ณ จวนเป่ยอ๋องภายในเมืองหลวง
ภายในห้องโถงใหญ่ เวลานี้หนานหาวกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุดของจวน เขาถือถ้วยชาร้อนเอาไว้ในมือพลางจิบอย่างผ่อนคลาย ภายในห้องยังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าลงบนเบื้องหน้าเพื่อกล่าวรายงานด้วยท่าทางนอบน้อม
“เรียนท่านอ๋อง กระหม่อมค้นพบตำแหน่งของมู่เฟิงแล้วขอรับ เขาหลบตัวอยู่ที่ตระมูลมู่สายรองในเมืองอันหนาน นอกจากนี้ยังมีข่าวอีกว่าดูเหมือนเส้นลมปราณของมู่เฟิงจะรักษาหายดีแล้วขอรับ”
หวงปิ่งคุกเข่าลง ก่อนจะกล่าวรายงานต่อผู้บังคับบัญชาด้วยความเคารพ
“ว่าอย่างไรนะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของหนานหาวก็เปล่งประกายวาวโรจน์ขึ้นมาในทันที ั์ตาเย็นะเืเผยให้เห็นถึงรังสีสังหารโดยไม่คิดจะปิดบังแม้แต่น้อย
ต้วนเชียนโหมวที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “หวงปิ่ง สิ่งที่เ้าพูดเป็เื่จริงหรือไม่? เส้นลมปราณของมู่เฟิงผู้นั้นรักษาหายดีแล้วจริงหรือ?”
หวงปิ่งพยักหน้า ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ข้าใช้เวลาตรวจสอบข้อมูลในเมืองอันหนานเป็เวลานาน ทำให้ทราบมาว่าก่อนหน้านี้มู่เฟิงมีเื่ทะเลาะเบาะแว้งกับหวังเยว่คุณชายน้อยของตระกูลหวังแห่งเมืองอันหนานจนต้องลงไม้ลงมือกัน เื่นี้สามารถเป็ข้อพิสูจน์ได้ว่าวรยุทธ์ของเขาฟื้นคืนกลับมาแล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้นต้วนเชียนโหมวก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะกระซิบลงข้างหูหนานหาวว่า “ท่านอ๋อง หรือว่าทางตระกูลมู่จะสามารถหายาครอบจักรวาลมารักษาเ้าสัตว์ประหลาดน้อยผู้นั้นได้กันขอรับ?”
“จะรักษาเส้นลมปราณที่เสียหายจำเป็ต้องใช้ยาครอบจักรวาลขั้นหก ตระกูลมู่จะไปเอายาล้ำค่าเช่นนั้นมาจากที่ใด ให้ตายเถอะ ข้าคิดว่าพวกเราคงถูกตระกูลมู่หลอกมาั้แ่ต้นแล้ว!”
หนานหาวหรี่ตาลง รังมีสังหารที่แผ่ออกมายิ่งรุนแรงกว่าเดิม
“บางทีเส้นลมปราณของมู่เฟิงอาจจะไม่ได้ถูกทำลายมาั้แ่แรก ในเมื่อเป็เช่นนี้ เกรงว่าคงไม่อาจเก็บเ้าเด็กนั่นเอาไว้ได้อีกแล้ว อัจฉริยะที่มีพร์ระดับกระดูกิญญามีศักยภาพมากเกินไป”
หนานหาวเปรยขึ้น ต้วนเชียนโหมวที่อยู่ด้านข้างถึงกับผงะ
“ท่านอ๋องหมายความว่า... เื่ที่เส้นลมปราณถูกทำลายเป็ข่าวปลอมที่ทางตระกูลมู่ปล่อยออกมาเพื่อปิดบังเื่พร์ระดับกระดูกิญญาของเขาอย่างนั้นหรือขอรับ?”
