“เจินจู เอ้า น้ำร้อน” หลี่ซื่อยกน้ำร้อนหนึ่งกะละมังออกมาจากห้องครัว และเสียงแหบแห้งก็ตามติดกันมา
ต้องบอกว่า่นี้เื่ใหญ่ที่สุดของบ้านหูฉางกุ้ย ไม่มีอะไรเกินกว่าที่หลี่ซื่อสามารถเปิดปากพูดจาได้ แม้ว่าเสียงเหมือนถูกหินทรายเสียดสีไปมาไม่น่าฟัง แต่ในหูของคนในบ้านสกุลหูแล้ว เสียงนี้กลับเรียกได้ว่าเป็เสียงที่ไพเราะที่สุด
วันเวลาก่อนหน้านี้หลี่ซื่อรู้สึกว่าในลำคอของตนเองมีอาการคัน แต่ก็ชุ่มชื้น มักมีแรงกระตุ้นอย่างหนึ่งให้อยากเปิดปากพูดจาอยู่บ่อยๆ คล้ายกับว่าในลำคอที่ถูกทำลายไปได้รับการแก้ไขให้สมดุล กล่องเสียงที่แห้งผากและเ็ปทรมานมาสิบกว่าปี คล้ายกับว่าจะหายดีแล้ว
หลี่ซื่อไม่กล้าออกเสียงมาตลอด กลัวว่าจะเป็ความรู้สึกหลอนอย่างหนึ่ง
ตลอดมาจนถึงก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน หูฉางกุ้ยเปลี่ยนกระเบื้องเก่าอยู่บนหลังคาบ้าน ผิงอันปีนบันไดขึ้นไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อปีนขึ้นไปจนสูงเท้าดันลื่นตกลงมา ตอนเขาห้อยอยู่บนบันไดครึ่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงตื่นตระหนกที่แหบดังสะท้อนมาจากเื้ั “ผิงอัน!”
หลี่ซื่อสามารถเปิดปากพูดจาได้ ทุกคนในบ้านสกุลหูพากันใ หูฉางกุ้ยยิ่งเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนดีใจอยู่ข้างใน น้ำตาเอ่อล้นทั่วใบหน้า
หลังวุ่นวายกันอยู่หนึ่งรอบ จึงเชิญท่านหมอชราหลินในหมู่บ้านมา
ท่านหมอหลินตรวจเสร็จก็ชมอย่างอัศจรรย์ใจ เดาว่าเมื่อก่อนกล่องเสียงถูกยาบางอย่างทำให้ได้รับความเสียหาย เมื่อผ่านพ้นไปตามกาลเวลาจึงหายเป็ปกติเองได้ หลังจากนั้นสั่งจ่ายสมุนไพรเพียงไม่กี่เทียบสำหรับล้างปอดและทำให้ลำคอชุ่มชื้นแก่หลี่ซื่อดื่มและบำรุงร่างกาย
หลี่ซื่อที่สามารถเปิดปากพูดจาได้ ก่อให้เกิดเสียงแตกตื่นในหมู่บ้านวั้งหลินไม่น้อย ผู้ที่เป็ใบ้หนึ่งคนไม่เปล่งเสียงมาสิบกว่าปี จู่ๆ ก็สามารถพูดได้ เป็ธรรมดาที่ทำให้เกิดการคาดเดาต่างๆ นานาจากทุกคน ต่างพากันวิ่งไปถึงบ้านท่านหมอหลินเพื่อสืบเสาะสถานการณ์ ท่านหมอหลินไม่อาจทนฟังคำพูดที่อาจเกิดความเข้าใจผิดของคนว่างงานหนึ่งกลุ่มได้ เพียงกล่าวคร่าวๆ ว่าอาการาเ็เก่าหายเป็ปกติ และไม่ได้ตอบมากเกินไปกว่านี้
โชคดีนัก ที่บ้านครอบครัวหูอยู่ห่างไกลจากในหมู่บ้าน อากาศก็หนาวเย็น ดังนั้นจึงไม่มีคนมากมายพากันมารุมล้อมบ้านนาง
แต่ ครอบครัวสกุลเถียนที่ห่างไปไม่ไกลนักไม่ได้อยู่ในกรณีนี้ พอได้ยินข่าวคราว เถียนกุ้ยจือก็พาบุตรสาวคนโตอย่างไฉ่สยารุดหน้ามา ส่วนบ้านไม่กี่ครัวเรือนบริเวณใกล้เคียงล้วนติดสอยห้อยตามมาประสมโรงด้วย
