“ดูสิ นี่เป็ดินสอถ่าน” เจินจูเห็นความประหลาดใจ จึงหยิบดินสอถ่านห่อด้วยกระดาษน้ำมันหนึ่งแท่งจากข้างกายขึ้น
“ใช้อย่างไรกัน?” กู้ฉีรับมาพิจารณาขึ้นลง ท่าทางการจับดินสอถ่านของเขาถือตามการจับพู่กัน
“ฮ่าๆ” เห็นท่าทางการจับดินสอถ่านของเขาแล้ว เจินจูอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ “ไม่ใช่แบบนั้น ท่านดู ต้องจับแบบนี้”
นางหยิบเอาดินสอถ่านมาแล้วเขียน ’ต้นหงเฟิง’ สามพยางค์บนกระดาษให้ดูเป็ตัวอย่าง
กู้ฉีมองลายมือบนกระดาษขาวที่พอถูไถนับได้ว่าประณีตเรียบร้อย อดหลุดคำกล่าวออกมาไม่ได้ “วันหลังข้าจะนำแบบฝึกหัดจานฮวาเสียวข่าย [1] มาให้เ้าหนึ่งเล่ม”
“…”
ไม่ใช่ว่ากำลังกล่าวถึงวิธีการใช้ดินสอถ่านอยู่หรือ ทำไมกล่าวถึงลายมือตัวอักษรไปได้ เจินจูชำเลืองมองตัวอักษรของตนเองแวบหนึ่ง แย่เพียงนั้นเลยจริงหรือ?
พานเสวี่ยหลันอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบมาตลอด ผู้าุโหลิงพาหลิงซีไปทำงานยังสถานที่ก่อสร้างด้วย นางตามพวกเขาไปไม่ได้ ผู้าุโหลิงจึงให้นางติดตามคุณหนูสกุลหู ช่วยทำงานที่พอสามารถจะช่วยทำได้
พานเสวี่ยหลันก็รู้ตัวอักษรเช่นกัน ตอนที่ท่านปู่นางยังอยู่บนโลกนี้ ขอแค่มีเวลาเพียงเล็กน้อยก็จะหยิบไม้ตะบองแล้วสอนนางให้ฝึกขีดเขียนและท่องหนังสืออยู่บนพื้น
สถานที่ที่นางฝึกฝนได้มากที่สุด เป็บนพื้นดินทราย แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยฝึกเครื่องเขียนบนกระดาษจริงๆ เลย ดังนั้นตอนที่ลายมือของคุณหนูสกุลหูถูกสบประมาทจากคุณชายสกุลกู้ผู้นั้น ใบหน้าของนางจึงแดงขึ้นมา
ลายมือของนางอาจแย่กว่าคุณหนูสกุลหูก็เป็ได้
ท่าทางการจับดินสอถ่านของตนเองทำให้กู้ฉีขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เขาฝึกตัวอักษรบนกระดาษขาวว่างเปล่าสองสามตัว ลายมือชัดเจนมากแค่ใช้ไม่ชินอยู่บ้าง
เขาถือดินสอถ่านคิดพิจารณาขึ้นลง “น้องสาวเจินจู ดินสอถ่านนี่เป็วัสดุไม้ที่นำมาเผาใช่ไหม?”
“อื้ม ใช่แล้ว” เจินจูตอบอย่างตรงไปตรงมา
ดินสอถ่านเป็กิ่งหลิวที่ทำการเผาขึ้น เมื่อสองวันก่อนนางขุดข้อมูลออกมาจากความทรงจำได้อย่างกะทันหัน
นางมีเพื่อนนักเรียนสมัยมัธยมปลายคนหนึ่ง สอบเข้าวิทยาลัยศิลปกรรมศาสตร์ จำได้ว่านางเคยพูดคุยกับเพื่อนสาวคนนั้น มู่ท่านเถียว [2] เป็กิ่งที่ทำการเผาขึ้นจากต้นหลิว นางยังเคยกล่าวหยอกอยู่เลยว่าหากไม่มีเงินซื้อดินสอก็ไปหักกิ่งหลิวสักสองสามกิ่งมาเผาก็ได้
นางจึงหักกิ่งหลิวหนึ่งกิ่งบนต้นไม้ของตนเองมาลองทำดู คิดไม่ถึงเลยว่าจะสำเร็จได้ทันที
ใช้กระดาษน้ำมันม้วนปิดปลายหนึ่งด้านไว้ ส่วนอีกด้านหนึ่งจะใช้เขียนตัวอักษรหรือวาดรูปล้วนสะดวกสบายเป็อย่างมาก
นางเอาไปเผยแพร่ให้ผู้าุโหลิงทันที เขาอยู่ในสถานที่ก่อสร้างชี้บัญชาการวางแผนไปทั่ว เวลาต้องขีดเขียนมีมาก เครื่องเขียนและหมึกดั้งเดิมไม่เหมาะให้พกติดกาย ดินสอถ่านจึงเหมาะเจาะพอดี
หลิงเสี่ยนปรับให้คล่องอยู่สองวัน จึงชื่นชอบประโยชน์ใช้สอยที่สะดวกสบายของดินสอถ่านเป็อย่างมาก
“คุณชายขอรับ!”
