“หะ...หา?!” เ้าของห้องร้องขึ้นด้วยความใ เขาไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอจริงๆ หรอก แค่ตั้งใจจะขู่ให้ใกลัวเล่นๆ เท่านั้นเอง แต่พอได้ยินคำพูดของเธอแบบนั้น เขากลับรู้สึกแปลกใจปนเวทนาอยู่ลึกๆ ใบหน้าสวยๆ แบบนั้น คงเคยผ่านอะไรมามากไม่น้อย ตอนที่เธอหลับนอน คงไม่ทันดูเลยด้วยซ้ำว่าใครเป็ใคร… ถึงได้ติดโรคมาขนาดนี้
“ป้าก็อย่ามั่วให้มันมาก” เขาเอ่ยถามเสียงเบาแต่แฝงแววประชดประชันเล็กน้อย “วิชาสุขศึกษาก็สอนไว้นี่นา ว่าถ้าจะมีอะไรกับใครก็ควรป้องกัน... คนหน้าตาดีบางทีก็น่ากลัวนะ ว่าแต่... คุณไปมีอะไรกับใครแบบไม่เลือกขนาดนั้นเลยเหรอ?” เขาตัดสินใจถามตรงๆ แบบไม่รักษาน้ำใจนัก เพราะอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ถ้าเธอกล้าพูดออกมาขนาดนั้น ก็อาจจะไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรเขาหรอกมั้ง...
คนถูกถามสลัดแขนเขาออกทันที โชคดีที่พอได้ฟังปัญหาของเธอ เขาก็เปลี่ยนมาจับไว้หลวมๆ
“ฟังนะ! ฉันจะบอกให้นายรู้ไว้...” เธอยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็ยกเท้าขึ้นถีบเข้าใส่เขาเต็มแรงจนเขาถอยกรู
“ฉันไม่ได้เป็โรคติดต่อ!” เธอตวาดลั่น สีหน้าเดือดจัด “และขอพูดให้ชัดๆ คนที่เขาติดโรคบางคน เขาไม่ได้สำส่อนหรอกนะ! บางทีเขาอาจจะมีแค่คนเดียวด้วยซ้ำ แต่คู่ของเขาต่างหากที่ไม่ซื่อสัตย์! ทำให้ติดโรคมา! อย่ามัวแต่ตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่นายไม่รู้!!”
พูดจบ เธอก็เปิดประตูออกแล้ววิ่งกลับไปยังห้องของตัวเองด้วยใบหน้าที่แดงด้วยความโกรธ และอับอาย
“โอ๊ยยย!!! เจ็บชะมัด!!” เสียงะโดังลั่นจากชายหนุ่มที่ยังนั่งกุมท้องอยู่กับพื้น เขาทั้งเจ็บ ทั้งโมโห จนได้แต่ะโไล่หลังเธอไปอย่างหัวเสีย
“คอยดูเถอะ! ยัยคุณป้า... ผมไม่มีวันลืมแน่!!”
"ไอ้เด็กบ้า... คนประหลาด! ไม่มีมารยาทเอาซะเลย!" มะลิยืนพิงประตูห้องด้วยสีหน้าขุ่นเคือง บ่นพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด คนที่เธอเพิ่งจะ “สั่งสอน” ไปเมื่อครู่ ยังทำให้เธอรู้สึกโมโหไม่เลิก
ดูจากหน้าตาและการแต่งตัว ก็เหมือนจะเป็แค่นักศึกษามหาวิทยาลัย แต่เด็กแค่นี้ยังทำตัวกวนประสาทขนาดนี้ แล้วถ้าโตขึ้นจะขนาดไหนกัน? แค่คิดก็ขนลุก เธออยากย้ายออกจากที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอด... ถ้าไม่ติดปัญหาเื่เงินล่ะก็นะ…
มะลิ วัลภาไร มัณฑนากรสาวผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เอ็ม แอล เอ็น อินทีเรียดีไซน์ จำกัด ที่เกิดจากการรวมตัวของเพื่อนรักสามคน มะลิ, ลลิสา และนทีธร พวกเธอตัดสินใจลาออกจากงานประจำ แล้วเริ่มต้นเส้นทางของตัวเอง เปิดบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในได้ไม่ถึงเดือนดี สถานการณ์การเงินของเธอจึงยังไม่มั่นคงนัก เงินที่มีก็ลงไปกับค่าเช่าสำนักงานใหม่หมดแล้ว
ออฟฟิศที่ว่าก็เป็เพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ในตึกสูงใจกลางเมือง มีโต๊ะทำงานแค่สี่ที่นั่ง เป็ Co-working space ที่ค่าเช่าก็แพงหูฉี่ เดือนละหกหมื่นบาท! ยังไม่รวมค่ามัดจำ และงบโฆษณาที่เธอลงทุนไปอีกหลายแสน
แบบนี้จะให้เอาเงินที่ไหนไปย้ายหนีไอ้เด็กข้างห้องได้อีกล่ะ?
เธอเพิ่งย้ายมาอยู่คอนโดนี้เพราะขายคอนโดเดิมมาทำทุน แถมคอนโดที่ว่านี้ก็ไม่ได้ดีนัก ผนังบางจนได้ยินเสียงจากห้องข้างๆ ชัดเจนเหมือนไม่มีอะไรกั้น ระบบรักษาความปลอดภัยก็แทบไม่มี รปภ. ฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะ กล้องวงจรปิดก็เสีย
แต่ถึงอย่างนั้น... เธอก็ต้องอดทนให้ถึงที่สุด จะรอจนกว่าบริษัทของเธอจะเริ่มมีกำไร แล้วเธอจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ คอนโดที่เงียบสงบ ปลอดภัย และไม่มี “เพื่อนบ้านเสียงดัง” แบบนี้ให้รำคาญใจอีก!
แต่ความสงบที่เธอหวังไว้ก็อยู่ได้ไม่ถึงสิบวินาที เสียงเดิมจากห้องข้างๆ ก็ดังขึ้นมาอีก!
และครั้งนี้... มันชัดกว่าเดิมอีกต่างหาก
“เด็กคนนี้มันน่าโมโหจริงๆ!” มะลิะเิอารมณ์ออกมา ะโด่าข้ามห้อง “คราวนี้ฉันจะเอาเื่ให้ถึงที่สุด จะแจ้งความเลยคอยดู!”
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะอัดเสียงไว้เป็หลักฐาน แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทัน เพราะจู่ๆ เสียงทั้งหมดก็เงียบลงทันที
“คิดว่าฉันจะยอมแพ้เหรอ! ถ้ามีอีกนะ จะเอาเื่ให้ถึงโรงพัก!” มะลิะโเสียงดัง ย้ำจุดยืนของตัวเอง
“ลองดูสิครับคุณป้า!” เสียงจากห้องข้างๆ ะโกลับมาอย่างท้าทาย “วันนี้คุณทำผมไว้เจ็บมากนะครับ เดี๋ยวรอดูว่าผมจะตอบแทนยังไง!”
“ก็มาเลย! จะได้จบๆ ไปซะที! เด็กอะไรนิสัยแย่!”
“ครับผม! ได้เลยครับ... ยัยป้าผู้ทรงคุณวุฒิ!”
“เด็กบ้า! หน้าตาฉันยังดูเด็กกว่านายอีก!” มะลิย้ำเสียงกร้าว “ปัญหามันอยู่ที่สายตานายต่างหากเล่า!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้