ในวันเดียวกัน ที่บ้านเก่าสกุลหูนอกจากเหลียงซื่อที่อยู่เฝ้าบ้านแล้ว แม้แต่ชายชราสกุลหูก็นั่งเกวียนวัวมาด้วย
เพิ่งจะเอ่ยได้ไม่กี่ประโยค คนว่างงานหนึ่งกลุ่มที่พากันรุมล้อมก็อยู่นอกลานบ้านวิพากษ์วิจารณ์เสียงเซ็งแซ่ไม่หยุด
หวังซื่ออยู่ในบ้านใบหน้าครึ้มลง ชาวไร่ชาวนาเหล่านี้มีเื่ดีเื่สองเื่ก็ชอบรบกวนนัก จึงลุกขึ้นยืนทันทีทันใดแล้วเดินออกไปข้างนอก หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยมองหน้ากันแวบหนึ่ง รีบเดินตามออกไป เจินจูกลอกตา แล้วก็วิ่งตามออกไป
ออกจากประตูบ้าน กลุ่มคนที่เห็นหวังซื่อและคนในบ้านออกมา ยิ่งร้องเสียงดังแย่งกันพูด “หูเสิ่น ได้ยินว่าลูกสะใภ้คนรองที่เป็ใบ้ของสกุลท่านหายจากเป็ใบ้แล้ว? เหตุใดดีขึ้นได้เล่า? ทานยาวิเศษหรือ? แม้แต่ผู้ที่เป็ใบ้ก็ล้วนสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้? บอกกล่าวแก่พวกเราหน่อยสิ?” กล่าวจบ กลุ่มคนต่างพากันหัวเราะเกรียวกราว
เสียงแหลมไม่น่าฟังที่รู้จักเป็อย่างดีดังติดต่อกันขึ้น หวังซื่อมองหาตามเสียง เห็นใบหน้าที่ปะแป้งทาชาดหนึ่งดวงหน้า ไม่ใช่ว่าเป็เถียนกุ้ยจือที่เ็าและไร้ความปราณีต่อผู้อื่นหรอกหรือ ใบหน้าเด็กสาวข้างกายนางก็เป็บุตรสาวคนโตจ้าวไฉ่สยานี่เองที่หัวเราะเยาะเห็นเป็เื่ครึกครื้นอยู่ ในเวลานั้นก็ไม่เยิ่นเย้อ กล่าวเสียงดังหนักแน่น “สะใภ้คนรองเมื่อก่อนาเ็ที่กล่องเสียง ขณะนี้ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว เป็เบื้องบนที่ปกปักรักษาพวกเาาวสกุลหู สะใภ้รองของข้าขี้อายไม่ชอบออกมาปรากฏใบหน้า รอให้นางหายดีแล้ว ทุกท่านค่อยมาคุยเล่นกับนางเถิด”
“โอ๊ะ หูเสิ่น อย่าสิ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าสะใภ้คนรองสกุลท่านเป็ใบ้มาสิบกว่าปี เหตุใดก็รักษาได้ทันทีทันใดเล่า? ดูบ้านท่านปีนี้ได้ลาภก้อนโตแล้วล่ะ ทั้งซื้อเกวียนวัวทั้งรื้อและสร้างบ้านใหม่ ได้พบกับผู้สูงศักดิ์เข้าล่ะสิ?” ดวงตาของเถียนกุ้ยจือกวาดไปทางนอกบ้านในบ้านเปลี่ยนไปมาอยู่หนึ่งรอบ คิดจะค้นพบอะไรบางอย่างในนั้น
เจินจูที่ยืนอยู่ข้างหลังหวังซื่อ มองสายตาของเถียนกุ้ยจือที่วอกแวกไปมา คิดปีติยินดีในใจ เพราะเนื้อตากแห้งกับกุนเชียงในลานบ้านล้วนผึ่งลมแห้งพอใช้ได้แล้ว จึงเอาแขวนไว้ในบ้าน หากว่าให้นางเห็นเข้า คงไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องจัดลำดับตอบคำถามก่อนหลังเป็แน่
