่วเอ๋อร์มิได้ยื่นมือไปรับ เพียงบอกให้เขาวางเงินลงในตะกร้า แล้วเลือกพู่ห้อยได้ตามใจชอบ
บุรุษผู้นั้นคงตระหนักได้ถึงการเสียมารยาทของตน จึงรีบหยิบพู่ห้อยอันหนึ่งแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว อันซิ่วเอ๋อร์เพิ่งจะถอนหายใจออกมาได้เฮือกหนึ่ง กลับคาดไม่ถึงว่าจะมีบุรุษหนุ่มท่าทางนักเลงหัวไม้คนหนึ่ง พร้อมด้วยบ่าวรับใช้ เดินผ่านมาพอดี เสียงหยาบกระด้างที่แฝงแววดูถูกดังขึ้นข้างหูของนาง
"โอ้ แม่นาง ออกมาขายของคนเดียวรึ? ให้ข้าดูหน่อยสิว่าขายอะไรบ้าง..." กล่าวพลางยื่นหน้าเข้ามามองในตะกร้าของอันซิ่วเอ๋อร์ "อ้อ ขายพู่ห้อยนี่เองสินะ?"
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็วันซวยของนางเสียจริง เหตุใดแค่ออกมาขายของในตลาดนัด กลับต้องมาเจอเื่น่ารำคาญเช่นนี้ด้วย
โลกนี้หาความสงบสุขได้ยาก แต่ยุคสมัยนี้นับว่าค่อนข้างเปิดกว้างกับสตรีอยู่บ้าง ในชนบท การที่ผู้หญิงหรือเด็กสาวออกมาตั้งแผงขายของถือเป็เื่ปกติธรรมดามาก เพียงแต่วันนี้นางโชคไม่ดี ต้องมาเจอกับอันธพาลผู้นี้เข้า
เมื่อเห็นว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้แม้ท่าทางเหมือนนักเลง แต่ร่างกายกลับดูบอบบาง ผิวพรรณขาวซีด ยามพูดจา ดวงตาเรียวเหมือนดอกท้อก็หรี่ลงเล็กน้อย แฝงไว้ด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยาม มองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่คนดี อันซิ่วเอ๋อร์จึงรีบเก็บข้าวของของตน กล่าวว่า "ข้าไม่ขายแล้ว"
"อ้าว ไหงคนอื่นซื้อเ้าขาย แต่พอข้าจะซื้อ เ้ากลับไม่ขายซะงั้น?" บุรุษหนุ่มผู้นี้กลับไม่ยอมเลิกรา ก้าวเข้ามาขวางทางไม่ให้อันซิ่วเอ๋อร์ไป
"ข้าก็แค่ไม่อยากขายให้เ้า มีปัญหาอะไรรึ?" อันซิ่วเอ๋อร์ถอยหลังไปสองก้าวอย่างระวังตัว
บ่าวรับใช้ที่ติดตามบุรุษหนุ่มผู้นี้มายืนนิ่งอยู่ด้านหลังของอันซิ่วเอ๋อร์ ปิดทางหนีของนางไว้
"ข้าอุตส่าห์ให้เกียรติเ้า เ้ากลับทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!" เห็นได้ชัดว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้คาดไม่ถึงว่าอันซิ่วเอ๋อร์จะกล้าต่อปากต่อคำกับตน เขาเดินเข้าไปใกล้อีกสองก้าว จ้องเขม็งมาที่อันซิ่วเอ๋อร์ กล่าวว่า "วันนี้หากเ้าไม่พูดให้รู้เื่ ก็อย่าหวังว่าจะได้ก้าวขาออกไปจากที่นี่!"
คนผู้นี้ดูอย่างไรก็มิใช่คนดี อันซิ่วเอ๋อร์รีบครุ่นคิดหาทางรับมือในใจ พอเห็นสีหน้าหื่นกระหายของเขากำลังยื่นมือออกมาหมายจะลวนลาม ในใจนางก็พลันเดือดขึ้นมา ทันใดนั้นก็ไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง ยกเท้าขึ้นถีบเข้าไปที่หว่างขาของบุรุษผู้นั้นอย่างแรงเต็มเหนี่ยว...
