เฉิงจือหย่วนขึ้น์ไปแล้ว ย่อมไม่อาจมาบิดหัวสุนัขของเซียวซื่อจื่อได้จริงๆ
แต่ตัวผู้พิพากษาศาลต้าหลี่กลับอยู่ตรงนั้น
ใต้เท้าผู้พิพากษายากที่จะเชื่อ บนโลกนี้ยังมีคนแบบเซียวอวิ๋นถิงด้วย!
คนของศาลต้าหลี่จากบนลงล่าง แม้แต่ปีใหม่ก็ไม่ได้ฉลองเพราะต้องตรวจสอบคดียักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติใหม่ั้แ่ต้น ไม่ใช่เพื่อชำระปลดเปลื้องข้อสงสัยให้จวนเยี่ยอ๋องหรอกหรือ?
อย่างน้อยจากที่ใต้เท้าผู้พิพากษามอง รายการบัญชีเหล่านี้ไม่เห็นส่วนที่ขาด รูปคดีเป็ไปในทางที่เป็ประโยชน์ต่อจวนเยี่ยอ๋อง——เซียวอวิ๋นถิง้าทำลายหลักฐานที่เป็ประโยชน์ต่อตนเองหรือ?
สมองของเซียวอวิ๋นถิงอาจเคยถูกลาเตะ จวนเยี่ยอ๋องมีผู้สืบทอดเช่นนี้ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
ไม่ ไม่ ไม่ บัดนี้ศาลต้าหลี่ต่างหากที่น่าสงสาร ไม่ต้องสนใจว่าเหตุใดเซียวอวิ๋นถิงจึงเป็บ้าขึ้นมา เื่นี้มีศาลต้าหลี่เป็ผู้จัดการแต่กลับเกิดความเลินเล่อ นั่นก็หมายความว่าศาลต้าหลี่จัดการไม่ดี!
ฝ่าาฮ่องเต้กวาดสายตามองมา ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่หลั่งเหงื่อเย็นอย่างต่อเนื่อง
“ฝ่าา รายการบัญชีเหล่านี้มีผู้เชี่ยวชาญเคลื่อนย้ายกลับมา ทั้งยังมีกรมคลังตรวจสอบ จะเป็ของปลอมไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เสนาบดีกรมวังก็ถูกลากลงน้ำมาด้วย กล่าวชี้แจงพร้อมกับผู้พิพากษาศาลต้าหลี่
“…กระหม่อมไม่คิดว่ารายการบัญชีนี้เป็ของปลอมพ่ะย่ะค่ะ”
กรมวังดูแลทุกเื่ที่เกี่ยวกับการเงิน ไม่ว่าจะเป็ที่นาของแคว้น ภาษีและเบี้ยหวัด เป็ต้น สิ่งที่พวกเขาััมากที่สุดก็คือสมุดบัญชีทุกประเภท หากแม้แต่ตรวจบัญชีหนึ่งก็ไม่อาจแยกแยะได้ว่าจริงหรือปลอม เช่นนั้นคนที่ทำงานในกรมคลังจะไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์กลุ่มหนึ่งหรือ?
ยามนี้ เสนาบดีกรมคลังก็เหมือนกับผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ ทั้งหมดมีข้อคัดค้านกับเซียวซื่อจื่ออย่างมาก
——ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเ้าเป็ใบ้!
ฮ่องเต้ไม่อาจทะเลาะกับขุนนางสองคน พระองค์มองเพียงตรรกะเหตุผล
ศาลต้าหลี่และกรมวังกล่าวว่าบัญชีไม่มีปัญหา แต่เด็กคนนี้กลับชิงเอ่ยถึงว่าค่าใช้จ่ายในกองทัพมีส่วนขาดหายไป… ฮ่องเต้ถอนหายใจอยู่ภายในใจ เด็กคนนี้ยามอายุไม่กี่ปีก็ต้องแยกจากบิดามารดาเข้าเมืองหลวง หลายปีนี้เขาไม่ได้รักและทะนุถนอมอีกฝ่ายโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถทวงคืนความยุติธรรมให้กับจวนเยี่ยอ๋อง จึงเอ่ยความจริงอย่างกำเริบเสิบสาน
มีผู้รู้เื่เงินในกองทัพของเยี่ยอ๋องขาดหาย จึงผลักมลทินยักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติไปไว้บนศีรษะของเยี่ยอ๋อง ทั้งยังเอาใจใส่เตรียมสมุดบัญชีปลอมไว้อย่างดี
หากจวนเยี่ยอ๋องฉวยโอกาสไม่ยอมรับเื่เงินติดลบ ผู้ที่อยู่เื้ัอาจจะมีเล่ห์เหลี่ยมด้านหลังอื่นอีก บางทีอาจเปิดโปงคำโกหกของจวนเยี่ยอ๋องท่ามกลางผู้คน
เมื่อโกหกเื่หนึ่ง อีกร้อยเื่ก็ไม่อาจเชื่อถือได้แล้ว
ในเมื่อจวนเยี่ยอ๋องได้สูญเสียความเชื่อมั่นในใจของฮ่องเต้แล้ว แม้จะสามารถโชคดีหลบเลี่ยงข้อกล่าวหาในครั้งนี้ได้ แต่จะสามารถหลบเลี่ยงการใส่ร้ายในครั้งหน้าได้หรือ?