“กุ้ยจือ ตามที่เ้ากล่าวเช่นนี้ ปีที่แล้วบ้านเ้าก็สร้างบ้านมุงหลังคากระเบื้องใหม่สองหลัง มิใช่ว่ามีผู้สูงศักดิ์ช่วยเหลือหรือ หมู่บ้านวั้งหลินที่สามารถสร้างบ้านมุงหลังคากระเบื้องได้ใหญ่โตมีไม่มากนะ” หวังซื่อเอาห่าะุมุ่งไปทางเถียนกุ้ยจือ เถียนกุ้ยจือผู้นี้เห็นผู้อื่นดีกว่าไม่ได้เป็ที่สุด หากในหมู่บ้านครอบครัวผู้ใดใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งมักมีคำวิจารณ์ด้านลบลับหลังเสมอ อิจฉาที่หนึ่ง บุคลิกประจำตัวชวนให้คนรังเกียจจริงๆ
“เอ๊ะ นี่เหมือนกันได้ที่ไหน นั่นเป็เหล่าเ้าบ้านข้าเก็บเงินอย่างยากลำบากมาหลายปีถึงจะพอปลูกบ้านได้ อีกอย่างยังมีหนี้สินที่ยังชดใช้คืนไม่หมดเลย” ชายนามว่าจ้าวป่านเติ้งสามีของเถียนกุ้ยจือเป็คนสกุลจ้าวในหมู่บ้าน ที่บ้านมีญาติพี่น้องมากมาย บ้านใหม่ของนางที่ปลูกขึ้นมาได้ก็เป็เงินที่ยืมมาส่วนหนึ่ง
“เหตุใดไม่เหมือน? บ้านผู้ใดไม่ทำงานสะสมเงินด้วยความยากลำบากกัน เงินนี่สามารถร่วงลงมาจากฟ้าได้หรือ?” หวังซื่อโต้แย้งทันที
“บ้านท่านสะสมเงินจากที่ใดกัน? เผยข่าวคราวแก่ทุกคนสักหน่อยเถิด หลายปีมานี้ต่างก็ยากจน ข้าวล้วนเกือบไม่มีให้ได้ทาน ตอนฉลองปีใหม่ปีที่แล้ว หลานสาวสองคนบ้านท่านแม้แต่เสื้อผ้าชุดใหม่ก็ไม่ได้ตัด ปีนี้เพิ่งจะเข้าหน้าหนาว เสื้อผ้าใหม่ของชุ่ยจูกับเจินจูผู้นี้ก็สวมติดกายแล้ว ขุดเห็ดหลินจือ โสมหรือล่าเสือกับหมีดำหรือ? เหตุใดจึงร่ำรวยขึ้นมากะทันหันเล่า?” เถียนกุ้ยจือสอบถามติดต่อกันเป็พวง นางทราบว่าบ้านบิดามารดาของหวังซื่อเป็ครอบครัวนายพราน ตามความคิดนางแล้ว จู่ๆ สามารถมีเงินเหลือซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้หลานสาวสองคนได้ จะต้องเรียนรู้ความสามารถการล่าสัตว์มาเป็แน่ จึงสามารถร่ำรวยขึ้นและหาเงินได้รวดเร็วเช่นนี้
ชาวไร่ชาวนาที่รุมล้อมอยู่ด้านข้างกระซิบกระซาบ ต่างก็รู้สึกอยากดูกายกรรม [1] หากว่าเถียนกุ้ยจือสามารถไขความลับในการหาเงินของสกุลหูได้ก็ยิ่งดี
ความเห็นของชาวไร่ชาวนาข้างหลัง เถียนกุ้ยจือฟังเข้าในหู ก็เลิกคิ้วแสดงออกว่าลำพองใจขึ้นไปอีก นางไม่กลัวว่าจะล่วงเกินสกุลหูเลยสักเพียงนิด สกุลหูในหมู่บ้านวั้งหลินแล้วนับเป็เพียงครอบครัวที่ต่อสู้ดิ้นรนอยู่บนความยากจน ที่บ้านไม่เพียงยากจนแต่คนยังน้อยอีกด้วย ไม่มีอันใดให้ต้องกลัวเลยสักนิดเดียว ถือว่าตอนนี้หาเงินได้จำนวนหนึ่งแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือ แม้นายพรานจะเป็อาชีพที่ดีแต่นายพรานที่ตายในเขาลึกก็มีมากมายนัก
เจินจูมองเถียนกุ้ยจือด้วยความแปลกใจ ผู้หญิงคนนี้สมองพังแล้วหรือ? ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าวิ่งมาเที่ยววิพากษ์วิจารณ์อย่างอยู่ไม่สุขถึงบ้านผู้อื่นแล้ว ยังซักถามข้อสงสัยแหล่งที่มาของเงินบ้านผู้อื่นออกมาตรงๆ อีก