ต้วนเชียนโหมวอุทานอย่างคาดไม่ถึง
“นั่นก็เป็ไปได้ แต่ไม่ว่าเหตุผลคืออะไร เ้าเด็กนี่จะปล่อยเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด เ้าสั่งให้หัวหน้าหน่วยลับจางนำคนของหน่วยสี่ไปยังจวนตระกูลมู่สายรอง แล้วจัดการสังหารมู่เฟิงให้เรียบร้อย”
หนานหาวตบลงบนบัลลังก์ของตน จากนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้นก่อนจะสั่งการเสียงกร้าว
เมื่อได้ยินชื่อของหัวหน้าหน่วยลับจาง ความประหลาดใจก็ฉายผ่ายออกมาจากทางแววตาของหวงปิ่งที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง
หากว่าท่านผู้นั้นเป็คนลงมือ ทั้งมู่เฟิงและพวกตระกูลมู่จะต้องไม่มีทางมีชีวิตรอดเป็แน่
นับั้แ่ที่มู่เฟิงมายังตระกูลมู่สายรองเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบจะครึ่งปีแล้ว
ภายในเรือนพักของมู่เฟิง เวลานี้เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำกำลังบ่มเพาะวรยุทธ์อยู่ในห้องฝึก ภายในร่างของเขากำลังกลั่นเม็ดยาโลหิตจำนวนหลายเม็ดที่ตนกินเข้าไปให้กลายเป็พลังปราณบริสุทธิ์ เพื่อจะนำมาควบแน่นเป็มวลคลื่นพลังขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะนี้ภายในร่างกายของมู่เฟิงมีมวลคลื่นพลังทั้งหมดหกลูก นั่นหมายความว่าวรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับจื่อฝู่ขั้นหกแล้ว ซึ่งเป็ขอบเขตของเทียนเว่ยระดับกลาง
มู่เฟิงหยัดกายลุกขึ้น จากนั้นเขาก็นำมีดแกะสลักออกมา จุ่มปลายมีดลงในแก่นหมึกและเริ่มสลักลายเส้นลงบนกระดาษยันต์
คมมีดแกะสลักเล่มนี้สามารถแกะสลักลายเส้นลงบนกระดาษยันต์ได้โดยไม่ขูดกระดาษเลยแม้แต่น้อย การจะทำเช่นนี้ได้จำเป็ต้องมีพลังการควบคุมที่เป็เลิศ คนปกติทั่วไปจำเป็ต้องฝึกฝนอย่างหนักและใช้เวลานานกว่าจะสามารถทำได้ หากควบคุมได้ไม่ดีกระดาษยันต์ย่อมต้องชำรุดเสียหาย และกลายเป็เพียงแผ่นยันต์ที่ไร้ประโยชน์แผ่นหนึ่งเท่านั้น
มู่เฟิงนั้นมีความชำนาญในด้านการเขียนอยู่แล้ว แม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่าไหลลื่นราวกับสายน้ำ แต่เขาก็มีวิธีการควบคุมมือของตัวเอง
“ยันต์กระบี่ทอง ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!”
เมื่อมู่เฟิงถอนคมมีดแกะสลักออก ลายเส้นสุดท้ายบนแผ่นยันต์ก็พลันเปล่งแสงออกมาก่อนจะกลืนหายเข้าไปในแผ่นยันต์
มู่เฟิงรู้สึกยินดีกับความสำเร็จนี้ จากนั้นเด็กหนุ่มก็รีบนำแผ่นยันต์สีทองวิ่งออกไปยังลานบ้านของตัวเองในทันที หลังจากใช้พลังเข้าไปกระตุ้นแล้ว เขาก็ขว้างมันออกไปยังเป้าหมายในทันที
เปรี้ยง!