"อ๊าก..." มือของบุรุษหนุ่มที่ยื่นออกมาหมายจะจับตัวอันซิ่วเอ๋อร์ยังคงค้างอยู่กลางอากาศ เขาไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อถูกเตะเข้าที่จุดสำคัญ ก็ถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความเ็ป ตัวงอเป็กุ้ง พ่อค้าแม่ขายที่อยู่รอบๆ เมื่อเห็นสภาพนั้น ก็พากันยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก บุรุษหนุ่มยิ่งโกรธจัด ะโใส่คนรอบข้างว่า "หัวเราะอะไรกัน!" จากนั้นก็หันไปตวาดใส่บ่าวรับใช้ "ยังยืนบื้ออยู่ทำไม! รีบตามไปจับมันมา!"
บ่าวรับใช้รีบวิ่งตามอันซิ่วเอ๋อร์ไป บุรุษหนุ่มนักเลงผู้นั้นก็กัดฟันวิ่งกุมเป้าตามไปติดๆ อันซิ่วเอ๋อร์วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ในตลาดมีผู้คนมากมาย ทำให้นางวิ่งได้ไม่เร็วนัก พอหันกลับไปมอง ก็เห็นบุรุษนักเลงผู้นั้นยิ้มแสยะอย่างเ็า ส่งสายตามาประหนึ่งว่านางตายแน่
ในใจของอันซิ่วเอ๋อร์หวาดหวั่น รีบวิ่งต่อไป ทันใดนั้นก็ชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างของใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
"หลีกทางหน่อย!" อันซิ่วเอ๋อร์ร้องบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน กล่าวพลางจะเบี่ยงตัวผ่านคนผู้นี้ไป แต่กลับคาดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
นางจึงเงยหน้าขึ้นมอง แต่กลับสบเข้ากับดวงตาคมกริบข้างหนึ่งของเขาที่จ้องมองมาจากใต้หมวกสาน ชายผู้นี้มีผ้าสีดำคาดปิดตาอีกข้างไว้ ในใจของอันซิ่วเอ๋อร์ก็พลันสั่นไหว รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา รีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
"ฮ่าๆ จับได้แล้ว นังตัวดี! กล้าเตะข้าเรอะ เดี๋ยวข้าจะสั่งสอนให้รู้สำนึก!" พอเห็นว่าอันซิ่วเอ๋อร์จนมุมแล้ว นักเลงหนุ่มก็ยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
"ข้ามาขายของที่นี่เ้าค่ะ ไม่นึกว่าจะมาเจอคนพาลเข้า" อันซิ่วเอ๋อร์รีบกระซิบอธิบายกับชายที่นางเพิ่งชน จากนั้นก็รีบหลบไปอยู่ด้านหลังของเขา ซึ่งก็คือจางเจิ้นอันนั่นเอง
ปกติแล้วจางเจิ้นอันมิใช่คนชอบยุ่งเื่ของผู้อื่น แต่พอได้ยินคำอธิบายของอันซิ่วเอ๋อร์ และเห็นท่าทางหวาดกลัวของนาง ในใจก็รู้สึกประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววงุนงง เขาเพียงคิดว่าสตรีผู้นี้คง้าหาที่หลบภัย แต่กลับมาหลบอยู่ด้านหลังคนที่มีใบหน้าดุดันน่ากลัวอย่างเขา หรือว่านางไม่กลัวว่าเขาเองก็อาจจะเป็คนร้ายเหมือนกัน?
เมื่อเห็นอันซิ่วเอ๋อร์หลบอยู่ด้านหลังของจางเจิ้นอัน นักเลงหนุ่มก็โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ะโเสียงดังใส่เขาว่า "เ้าเป็ใครมายุ่งอะไรด้วย รู้ไหมว่าข้าเป็ใคร? ถ้ารู้ดีก็รีบส่งนังนั่นออกมา!"
จางเจิ้นอันยังคงลังเลอยู่ว่าจะช่วยสตรีผู้นี้ดีหรือไม่ ทว่ามือของเขากลับไวกว่าความคิด ในขณะที่นักเลงหนุ่มผู้นั้นกำลังชี้หน้าด่าทอเขาอย่างโอหัง เขาก็คว้าข้อมือของมันมาบิดหักเสียงดังกร๊อบ!
"อ๊าก!"
เสียงร้องโหยหวนของนักเลงหนุ่มผู้นั้นดังลั่นราวกับเสียงหมูถูกเชือด หลังจากที่จางเจิ้นอันปล่อยมือ นักเลงหนุ่มก็ทิ้งคำพูดข่มขู่ไว้สองสามประโยค แต่ท่าทางก็ดูเหมือนจะกลัวว่าจางเจิ้นอันจะเอาเื่ต่อ จึงรีบพยุงร่างขึ้น พยักหน้าให้บ่าวรับใช้รีบเผ่นออกจากที่แห่งนั้นไปอย่างรวดเร็ว