หวังซื่อใบหน้าครึ้มถลึงตาใส่ แล้วยิ้มเย็นๆ “สกุลเหล่าหูของข้าจะยากจนหรือไม่ ร่ำรวยขึ้นหรือไม่ เ้าเพียงคนนอกไม่รู้สึกว่าก้าวก่ายเกินไปหรือ? เถียนกุ้ยจือ เ้าว่างงานเกินไปหรือไม่ ้าให้ข้าไปบ้านเ้าทักทายกับป่านเติ้งเสียหน่อยไหม ข้าแนะนำให้เ้าคอยจับผิดเื่ของผู้อื่นให้น้อยลงหน่อย แล้วจัดการเื่ของครอบครัวเ้าเองให้ดีเถิด”
กล่าวจบ ชี้ไปทางถนนใหญ่ “ประตูบ้านข้าคับแคบ พวกเ้าร่างใหญ่ ไม่เชิญให้อยู่ต่อแล้ว”
หวังซื่อหมุนกายกลับเข้าบ้านด้วยตนเอง ไม่ให้ความสนใจกับคนว่างงานที่อยู่ข้างนอกอีก
เถียนกุ้ยจือกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถลึงตาใส่ประตูบ้านครอบครัวหูที่ปิดไว้แน่นด้วยความโกรธแค้น ถ่มน้ำลายออกจากปาก แล้วจึงพาบุตรสาวเดินจากไป
เมื่อไม่มีเื่สนุกครึกครื้น ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันจากไป
หลายวันมานี้สภาพจิตใจหลี่ซื่อค่อนข้างดี พูดไม่ได้มาสิบกว่าปีแล้ว ยังคิดว่าจะเป็เช่นนี้ชั่วชีวิต กลับไม่เคยคิดเลย ว่ามันจะดีขึ้นได้เอง
นึกถึงเมื่อก่อนขึ้นได้ หลังถูกบังคับให้กรอกยาใบ้ มีทั้งความกลัว การต่อสู้ดิ้นรน ความโมโหและความโศกเศร้าของตนเอง จนกระทั่งเคยคิดว่าหนึ่งหัวชนตายหนึ่งจบร้อยเสร็จสิ้น [2] แต่ในที่สุดไม่ได้ตัดสินใจลงมือ
ใช้ชีวิตถูไถไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดถึงวันข้างหน้า เวลาผ่านไปหนึ่งวันนับหนึ่งวัน หากไม่ใช่ว่าได้พบกับแม่ลูกสกุลหูที่ใจดี ตนเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าร่างกายตนจะฝังเป็ศพอยู่แห่งใดแล้ว
หลี่ซื่อมองบุตรสาวที่นั่งยองๆ อยู่บนพื้นช่วยก่อไฟด้วยความอ่อนโยน ในใจเต็มไปด้วยความชื่นชม ์ให้บุตรชายบุตรสาวที่รู้ความและเชื่อฟังกับนางคู่หนึ่ง อีกทั้งให้นางสามารถเปิดปากพูดจาได้อีกครั้ง ในใจนางเพียงพอใจในสิ่งที่มีแล้ว
“ท่านแม่ น้ำเดือดแล้ว” เจินจูเงยหน้าขึ้นเตือนหลี่ซื่อ
“โอ้…อื้ม” หลี่ซื่อปรับสภาพจิตใจให้เรียบร้อย เื่ที่ต้องทำในตอนเช้ายังอีกเยอะ ต้องเร่งมือให้ไวหน่อย
ช่วยหลี่ซื่อจุดไฟได้สักพัก เจินจูจึงประคองน้ำร้อนหนึ่งกะละมังไปห้องของหลัวจิ่ง
“ยู่เซิง ล้างหน้า”
“อื้ม ขอบคุณ”
“รอครั้งหน้าตอนไปตลาด จะซื้อแปรงสีฟันให้เ้าด้ามหนึ่ง”
“… ขอบคุณ”
“คาดว่าสองวันนี้แหละ เ้ามีอันใดต้องใช้หรือไม่ คิดได้แล้วรีบบอกเล่า”
“… ทราบแล้ว”
เจินจูมองซ้ายขวาเล็กน้อย “เสี่ยวเฮยไปไหนอีกแล้ว?”