แผ่นยันต์ะเิออกมาจนทำให้เกิดเสียงดังสนั่น ปรากฎแสงกระบี่สีทองพวยพุ่ง ก่อนจะแทงทะลวงไปยังเป้าหมาย
เสาไม้ซึ่งเป็เป้าหมายของการโจมตีถูกปราณกระบี่สีทองแทงทะลวงเข้าไปโดยตรง ทำให้มันถูกผ่าครึ่งออกเป็สองท่อนในทันที
“ฮ่าๆ เครื่องรางขั้นสอง ในที่สุดก็ทำสำเร็จแล้ว”
มู่เฟิงหัวเราะออกมาเสียงดัง อานุภาพของการโจมตีนี้เทียบได้กับวรยุทธ์ระดับหนิงกังในขอบเขตของเทียนเว่ยระดับเล็กเลยทีเดียว
กล่าวคือในเวลานี้เด็กหนุ่มได้กลายเป็นักสลักลายเส้นเครื่องรางขั้นสองแล้ว
หลังจากนั้นมู่เฟิงก็เดินกลับมาที่ห้องฝึก คราวนี้เขาได้ทำแผ่นยันต์กระบี่ทองออกมาอีกหลายแผ่น จนกระทั่งเด็กหนุ่มรู้สึกเวียนหัวจึงได้หยุดพัก
แผ่นยันต์เหล่านี้ มีโอกาศที่จะสามารถใช้มันช่วยชีวิตคนได้ในหลายสถานการณ์ ดังนั้นในบรรดานักสลักลายเส้นทั้งหมด นักสลักลายเส้นเครื่องรางจึงเป็สายงานที่ถนัดการโจมตีเป็ที่สุด
หลังจากมู่เฟิงสลักลายเส้นลงบนแผ่นยันต์เสร็จแล้ว เขาก็ไปหาพวกไป๋จื่อเยว่ เพื่อดูความก้าวหน้าในการฝึกของไป๋จื่อเยว่และมู่ขวง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเด็กหนุ่มทั้งสองต่างก็ทุ่มเทกำลังในการฝึกฝนกันอย่างหนัก
ในเวลานี้ทางตระกูลมู่สายรองไม่มีใครทราบเลยว่าได้มีวิกฤตครั้งใหญ่กำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว
ด้านนอกเมืองอันหนาน บนถนนสายหลักมีคนกลุ่มใหญ่กำลังเร่งเดินทางมุ่งหน้ามาที่เมืองอันหนาน
คนกลุ่มนี้มีจำนวนราวๆ ห้าสิบคน ทุกคนล้วนใส่ผ้าปิดหน้าสีดำและสวมใส่ชุดคลุมสีดำ ไม่มีใครสามารถมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
ด้านหน้าสุดมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังขี่อยู่บนหลังของพยัคฆ์ดำร่างใหญ่
ชายวัยกลางผู้นี้สวมใส่ชุดคลุมสีดำ ใบหน้าดูธรรมดาดาษดื่น แต่ดวงตาทั้งสองข้างของเขากลับลุ่มลึก ทำให้รู้สึกได้ถึงพลังงานด้านลบ นอกจากนี้พลังที่กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างของเขาก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ในขณะที่ด้านข้างของเขามีชายฉกรรก์ในชุดคลุมสีครามผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือหวงปิ่ง
“ใต้เท้าจาง เมืองอันหนานอยู่ข้างหน้าแล้วขอรับ จวนตระกูลมู่ตั้งอยู่ในเมืองแห่งนี้ขอรับ”
หวงปิ่งกล่าวอย่างนอบน้อม
ชายวัยกลางคนที่กำลังควบอยู่บนหลังพยัคฆ์ดำจ้องมองไปทางเมืองอันหนาน ก่อนจะเอ่ยถามว่า “มู่เฟิงผู้นั้นอยู่ในเมืองด้วยหรือไม่?”
“ตอนนี้มู่เฟิงอาศัยอยู่ที่จวนของตระกูลมู่สายรองในเมืองอันหนานขอรับ”
หวงปิ่งพยักหน้า
เกรงว่าคนผู้นี้คงจะเป็หัวหน้าหน่วยลับจางที่หนานหาวกล่าวถึง
รังสีฆ่าฟันฉายชัดในแววตาของหัวหน้าหน่วยลับจาง จากนั้นเขาก็พยักหน้าและกล่าวว่า “เข้าเมือง”
คนกลุ่มนั้นเร่งควบม้าเร็วมุ่งหน้าตรงไปยังประตูเมืองอันหนานทันที เนื่องจากการแต่งกายที่ปิดบังใบหน้าและรูปลักษณ์ เหล่าทหารยามหน้าประตูเมืองจึงสกัดกั้นพวกเขาเอาไว้ เพื่อตรวจสอบตัวตนของพวกเขาตามหน้าที่
“หยุดก่อน พวกเ้าเป็ใครกัน? แล้วเหตุใดพวกเ้าถึงได้แต่งกายปกปิดตัวตนเช่นนี้”
นายทหารผู้หนึ่งเข้ามาสอบถาม
หวงปิ่งพ่นลมหายใจอย่างเ็า เขานำป้ายคำสั่งสีทองออกมาและโยนมันไปทางนายทหารชั้นผู้น้อยผู้นั้น
เมื่อเห็นป้ายคำสั่งนี้ สีหน้าของนายทหารผู้นั้นก็พลันเปลี่ยนไปในทันที เขารีบส่งป้ายคำสั่งสีทองคืนให้หวงปิ่งอย่างนอบน้อม ก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวว่า “คารวะใต้เท้า ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีสิ่งใด้าสั่งการหรือไม่?”