ใน่ระยะเวลาสั้นๆ ฮ่องเต้ก็ขบคิดได้มากมาย
คดียักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติเป็เพียงข้ออ้างหนึ่ง เป้าหมายสุดท้ายคือ้าแบ่งแยกความไว้วางใจระหว่างราชวงศ์และจวนเยี่ยอ๋อง
ราชวงศ์หวาดกลัวเยี่ยอ๋อง เยี่ยอ๋องเองก็อาจเกิดความไม่พอใจเช่นกัน หากถึงวันนั้นที่ทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งที่ยากจะประสานกันได้จริงๆ ถึงตัวเยี่ยอ๋องเองจะไม่้าก่อฏก็คงถูกบังคับให้ก่อฏอยู่ดี
ผู้ใดคือมือมืดที่อยู่เื้ั หากราชวงศ์และจวนเยี่ยอ๋องห่างเหิน ผู้ใดจะเป็ผู้ที่ได้ประโยชน์?
หรือจะเป็คนเถื่อนทางเหนือ?
แต่เื่นี้หากไม่มีคนทรยศในแคว้นเว่ยร่วมมือด้วย มือของคนเถื่อนทางเหนือก็คงยืดยาวมาไม่ได้ถึงเพียงนี้
ยามนี้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรผู้ใดก็ล้วนมีข้อสงสัย
หลังจากนั้น ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งท้องพระโรงก็ได้รับเพลิงพิโรธของฮ่องเต้
“เื่นี้ถือว่ามีข้อสรุปแล้ว! เป็ผู้ใดที่เื้ัใช้เล่ห์เหลี่ยม้าใส่ร้ายเยี่ยอ๋อง ให้ตรวจสอบอย่างเข้มงวดจนถึงที่สุด!”
ทั้งคดีล้วนมีจุดน่าสงสัย
ฮ่องเต้โยนม้วนคดีรายงานของศาลต้าหลี่ใส่หน้าของผู้พิพากษาศาลต้าหลี่
“พวกเ้าตรวจสอบไม่พบว่าผู้ใดที่ใส่ร้ายจวนเยี่ยอ๋อง ตรวจสอบไม่พบว่านายอำเภอขั้นเจ็ดผู้หนึ่งยักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติหรือไม่? แค่ขุนนางเล็กๆ ขั้นเจ็ดสามารถสั่งการเ้าเมืองขั้นสี่ได้ นายอำเภอเฉิงผู้นี้ช่างมีความสามารถยิ่งใหญ่นัก หากตรวจสอบพบว่าเฉิงจือหย่วนมีความผิดจริง ข้าก็จะลงโทษอย่างรุนแรง แม้จะฆ่าตัวตายหนีความผิดไปแล้ว แต่ภรรยาและบุตรของเขาก็ไม่อาจหนีจากโทษทัณฑ์ได้!”
ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยว การเสด็จออกว่าราชการยามเช้าในวันนี้ยากที่จะรับได้เป็พิเศษ ไม่ง่ายเลยที่ทนจนถึงยามเลิกว่าราชการ ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งท้องพระโรงจึงค่อยได้ผ่อนคลาย
มีเพียงเหล่าขุนนางตรวจสอบที่หน้าแดงก่ำ ยังคงไม่ผ่อนคลายจากอารมณ์ที่ถูกกระตุ้น ยามเดินผ่านข้างกายเซียวอวิ๋นถิงก็พ่นลมหายใจระบายความโกรธตามเดิม… เมื่อเซียวอวิ๋นถิงเดินออกจากพระตำหนักจินหลวนก็มีนางกำนัลถือเสื้อคลุมขนสัตว์มาสวมให้เขา เสนาบดีเฉิงเดินผ่านไปด้านข้างโดยไม่เหลือบมอง แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกเซียวอวิ๋นถิงเรียกให้หยุด
“เสนาบดีเฉิงโปรดรั้งฝีเท้าก่อน”
“เซียวซื่อจื่อมีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ?”