เฉินเผิงเฟยเดินตรงเข้ามาจากนอกประตูลาน
เขายืนนิ่งอยู่ข้างกายกู้ฉี กล่าวประโยคยาวอยู่ข้างหู
กู้ฉีที่สีหน้าสงบนิ่งมาตลอดพลันเปลี่ยนสีหน้าไปทันที
เจินจูมองไปอย่างประหลาดใจ นางหูดีจนเกินไปจริงๆ คำที่เฉินเผิงเฟยกล่าว นางล้วนได้ยินทั้งหมด
คุณหนูลูกพี่ลูกน้องมา? คุณหนูลูกพี่ลูกน้องคนไหน? เป็ลูกพี่หรือลูกน้องของกู้ฉี?
สีหน้ากู้ฉีเปลี่ยนไปจนเข้มลึก ทันทีหลังจากนั้นหยัดกายลุกขึ้นยืน กำลังคิดจะเอ่ยอำลาออกมา
นอกประตูก็แว่วเสียงจ้อกแจ้กจอแจขึ้นพักหนึ่ง
หลิ่วฉางผิงนำทางพี่น้องสกุลโหยวที่ถูกห้อมล้อมด้วยคนรับใช้และหญิงชราเข้ามาในประตูลานบ้าน
ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมชมอยู่ข้างหลังพวกเขาในที่ไม่ไกลออกไป
โหยวเสวี่ยชิงใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนผ้าไหมปิดริมฝีปากของนาง และเดินตามหลังเมอเมอหวังด้วยความรังเกียจ
น้องสี่ผู้นี้ช่างเอาแต่ใจตัวเองและบุ่มบ่ามจริงๆ นางล้วนกล่าวแล้วว่าสถานที่หมู่บ้านชนบทห่างไกลความเจริญ ชาวบ้านต่างก็สกปรกและไร้เหตุผลไม่มีความรู้ ดูสิ สามัญชนที่สกปรกและต่ำต้อยเ่าั้ รายล้อมพวกนางเหมือนตัวเรือด ช่างทำให้นางสะอิดสะเอียนจริงๆ
โหยวอวี่เวยจะใส่ใจความรู้สึกของโหยวเสวี่ยชิงเสียที่ไหน นางเป็คุณหนูที่กำเนิดออกมาโดยตรงจากภรรยาหลวงเพียงคนเดียวของจวนท่านโหวเหวินชาง ท่านลุงใหญ่ของนางนามว่าโหวโหยวฮ่าวมีเพียงบุตรสาวสองคนที่กำเนิดจากอนุเท่านั้น ท่านลุงรองนามว่าโหยวเซียวฐานะเดิมเป็บุตรของอนุ แม้นางจะไม่ใช่บุตรสาวของนายท่านโหวโหยวฮ่าว แต่พี่น้องอย่างโหยวฮั่นบิดาของนางและนายท่านโหวโหยวฮ่าวเป็พี่น้องที่สนิทกัน ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเสมอมา ดังนั้นท่านลุงใหญ่จึงปฏิบัติต่อหลานสาวผู้นี้ดีกว่าปฏิบัติต่อบุตรสาวที่ให้กำเนิดออกมาด้วยตัวเองมากกว่าหลายเท่า
โหยวอวี่เวยเป็การมีอยู่ระดับเสี่ยวป้าหวาง [3] ในครอบครัวสกุลโหยว ผู้ใหญ่และพี่น้องผู้ชายในครอบครัวต่างเอาอกเอาใจและปกป้อง พวกพี่สาวเ่าั้ที่กำเนิดจากอนุ ยิ่งพูดประจบเอาใจเป็อย่างมาก น้อยคนนักที่จะกล้าขัดใจนาง
“พี่ห้า!” โหยวอวี่เวยวิ่งมาทางกู้ฉีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีอกดีใจ
นางกระเง้ากระงอดและวิวาทอย่างสุดกำลังจึงทำให้บิดามารดาตนเองเห็นด้วยกับการเดินทางไกลครั้งนี้ อาการเมารถที่น่าเบื่อหน่ายจากการเดินทางที่ยากลำบาก พอได้เห็นกู้ฉีกลับกลายเป็ความเบิกบานใจจนหมดสิ้น