“… เมื่อคืนมันคาบหนูหนึ่งตัวกลับมา” หลัวจิ่งกล่าวเสียงกลัดกลุ้ม
“หนู!” เสียงเจินจูสูงขึ้น สังเกตบริเวณใกล้เคียงอย่างละเอียดด้วยความตื่นตัว “มันกินไปแล้วหรือหายไปไหนแล้ว?”
“มันไม่กิน จับมาเล่นอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นข้าให้มันโยนทิ้งไปแล้ว” เสี่ยวเฮยแกล้งขู่หนูอย่างสนุกสนานจนหวิดตาย แต่ไม่ได้กัดให้ตาย หลัวจิ่งมองหนูที่เป็อัมพาตอยู่บนพื้นอย่างพูดไม่ออก หลังจากนั้นจึงให้เสี่ยวเฮยเอาหนูไปทิ้งไกลๆ หน่อย เสี่ยวเฮยเหลือบมองหลัวจิ่งแวบหนึ่ง แล้วจึงคาบหนูออกไปอย่างเนือยๆ
เสี่ยวเฮยแมวตัวนี้จิตใจประหลาดนัก ครอบครัวหูคนมากมายเช่นนี้ นอกจากเชื่อฟังเจินจูแล้ว มีเพียงผิงอันที่สามารถอุ้มมันเล่นได้ ส่วนผู้อื่น มันล้วนเมินเฉยใส่ ใบหน้าท่าทางเ็ายิ่ง
“เ้าเสี่ยวเฮยน่ารังเกียจนี่ อีกเดี๋ยวกลับมาต้องจัดการมันหน่อยแล้ว หนูสกปรกเช่นนี้ยังเอามาเล่น หากว่าติดเชื้อโรคที่ิัมันจะคันได้” แต่ไหนแต่ไรมาหนูเป็ตัวนำพาเชื้อโรคต่างๆ เช่น กาฬโรค โรคห่า แม้กระทั่งโรคพิษสุนัขบ้า เจินจูย่นหัวคิ้วขึ้น ดูท่าว่าอีกเดี๋ยวต้องให้บทเรียนหมวดวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเชื้อโรคที่แพร่ระบาดของหนูกับเสี่ยวเฮยหน่อยแล้ว
ขณะกล่าว เสียง “เหมียว” ดังสะท้อนมาจากหน้าประตู มองตามเสียงไป เงาดำเล็กๆ ก็วิ่งเข้ามาถูไถที่ขากางเกงของเจินจูแล้ว ถือโอกาสคลอเคลียไม่หยุด
“Stop! ห้ามถูข้า” เจินจูรีบย้ายเท้าออกไป เริ่มรูปแบบการสอนด้วยการแสดงสีหน้ารังเกียจ “เมื่อคืนเ้าจับหนูมาเล่นหรือ? เ้ารู้หรือไม่ว่าบนตัวหนูนำพาเชื้อโรคมากเพียงใด บลาๆ…”
ผ่านไปสิบห้านาที เสี่ยวเฮยก้มหน้ายอมรับผิดร้องอย่างเหี่ยวเฉา เจินจูจึงหยุดการตำหนิไว้
“ไป ไปอาบน้ำ อาบน้ำเสร็จต้องทำตัวดีๆ หน่อย หากทำสกปรกอีกจะโยนเ้าลงไปในโคลน ให้เ้าสกปรกสามวันห้าคืน” ขู่แล้วพาเสี่ยวเฮยออกจากห้องไป
