สวีหว่านเอ๋อร์แลดูเอาอกเอาใจอย่างชัดเจน ไม่ว่าผู้ใดล้วนมองออก ลู่ซิวหรงไม่พอใจการประจบประแจงของสวีหว่านเอ๋อร์ ทว่านางเองกลับไม่กล้าจะทำตัวเฉยเมยกับเหนียนยวี่
“คุณหนูรอง แดดร้อนเช่นนี้ มิสู้ไปนั่งในเรือนข้า คุณหนูรองว่าอย่างไร?” ลู่ซิวหรงเป็คนเข้าสังคมเก่งมาั้แ่ไหนแต่ไร เหนียนยวี่ในยามนี้อาศัยอยู่ที่จวนองค์หญิงใหญ่ ต้องเป็ที่รักใคร่ขององค์หญิงใหญ่อย่างยิ่ง แม้นนางจะพึ่งพิงท่านหญิงอิ้งเสวี่ยอยู่ ทว่าหากนางเอาใจเหนียนยวี่อย่างเหมาะสม ก็จะมีแต่คำว่าดีต่อนางเท่านั้น
อย่างไรเสีย หลังจากเกิดเื่กับเหนียนอีหลานคราก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเหนียนยวี่กับหนานกงเยวี่ย ในใจของพวกนางต่างเข้าใจเป็อย่างดี
“นั่งในเรือนเ้ามีดีอันใด? คุณหนูรอง ไปเรือนข้าเถิด เมื่อวานนายท่านส่งคนมาทำน้ำแข็งวางไว้ในห้องข้า เย็นสบายนัก” สวีหว่านเอ๋อร์กล่าวอย่างเร่งรีบ ดูเหมือนเพราะถ้อยคำเชื้อเชิญของลู่ซิวหรง ในใจนางจึงกังวลอยู่บ้าง
เหนียนยวี่เฝ้ามองท่าทีที่แสดงออกมาอย่างดีของคนทั้งสอง เข้าใจเจตนาของพวกนาง เพียงแต่...
“ได้ยินว่า ดอกบัวในซิ่งฟางย่วนกำลังบานสะพรั่ง อนุสาม เหนียนยวี่พอจะมีวาสนาเข้าไปดูได้หรือไม่?” เหนียนยวี่เอ่ยปาก สายตามองตกไปยังเซวียอวี่โหรวที่ยืนอยู่ด้านหลังของอนุทั้งสอง
ไม่เพียงแต่เซวียอวี่โหรวเท่านั้น ลู่ซิวหรงและสวีหว่านเอ๋อร์ยังต่างตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้สติ
"ได้ ย่อมได้แน่นอน คุณหนูรองเชิญเถิด" เซวียอวี่โหรวพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทีอ่อนโยนสุภาพเยือกเย็นเช่นนั้นมิได้เติมแต่งเกินไป
เหนียนยวี่เดินตามเซวียอวี่โหรวออกไป ลู่ซิวหรงและสวีหว่านเอ๋อร์ด้านหลังยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองแผ่นหลังของพวกนาง ผ่านไปสักพักใหญ่ จึงถอนสายตากลับคืน
“เหตุใดคุณหนูรองผู้นี้ จึงอยากจะไปเรือนพี่สามผู้ไม่ชอบพูดจานั่นได้?” สวีหว่านเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่พอใจ ยากจะปกปิดความรู้สึกหดหู่
ทว่าลู่ซิวหรงกลับเลิกคิ้วอย่างสนใจ “น้องสวีเอ๋ยน้องสวี ไม่แน่ว่า ในสายตาของคุณหนูรอง พี่สามผู้ไม่ชอบพูดจานั่นจะดีกว่าอนุสี่ที่งดงามอ่อนเยาว์เช่นเ้าก็ได้ ดูมีน้ำหนักมากกว่าเยอะ ฮ่าๆ...”
ครั้นเอ่ยจบก็หัวเราะยกยิ้มอย่างงดงาม พลางสะบัดพัด เยื้องย่างบิดสะโพก ฮัมเพลงจากไป
“เ้า…” สวีหว่านเอ๋อร์กระทืบเท้า เต็มไปด้วยความรู้สึกคับอกคับใจ มองไปยังทิศทางของซิ่งฟางย่วน ไม่ว่าอย่างไรสีหน้าก็มิอาจดีขึ้นได้ “เซวียอวี่โหรว? หรือเซวียอวี่โหรวจะลอบส่งอะไรดีๆ ให้กับคุณหนูรอง? หึ นังสตรีต่ำช้า เป็แค่ไก่ที่วางไข่ไม่ได้ มีโอกาสจึงหวังเกาะติดคุณหนูรอง แล้วอย่างไรเล่า? สุดท้ายอย่างไรก็มิใช่มารดาผู้ให้กำเนิดคุณหนูรอง แม้คุณหนูรองจะรุ่งโรจน์เฟื่องฟูอย่างรวดเร็ว ผลประโยชน์ก็ไม่ตกอยู่บนหัวของนางสตรีเฒ่าชั้นต่ำนั่นอย่างแน่นอน”
สวีหว่านเอ๋อร์พึมพำด่าทออย่างแ่เบา ยกมือลูบหน้าท้อง หากนางให้กำเนิดบุตรชายได้ นางก็ไม่ต้องคิดพยายามเอาอกเอาใจคนอื่น ยามนี้เหนียนเฉิงมีสภาพเวทนาเยี่ยงนั้น เดิมทีก็ขาเป๋ ยามนี้ยิ่งไร้ค่าขึ้นกว่าเดิม หากนางมีบุตรชาย ก็จะมีโอกาสได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สินของจวนเหนียน ยามนั้นนางก็ไม่จำเป็ต้องอ่านสีหน้าผู้ใดอีก!