โหยวอวี่เวยชื่นชอบกู้ฉีมากจริงๆ
ตอนยังเด็กมากๆ กู้ฉีไม่เหมือนกับเด็กผู้ชายทั่วไป เวลาส่วนใหญ่ล้วนพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายเงียบๆ อยู่ในเขตที่พักอาศัยบริเวณลานบ้านของตนเอง นิสัยอ่อนโยนและสุขุม แต่ไหนแต่ไรมาไม่เหมือนเด็กผู้ชายดื้อซนเ่าั้เลย ที่ชอบดึงผมเปียเส้นเล็กของนางหรือจับหนอนมาหยอกนางเล่น
ทุกครั้งที่ไปจวนสกุลกู้ นางล้วนชอบไปเล่นกับเขาในที่พักไท่อัน แม้ที่นั่นจะไม่มีสิ่งของอะไรน่าสนใจเป็พิเศษ แต่คนสองคนก็เล่นแมลงปอไม้ไผ่ หมุนลูกข่าง เล่นผูกเชือกแก้เชือก หรือแก้กลเก้าห่วง [4] ล้วนเล่นกันได้นานครึ่งค่อนวัน
ในความทรงจำของโหยวอวี่เวย ่วันเวลาที่ไร้เดียงสาใสซื่อบริสุทธิ์การเล่นกันโดยไม่คิดอะไรมากเ่าั้ เป็ความทรงจำที่สวยงามที่สุดในก้นบึ้งหัวใจนางเลย
แต่ชั่วพริบตาเดียววันเวลาในวัยเยาว์และไร้ความกังวลใจก็ผ่านไป
ไม่รู้ว่าเริ่มขึ้นั้แ่เมื่อไรที่กู้ฉีค่อยๆ เหินห่างจากนาง
โหยวอวี่เวยรู้สึกน้อยใจเป็อย่างมาก ที่รู้สึกได้ว่าพี่ห้าของนางเปลี่ยนแปลงไป
แต่นางไม่ท้อถอย ท่านป้าบอกว่าร่างกายพี่ห้าไม่ดี นอนป่วยอยู่ตลอดทั้งปีนิสัยย่อมแย่ไปหน่อยเป็ธรรมดา ให้ตนเองอย่าคิดเล็กคิดน้อยต่อเขา
ใช่แล้ว หากตนเองเป็เหมือนเช่นพี่ห้า ที่ทุกวันทำได้เพียงล้มหมอนนอนเสื่อพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายอยู่แต่ในลานบ้านของตนเอง เช่นนั้นอารมณ์ของนางต้องไม่ดีมากอย่างแน่นอน อารมณ์ไม่ดีก็ไม่อยากสนใจผู้ใด ใช่แล้ว ต้องเป็เช่นนี้แน่
กู้ฉีไม่อาจรู้ความคิดของโหยวอวี่เวยได้ หากเขารู้ต้องอึ้งไปครึ่งค่อนวันแน่นอน
เขากับโหยวอวี่เวยมักเล่นสนุกด้วยกันตอนเป็เด็กคือเื่จริง แต่นั่นเป็เพราะมารดากลัวว่าเขาอยู่ในบ้านคนเดียวแล้วจะทุกข์ใจ ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่ท่านน้ามาถึงในจวน มารดาจะจงใจพานางมาเป็พิเศษ กู้ฉีไม่อาจหักหาญน้ำจิตน้ำใจของมารดาได้ ทำได้เพียงเล่นสนุกเป็เพื่อนนาง ฟังนางกล่าวไม่หยุดเกี่ยวกับตัวเองอยู่ครึ่งค่อนวัน
รอจนเติบโตขึ้นได้สักหน่อย หลังรู้ว่าชายหญิงมีความแตกต่างกัน กู้ฉีจึงเริ่มเล่นสนุกเป็เพื่อนนางน้อยลงอย่างช้าๆ