“ไสหัวไปให้พ้นทาง อย่าได้มาทำตัวอวดดี”
หวงปิ่งตวาดออกมาอย่างเ็า
“เปิดทาง”
ทหารผู้นั้นรีบก้าวถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสั่งการลูกน้องที่อยู่ด้านหลัง ทำให้เหล่าทหารที่ปิดทางรีบถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากคนกลุ่มใหญ่เข้าไปในเมืองแล้ว พวกทหารก็เดินเข้ามาและถามด้วยความสงสัยว่า “ใต้เท้า คนพวกนั้นเป็ใครกันหรือขอรับ? เหตุใดพวกเขาจึงแต่งตัวดูลึกลับนัก”
“จุ๊ๆ เบาเสียงหน่อย พวกเขาเป็คนของเป่ยอ๋อง พวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่ง”
เมื่อได้ฟังคำตอบจากหัวหน้าของตน เหล่าทหารชั้นผู้น้อยต่างก็พากันตื่นใ
หลังจากคนกลุ่มนั้นเดินทางเข้ามาในเมืองแล้ว พวกเขาก็เปิดโรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อนในทันที
เมื่อรัตติกาลมาเยือน ภายในเมืองอันหนานประมาณยามโฉ่ว*จะเป็่เวลาที่ห้ามชาวเมืองออกนอกบ้าน ดังนั้นในเวลานี้จึงไม่มีใครเดินบนถนนเลยสักคน ภายใต้ความมืดมิดในยามราตรีได้ปรากฏเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งทยอยเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมและมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลมู่
(*่เวลาระหว่างตีหนึ่งถึงตีสาม)
เวลานี้หน้าประตูจวนตระกูลมู่มีโคมไฟแขวนเอาไว้้า นอกจากนี้ยังมีผู้คุ้มกันสี่คนยืนเฝ้ารักษาการณ์หน้าประตู
ทันใดนั้น พวกเขาก็เห็นว่ามีเงาร่างร่างหนึ่งเดินออกมาจากมุมถนนข้างหน้า เดิมทีร่างของคนผู้นั้นยังคงอยู่ห่างไกลออกไปหลายสิบเมตร แต่ในชั่วพริบตาร่างของอีกฝ่ายก็มาปรากฏขึ้นตรงหน้าประตูเสียแล้ว ภาพนี้ทำเอาผู้เฝ้าประตูทั้งสี่ของตระกูลมู่ต่างก็ตื่นใ
ขณะที่ศิษย์ทั้งสี่คนของตระกูลมู่ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ชายผู้นั้นก็ชี้นิ้วทั้งสี่นิ้วมาทางพวกเขา ฉับพลันนั้นลำแสงสีเหลืองก็ปรากฏขึ้นและพุ่งออกมาจากนิ้วทั้งสี่ทะลวงผ่านศีรษะของพวกเขาไปในทันที ส่งผลให้ร่างของคนทั้งสี่ล้มพับลง ศีรษะของพวกเขาต่างก็ถูกเจาะทะลวงจนเป็รูโหว่
และในชั่วพริบตาบนถนนก็ปรากฏเงาร่างของกลุ่มคนจำนวนมาก เพียงไม่นานกลุ่มคนเ่าั้ก็บุกเข้าไปในจวนตระกูลมู่จากหน้าประตูโดยตรงในทันที...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้