ทว่าเด็ก...
อยู่ในจวนมาหลายปีแล้ว นางกลับไม่มีข่าวคราวว่าจะตั้งครรภ์เลย!
สวีหว่านเอ๋อร์ถอนหายใจ ครั้นนึกอะไรได้ สายตาของนางพลันเฉียบแหลมขึ้นทันใด
ไม่ได้ นางต้องหาใครสักคนมาตรวจดูว่า เหตุใดถึงไม่มีข่าวคราวจากท้องของนางเลย
ด้านหนึ่ง สวีหว่านเอ๋อร์กำลังคิดมากเื่การตั้งครรภ์ทายาทในเร็ววัน อีกด้านหนึ่ง เหนียนยวี่กับเซวียอวี่โหรวเข้าไปในซิ่งฟางย่วน ในซิ่งฟางย่วนนอกจากดอกบัวและใบบัวต้นใหญ่ในสระบัว ก็ไม่มีทิวทัศน์ใดอีกแล้ว ทุกที่ในลานสวยงาม เรียบง่ายและสงบเงียบ ไม่มีแม้แต่สาวใช้คอยปรนนิบัติ
“ท่านพ่อ...ไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้วหรือ?” ใต้ร่มไม้ข้างสระบัว เหนียนยวี่และเซวียอวี่โหรวนั่งเคียงข้างกัน คั่นกลางด้วยโต๊ะหิน ซึ่งมีของว่างและน้ำชาตั้งอยู่บนโต๊ะ
มือของเซวียอวี่โหรวที่กำลังถือถ้วยชาสั่นเทา ครู่หนึ่งรอยยิ้มขมขื่นพลันปรากฏที่มุมปาก “ทำให้คุณหนูรองพบเจอเื่น่าขันเสียแล้ว ในยามนี้ข้าอายุเยอะแล้ว อยู่ในจวนเหนียนไร้ซึ่งอำนาจหนุนหลังเหมือนฮูหยิน ไร้ซึ่งความสามารถเหมือนอนุสอง ไร้ซึ่งความงดงามเยาว์วัยเหมือนอนุสี่ ไม่มีทายาทสืบสกุลให้นายท่าน เป็เพียงคนไร้ค่าผู้หนึ่ง นายท่านให้ข้าอยู่ในซิ่งฟางย่วน มีที่พักอาศัย เสพสุขกับความมั่นคงปลอดภัยไปครึ่งค่อนชีวิต ข้าก็พึงพอใจพอแล้ว”
พึงพอใจพอแล้วงั้นหรือ?
เหนียนยวี่หวนนึกถึงชาติก่อน อนุสามในความทรงจำของนางปรากฏตัวออกมาน้อยมาก ตลอดทั้งปีที่นางนำทัพอยู่ข้างนอก ทุกครั้งที่กลับมาเมืองชุ่นเทียน เหนียนเย่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับในจวนให้ แทบทุกครา อนุสามจะนิ่งเงียบที่สุด เป็คนที่ไม่สะดุดตาที่สุด มีนางมาเพิ่มก็เหมือนไม่มีเพิ่ม ขาดนางไปหนึ่งก็เหมือนไม่ขาด
“วันนั้น ข้าได้ยินอนุสามเอ่ยถึงท่านแม่...” เหนียนยวี่กล่าว ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ นางรู้เื่ของมารดาผู้ให้กำเนิดน้อยมาก รู้เพียงว่า ั้แ่ตนจำความได้ หากมีใครเอ่ยถึงมารดาของนาง ก็จะมีคนเข้ามาห้าม ดูเหมือนเป็สิ่งต้องห้ามในจวนเหนียน
แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนยังแสดงความไม่ชอบใจต่อมารดาผู้ให้กำเนิดนาง
ครั้นได้ยินเหนียนยวี่เอ่ยถึงมารดาผู้ให้กำเนิดตนเอง สีหน้าแววตาของเซวียอวี่โหรวพลันสั่นไหวแปลกประหลาด เหนียนยวี่เห็นสิ่งนั้นในสายตา ยกยิ้มริมฝีปาก “หากอนุสามหวั่นเกรง ก็ทำเป็ว่า เมื่อครู่นี้เหนียนยวี่มิเคยกล่าวสิ่งใด”
เหนียนยวี่ค่อยๆ จิบชา เซวียอวี่โหรวกระตุกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างพะอืดพะอม “คุณหนูรองอย่าเข้าใจผิดไปเลย บางทีเพราะนานมากแล้วที่ไม่เคยได้เอ่ยถึงมารดาของคุณหนู จึงรู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อยเท่านั้น ที่นี่มีเพียงคุณหนูกับข้าสองคน ไม่มีอะไรต้องหวั่นเกรง”
เหนียนยวี่ชำเลืองมองเซวียอวี่โหรว เซวียอวี่โหรวทอดตามองดอกบัวที่บานสะพรั่งเต็มที่ตรงหน้า สายตาหวนนึกถึงอดีตอันยาวนาน จากนั้นเสียงของนางพลันเอ่ยต่อไปว่า “ยามนั้น ข้าเพิ่งเข้าจวน มารดาของท่านยังเป็ฮูหยินจวนเหนียน”
“ฮูหยิน? ท่านกำลังบอกว่า เป็ฮูหยินตามกฎหมายหรือ?”