พอโตขึ้นมาอีกหน่อย กู้ฉีที่ชอบความสงบเงียบจึงยิ่งไม่ชอบโหยวอวี่เวยที่เสียงเอะอะโวยวายขึ้นไปอีก มีบางครั้งที่เขาสงสัยมากว่านางเป็โรคพูดมากบางชนิดหรือไม่ ขอแค่สถานที่ที่มีนางอยู่ก็ไม่เคยมีความสงบอยู่เลย
เื่เดียวกัน อยู่ในความทรงจำของคนไม่เหมือนกัน ความแตกต่างช่างมากเสียด้วย
กู้ฉีมองโหยวอวี่เวยที่ใบหน้าชื่นมื่นด้วยความปวดฟัน
ทำไมเด็กสาวผู้นี้ถึงมาหาที่นี่จนเจอได้
“ทำไมพวกเ้าถึงมาหาที่นี่จนเจอได้?” กู้ฉีมองไปทางเด็กสาวที่มาด้วยกัน นางสวมชุดกระโปรงฤดูร้อนผ้าไหมละเอียดสีเหลืองอ่อน ผิวขาวสะอาด หน้าตางดงาม รูปโฉมคล้ายกับโหยวอวี่เวยอยู่สามส่วน เขามีความทรงจำอยู่บ้าง เป็ลูกผู้พี่คนรองของโหยวอวี่เวย นามว่าโหยวเสวี่ยชิงอายุสิบสี่ปี
“พี่ห้า ข้ากับท่านพี่ไปเยี่ยมท่านในเมืองไท่ผิง แต่พ่อบ้านกู้บอกว่าท่านไม่อยู่ ข้าจึงมาหาท่านที่นี่จนเจอได้” โหยวอวี่เวยมองข้ามใบหน้าตึงของเขา และยังคงเข้าไปใกล้อย่างยิ้มตาหยี
กู้จงบอกแผนการเดินทางมายังหมู่บ้านวั้งหลินของเขาแก่นางหรือ? ดวงตากู้ฉีจมดิ่ง
“ทักทายพี่ห้า ไม่ได้เจอกันนานเลย ดูเหมือนท่านมีชีวิตชีวาขึ้นมากเลยนะ” โหยวเสวี่ยชิงมาแสดงความเคารพข้างหน้า ดวงตาอดพิจารณาเขาขึ้นลงหนึ่งรอบอย่างกลั้นไว้ไม่ได้
นางเคยเจอเขาในงานชมบุปผาเมื่อสามปีก่อน กู้ฉีในตอนนั้น... ในฤดูใบไม้ผลิที่ค่อยๆ อบอุ่นขึ้น เขายังคงห่อเสื้อคลุมขนสัตว์ผืนหนาอยู่เลย รูปร่างผอมเล็ก ใบหน้าป่วยไปทั้งดวง ทุกคนต่างพูดคุยกันเงียบๆ เป็การส่วนตัวว่าคุณชายรองบุตรชายของภรรยาหลวงครอบครัวซ่างซูกู้ชีวิตไม่ยืนยาวแล้ว
แต่สามปีผ่านไป คนเขาไม่เพียงมีชีวิตอยู่ดี ดูแล้วยังแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนมากด้วย
สีผิวยังคงขาว แต่ไม่ได้ผิดปกติเช่นนั้นแล้ว รูปร่างยังคงผอม แต่ก็เห็นได้ว่าร่างสูงเพรียวเช่นกัน รวมกับเครื่องหน้าชัดเจนของกู้ฉี ั์ตามีชีวิตชีวาเป็ประกาย ด้วยท่วงท่าสุขุมเยือกเย็นสง่างาม พอที่จะกล่าวได้ว่าเป็บุรุษเยาว์วัยสะโอดสะองอย่างต้นยู่ต้านลม [5]
“ทักทายคุณหนูรองสกุลโหยว” กู้ฉีเ็าแต่ไม่ลืมทักทายอย่างมีมารยาท
“…” โหยวเสวี่ยชิงกลับสีหน้าหยุดชะงัก นางเรียกเขาว่าพี่ห้าตามโหยวอวี่เวย แต่เขากลับเรียกนางว่าคุณหนูรองสกุลโหยว
ในลานบ้านครอบครัวหูแน่นขนัดไปด้วยชาวบ้านที่เข้ามามุงดูความคึกคักไม่น้อย เบียดเสียดวุ่นวายเจี๊ยวจ๊าวเป็อย่างมาก