หลัวจิ่งที่นั่งอยู่ด้านข้าง ภายใต้อารมณ์ที่สงบเงียบ ในใจกลับปั่นป่วนไม่หยุด แมวนี่เข้าใจคำพูดของมนุษย์จริงๆ ด้วย ถูกดุเสียจนท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีแมวที่มีสติปัญญาเข้าใจคำพูดของมนุษย์เช่นนี้ โดยเฉพาะคำพูดของเจินจูเมื่อครู่หลัวจิ่งไม่นึกเลยว่าจะฟังไม่เข้าใจอย่างมาก สือตั้ว (Stop) ? เชื้อโรค? โรคพิษสุนัขบ้า? ทั้งหมดเหล่านี้คืออันใด?
หลัวจิ่งที่อยู่ทางนี้ขมวดหัวคิ้วพันกันอุตลุดกับตนเอง ส่วนเจินจูที่อยู่ด้านนั้นจับเสี่ยวเฮยไว้และถูั้แ่หัวจรดหางอยู่พักหนึ่ง ขนแมวเปียกลู่ลงติดไปกับตัว ชั่วพริบตาเดียวเสี่ยวเฮยก็ผอมลงไปครึ่งหนึ่ง “ฮ่า ฮ่า ดู เ้าหุ่นดีเพียงใด พอน้ำอยู่บนตัวก็ลดความอ้วนได้สำเร็จเลย”
เจินจูคว้าเสี่ยวเฮยมาจับหนวดแมวไว้แน่นอย่างเป็สุขยิ่งเพื่อแกล้งหยอกมัน เสี่ยวเฮยประท้วงหนึ่งเสียง “เหมียว”
อากาศหนาวมาก หลังจากเจินจูราดน้ำอุ่นหลายรอบ ก็ใช้เสื้อผ้าเก่าห่อเสี่ยวเฮยไว้เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงอุ้มเสี่ยวเฮยกลับมาที่ปุ้งกี๋ เช็ดขนให้มันจนแห้งอย่างพิถีพิถัน
หลัวจิ่งหรี่ตามองเสี่ยวเฮยด้วยความอิจฉา ฟ้ารู้ว่าเขาไม่ได้อาบน้ำมานานเท่าไรแล้ว นานจนเขารู้สึกว่าบนร่างกายตนเองสามารถถูขี้ไคลออกมาได้
แม้บางครั้งจะใช้น้ำเช็ดตัว แต่เทียบกับการอาบน้ำจริงๆ ยังแตกต่างกันมากนัก
เชิงอรรถ
[1] กายกรรม ในที่นี้หมายถึง การรอดูเื่สนุกๆ ซึ่งเป็การมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
[2] หนึ่งหัวชนตาย มีสองความหมาย หนึ่ง คือใช้แสดงเจตจำนงอันแน่วแน่ เป็คำที่ใช้สาปแช่งตัวเองในคำสาบาน สอง คือแสดงความโกรธ ความผิดหวัง หรือความละอายใจอย่างสุดโต่ง ส่วน หนึ่งจบร้อยเสร็จสิ้น หมายถึง หากเสร็จสิ้นเื่สำคัญหลักๆ ไปแล้ว เื่เกี่ยวข้องที่เหลืออีกมากมายก็จะจบสิ้นตามไปด้วย ดังนั้น “หนึ่งหัวชนตายหนึ่งจบร้อยเสร็จสิ้น” ในนิยายจึงหมายความว่า หลี่ซื่อคิดจะยอมแลกชีวิตของตนเองเพื่อให้เื่ทั้งหมดจบลง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้