ท่าทีของเสนาบดีเฉิงอยู่ในกรอบ ไม่มีความสนิทชิดเชื้อแม้แต่น้อย เซียวอวิ๋นถิงอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น “มิกล้าชี้แนะท่านหรอก เพียงแต่แปลกใจที่การเสด็จออกว่าราชการยามเช้าเมื่อครู่นี้ใต้เท้าเฉิงสามารถอดกลั้นไม่เอ่ยคำ จริงอยู่ที่ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋มีคนเยอะธุรกิจมาก จะเอะอะใหญ่โตเพียงเพราะขุนนางตัวเล็กๆ ขั้นเจ็ดผู้หนึ่งได้อย่างไร เป็ข้าที่คิดผิดไป เพียงแต่น่าเสียดายที่บุตรและภรรยาที่เฉิงจือหย่วนเหลือทิ้งไว้ บุรุษถูกเนรเทศไปสามพันลี้ สตรีส่งเข้าหอคณิกา... บทสรุปเช่นนี้เป็สิ่งที่ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋้าหรือ?”
ไม่ว่าเซียวอวิ๋นถิงจะกล่าวอะไร เสนาบดีเฉิงก็ล้วนไม่ใส่ใจ ราวกับฟังไม่ออกถึงคำเสียดสีในถ้อยคำของเซียวอวิ๋นถิง
มิเช่นนั้นจะให้ทำอย่างไร?
อย่าบอกนะว่า ้าให้เขาสนับสนุนเซียวอวิ๋นถิงในการเสด็จออกว่าราชการยามเช้า?
เซียวอวิ๋นถิงแทบจะจูงศาลต้าหลี่และกรมคลังเดินเล่น
ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋ควรอยู่ห่างจากคนบ้าเช่นนี้ให้ไกล เสนาบดีเฉิงทำหน้านิ่งเดินผ่านเซียวอวิ๋นถิงไป
เซียวอวิ๋นถิงยืนอยู่บนบันไดหินอ่อนทอดสายตาไปไกล
“สามปี หากสามารถเข้ามาเมืองหลวงได้จริงๆ ก็ถือว่าสามารถใช้งานได้”
เฉิงชิงในตอนนี้นับว่าเป็ผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง บัญชีปลอมสามารถทำให้กรมคลังตกตะลึง นายบัญชีเก่าแก่มากน้อยเพียงใดก็ล้วนมิอาจทำได้
แต่นี่ก็ยังไม่เพียงพอ
เฉิงชิงยังขาดทางผ่านสู่ความสำเร็จที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่ง
หลังจากนี้สามปี หากสามารถสอบเข้ารับราชการเป็ขุนนางได้ เซียวอวิ๋นถิงย่อมต้องรับผู้มีความสามารถผู้นี้เข้ามาแน่
ส่วนความปรารถนาของตัวเฉิงชิงเอง... เดิมตัวเขาไม่เคยใคร่ครวญมาก่อน
เรือของจวนเยี่ยอ๋องขึ้นง่ายลงยาก ไม่ง่ายเลยที่เขาจะสนใจผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง ย่อมไม่มีทางทีจะปล่อยมือไปโดยง่าย หากตนเองไม่ได้รับประโยชน์ เช่นนั้นก็ทำลายไปเสีย จะได้ไม่เป็ประโยชน์ต่อผู้อื่น!
เฉิงชิงต้องปีนขึ้นมาและต้องปีนมาให้ถึงเมืองหลวง เซียวอวิ๋นถิงนึกถึงความฉลาดของอีกฝ่ายที่แฝงความใสซื่ออยู่สองส่วนก็อดหัวเราะไม่ได้
“เฮ้อ หัวข้อปีนี้ยากเหลือเกิน ข้าถึงขนาดเว้นว่างไว้สองที่!”
การสอบสนามแรกของการสอบระดับอำเภอทำให้ฝูงชนบ่นอุบ ระดับความยากเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้
เดิมทีการสอบระดับอำเภอควรจะเป็การสอบที่ง่ายที่สุดสิ!