เจินจูะโเรียกหลิ่วฉางผิงมาข้างหนึ่ง ให้เขาหาคนมากระจายชาวบ้านที่มามุงดูให้ออกไป ที่บ้านมีแขกมาแล้วเอะอะปานนี้ ส่งผลกระทบไม่ดีเลยจริงๆ
หลิ่วฉางผิงะโเรียกคนที่ทำงานร่วมกันมาอย่างคล่องแคล่ว ทั้งกล่อมทั้งลากคนทั้งหมดออกไป หลังจากนั้นสลักประตูเรียบร้อยแล้วจึงนำทางคนไปทำงานต่อ
ในห้องโถง แขกที่มาจากทางไกลล้วนนั่งลง
กู้ฉีในใจไม่เบิกบานนัก ทว่ายังแนะนำให้สองฝ่ายรู้จักกันหนึ่งรอบ
ที่แท้เป็โหยวเสวี่ยชิงบุตรสาวแสนล้ำค่าของนายอำเภอที่บังเอิญพบครั้งก่อน ส่วนอีกคนที่อายุน้อยกว่าคือลูกผู้น้องของกู้ฉี ล้วนเป็ญาติกันนี่เอง
เจินจูให้พานเสวี่ยหลันไปหลังบ้าน บอกให้หลี่ซื่อต้มน้ำชาใหม่หนึ่งกา เพื่อต้อนรับแขกผู้มาใหม่
“น้องสาวเจินจู ไม่ต้องลำบากแล้ว พูดคุยกันมาครึ่งค่อนวัน ข้าควรไปได้แล้ว“ กู้ฉีรู้ว่าตนเองนำความยุ่งยากสองคนนี้มา เขาต้องรีบนำคนกลับไปโดยเร็ว เื่ของหมู่บ้านวั้งหลินแม้ไม่มีปิดโลงตัดสินชี้ขาด [6] แต่หากมีคนเจตนาตรวจสอบขึ้นมาก็ง่ายต่อการถูกค้นพบและระแคะระคายได้
่นี้ไม่เหมาะให้เขามายังหมู่บ้านวั้งหลินบ่อยๆ ได้แล้ว
“พี่ห้า ข้ากับท่านพี่เร่งเดินทางมาครึ่งค่อนวัน เพิ่งได้นั่งพัก แม้แต่ชาสักถ้วยก็ยังไม่ได้ดื่มเลย ทำไมท่านรีบกลับเพียงนี้ล่ะ รออีกเดี๋ยวค่อยกลับเถอะ” โหยวอวี่เวยมุ่ยปากกล่าวอย่างไม่พอใจ
“อวี่เวย ชานี่ไม่ต้องดื่มแล้ว พวกเราตามพี่ห้ากลับกันเถอะ เมื่อครู่เ้าไม่เห็นชาวบ้านที่รุมล้อมนอกประตูหรือ ออกจากที่นี่เร็วหน่อยจะดีกว่า” โหยวเสวี่ยชิงกวาดตามองห้องโถงสกุลหูแวบหนึ่ง ความรังเกียจในสายตาเผยออกมาอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
แม้บ้านสกุลหูนี้จะสะอาดและกว้างขวางกว่าครอบครัวเกษตรกรทั่วไปนิดหน่อย แต่เครื่องเรือนต่างๆ ที่จัดวางอยู่นี่ ไม่มีระดับเลยแม้แต่นิด จึงคิดขึ้นว่าที่บ้านก็คงไม่มีชาดีๆ ไว้ต้อนรับพวกนางเช่นกัน
แต่เด็กสาวตัวเล็กตรงหน้ากลับมีลักษณะหน้าตาไม่เหมือนกับแม่นางในหมู่บ้านเลย ดูผิวอ่อนนุ่มชุ่มชื้นเสียจนน่าหยิกน้ำออกมานั่นสิ อ่อนนุ่มและขาวนวลมากกว่านางกับน้องสี่เสียอีก
“ไม่เอา พี่ห้า ท่านมาทำอะไรในหมู่บ้านนี้? บอกให้ข้าฟังหน่อย” โหยวอวี่เวยไม่สนใจโหยวเสวี่ยชิง ที่จริงนางไม่ชอบพี่รองผู้นี้เท่าไร มักคุ้นชินกับการเหยียบต่ำประคองสูง [7] ประจบสอพลอต่อนาง แต่พอนางหันกลับมาก็เห็นพี่สาวคนที่สามแสนขี้ขลาดที่กำเนิดจากอนุ กลับพูดจากเยาะเย้ยเสียดสีนาง การพูดคุยและการกระทำมักแสดงออกต่างกับจิตใจ
ครั้งนี้หากไม่ใช่ว่าต้องพักค้างอยู่บ้านท่านลุงรอง นางจะไม่สนใจลูกผู้พี่ผู้นี้เลย
“ออกมาเดินเล่นเท่านั้น” กู้ฉีเม้มปาก สายตามองไปทางนางอย่างหมดความอดทนเล็กน้อย
โหยวอวี่เวยใจเต้นผิดจังหวะ นางรู้ นี่เป็ลางบอกความโมโหของกู้ฉี
นางหลุบเปลือกตาลง บิดชายแขนเสื้อ เอาเถอะ เขาอยากกลับไปก็กลับไปแล้วกัน
ขณะที่กำลังคิด หลี่ซื่อกับพานเสวี่ยหลันได้ยกน้ำชาชงใหม่เดินเข้ามาแล้ว
เมื่อครู่เจินจูเห็นการแสดงออกต่อกันระหว่างกู้ฉีกับพวกนางอยู่ในสายตา จึงยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ช่วยหลี่ซื่อจัดวางถ้วยชา “คุณหนูโหยว ในเมื่อเหนื่อยแล้วก็เป็ธรรมดาที่ต้องพักสักครู่ นี่เป็ชาหลงจิ่งชงใหม่ ท่านชิมดู”
ชาหลงจิ่งนี่ เป็กู้ฉีนำมามอบให้สกุลหูครั้งก่อน คิดขึ้นได้ว่าน่าจะไม่มีทางแย่อย่างแน่นอน
หลี่ซื่อวางถ้วยชาเสร็จอย่างเงียบเชียบ เงยหน้าขึ้นคิดจะทักทายแขก แต่รูม่านตากลับหดลงทันที
“เคร้ง” ถาดรองในมือนางร่วงหล่นลงพื้น
เชิงอรรถ
[1] จานฮวาเสียวข่าย (簪花小楷) คือ หนึ่งในรูปแบบของตัวอักษรข่ายชู (หรือตัวอักษรบรรจง ใช้กันมาั้แ่สมัยปลายราชวงศ์ฮั่น 206 ปีก่อนคริสต์ศักราชจนถึงปัจจุบัน) โดยมีลักษณะเด่นคือมีรูปร่างเป็สี่เหลี่ยมจัตุรัส ขีดของตัวอักษรเป็ระเบียบ เส้นพู่กันชัดเจน อ่อนช้อย งดงาม ละเอียดอ่อน ว่ากันว่าสร้างขึ้นโดยฟู่เหรินสกุลเว่ย (ชื่อเดิม 卫铄:wèi shuò)
[2] มู่ท่านเถียว (木炭条) คือ แท่งคาร์บอน
[3] เสี่ยวป้าหวาง (小霸王) หมายถึง อ๋องน้อย (ความหมายโดยนัยคือ เป็อันธพาลไม่มีคนคบ เอาแต่ใจ)
[4] กลเก้าห่วง หรือเก้าห่วงปริศนา (九连环) ถือเป็ของเล่นที่ได้รับความนิยมและมีความซับซ้อนมาก โดยผู้เล่นต้องขบคิดหาวิธีนำห่วงทั้งเก้าที่คล้องเกี่ยวกันอยู่นั้นย้ายขึ้นและปลดลงให้ได้ ดังนั้นการเล่นและแก้เกมเก้าห่วงปริศนานี้จึงถือว่าช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับเด็กได้เป็อย่างดี
[5] ต้นยู่ต้านลม เป็การบรรยายว่าชายผู้นี้หล่อเหลาสง่างามมาก โดยต้นยู่ หมายถึง ต้นยูคาลิปตัส
[6] ปิดโลงตัดสินชี้ขาด หมายถึง ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
[7] เหยียบต่ำประคองสูง หมายถึง เหยียบย่ำหรือดูถูกคนที่อยู่ต่ำกว่าและเชิดชูหรือประจบคนที่อยู่เหนือกว่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้