ยามปกติมักจะรู้สึกว่ามีพื้นฐานแน่นเพียงพอแล้ว พอเข้าสนามสอบจริงจึงรู้ว่ายังมีจุดที่ยังมีรอยรั่วมากมายถึงเพียงนั้น
เฉิงชิงถูกเหล่าสหายร่วมเรียนล้อมรอบ มีคนถามนางว่าสอบเป็อย่างไรบ้าง เฉิงชิงเอ่ยตามตรง
“พอทำได้ หัวข้อลำเอียงไปหน่อย แต่ก็ยังไม่ออกนอกเหนือจากขอบเขตที่ควรออกสอบ”
คำกล่าวนี้ดึงดูดความเกลียดชังเกินไปแล้ว ผู้เข้าสอบมากมายถลึงตามองนาง แม้แต่สหายร่วมเรียนห้องเรียนติงเก้าก็ยังเกือบจะสำลักน้ำลายตนเอง “...เฉิงชิง ถ่อมตัวหน่อยจึงจะถือว่าดีงาม!”
เฉิงชิงมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ
“ยามนี้ยังต้องถ่อมตัวอีกหรือ? ความรู้ล้วนพึ่งการสั่งสมในยามปกติ เป็ผลลัพธ์ของความเพียรพยายามของพวกเรา นี่ไม่อาจเสแสร้งได้”
นี่กลับเป็ข้อเท็จจริงข้อใหญ่
ผู้ที่สามารถสอบเข้าสถานศึกษาหนานอี๋ได้ล้วนย่อมมีพื้นฐานระดับหนึ่ง ทุกคนต่างไม่เห็นการสอบระดับอำเภอในสายตา
จะสามารถสอบผ่านได้คุณวุฒิซิ่วไฉในรวดเดียวได้หรือไม่นั้น ยังไม่อาจกล่าวได้ แต่หากแม้กระทั่งการสอบระดับอำเภอยังสอบไม่ผ่าน เช่นนั้นก็ขายหน้าเกินไปแล้ว
สหายร่วมเรียนของสถานศึกษาหนานอี๋ล้วนถูกความมั่นใจที่มีเหตุผลรองรับของเฉิงชิงทำให้ขบขันแล้ว ผู้เข้าสอบคนอื่นก็มองพวกเขาด้วยแววตาอิจฉา
——หากพวกเขาสามารถศึกษาเล่าเรียนที่สถานศึกษาหนานอี๋ ก็คงจะมีความมั่นใจขนาดนี้กระมัง!
ไม่ไกลกันนัก อวี๋ซานยิ้มหยันอยู่ข้างกำแพง
“ดูซิว่าเขาจะทำได้หรือไม่ บัดนี้กล่าววาจาใหญ่โต หากสอบไม่ผ่านก็จะมีเื่ตลกให้ดูแล้ว”
เฉิงกุยไร้คำพูด
แม้จะไม่ชอบเฉิงชิง แต่เฉิงกุยก็รู้ดีว่าการสอบระดับอำเภอยังไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้
กลับเป็อาเสี่ยนที่ให้ความสนใจต่อเฉิงชิงอย่างแปลกประหลาด ตอนลงชื่อสอบระดับอำเภอก็ต้องมาดู ตอนสอบระดับอำเภอสนามแรกก็ยังมาดูอีก อย่าบอกจะว่าทุกสนามที่เฉิงชิงจะสอบหลังจากนี้ อาเสี่ยนจะต้องไปรออยู่ด้านนอกทั้งหมด?
อีกทางหนึ่ง เฉิงชิงบอกลากับเหล่าสหายร่วมเรียนแล้ว ถูกเ้าพนักงานคุมตัวกลับไปยังตรอกหยางหลิ่ว
เกี้ยวขุนนางหลังหนึ่งโผล่ออกมาในสายตา เสียงโหวกเหวกหน้าสนามสอบเงียบลงในทันใด
มองดูแล้วเป็เกี้ยวขุนนางที่ต้องเป็ขุนนางขั้นสี่จึงจะสามารถนั่งได้
เริ่มแรกอวี๋ซานนึกว่าบิดาของเขามาแล้ว จิตใต้สำนึกสั่งให้ชิดเข้ากำแพง แต่เมื่อมองไปยังคนแบกเกี้ยวล้วนไม่คุ้นตา กลับเป็เฉิงกุยที่อดไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว อวี๋ซานพลันตระหนักได้ทันที
“...บิดาของเ้ามาแล้วหรือ?”
ผ้าม่านในเกี้ยวถูกเลิกออก เฉิงจือซวี่ที่สวมชุดลำลองเดินลงจากเกี้ยว เฉิงกุยราวกับถูกสาปให้แข็งทื่อทันใด
——แม้การคิดเช่นนี้จะเป็การไม่เคารพต่อบิดา แต่การปรากฏตัวของบิดาของเขาในยามนี้ จะเป็การมาเพื่อขัดขวางเฉิงชิงใช่หรือไม่?