แม้แต่ในใจของเหนียนยวี่ ยังประหลาดใจไม่น้อยกับข้อมูลนี้
“ใช่ เป็ฮูหยินตามกฎหมาย” เซวียอวี่โหรวเบนสายตาไปสบตาเหนียนยวี่ “นางเป็คนจิตใจดี สุภาพอ่อนโยนถ่อมตัว และไม่เคยสร้างเื่ลำบากให้กับผู้ใดเลย ทว่าน่าเสียดาย มารดาของท่าน เป็เพราะเวลาผ่านมานานแล้ว นางกลับยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ จึงต้องรับเพิ่ม...”
เซวียอวี่โหรวเอ่ยถึงตรงนี้ ดูจะไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา ทว่าคนฉลาดเช่นเหนียนยวี่ เพียงอาศัยข้อมูลบางส่วน นางก็สามารถคาดเดาเื่ราวบางอย่างออกได้แล้ว
“ผ่านมานานแล้ว ท่านแม่กลับยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นจึงรับอนุภรรยาเพิ่มเข้ามาในจวนอีก หนานกงเยวี่ยเป็คุณหนูใหญ่ของสกุลหนานกง เย่อหยิ่งยืนเหนือผู้คนมาโดยตลอด จะยอมเป็อนุภรรยาได้อย่างไร?” เหนียนยวี่หัวเราะแ่เบา นางจะต้องออกอุบายใช้ทุกวิถีทาง เพื่อยึดตำแหน่งฮูหยินตามกฎหมายแน่ ยิ่งกว่านั้น เื้ันางยังมีอิทธิพลของตระกูลหนานกงคอยหนุน แม้แต่เหนียนเย่าคงมีความสุขที่ได้เห็นสิ่งต่างๆ ดำเนินไปได้ด้วยดี จึงตัดหางปล่อยวัด[1]
“คุณหนูรอง ฮูหยินไม่อยากเห็นท่าน เกรงว่าคงเป็เพราะเื่ของมารดาของคุณหนู” เซวียอวี่โหรวทอดถอนหายใจ “ข้ากับมารดาของท่านเป็มิตรสหายที่ดีต่อกัน ในจวนเหนียนแห่งนี้ ความสัมพันธ์ของข้ากับนางดุจดั่งพี่สาวน้องสาว สิบกว่าปีมานี้ การเห็นคุณหนูรองถูกฮูหยินทรมานเช่นนั้น ข้ากลับไม่กล้ายื่นมือออกไปช่วย จิตใจข้ารู้สึกทรมานจากความละอายยิ่ง คุณหนูรอง ท่านคงรู้จักหนานกงเยวี่ยดี นาง...”
เซวียอวี่โหรวพลันหยุดชะงัก ขมวดคิ้วแน่น ั์ตาทอประกายความโกรธแค้น “นางโเี้อำมหิต ไม่ว่าสิ่งใดล้วนทำได้ทุกอย่าง”
เหนียนยวี่ย่อมรู้แน่นอนว่าหนานกงเยวี่ยโเี้อำมหิต ทว่าความโกรธแค้นในดวงตาคู่นั้นของเซวียอวี่โหรว...
“ไม่ว่าสิ่งใดล้วนทำได้ทุกอย่างหรือ? อนุสองเคยได้รับความทุกข์ทรมานจากอุบายนาง?” เหนียนยวี่ย่นคิ้ว ค่อยๆ เอ่ยปาก
ดูเหมือนสิ่งที่อดกลั้นอยู่ในใจมาโดยตลอดพลันะเิออกมา เซวียอวี่โหรวโพล่งปาก “ย่อมต้องเคยได้รับความทุกข์ทรมาน ย่อมต้องเคยได้รับความทุกข์ทรมานแน่นอน หากมิใช่เพราะนาง ข้า...”
เซวียอวี่โหรวหยุดปากลงทันใด ครั้นตระหนักอะไรได้ พลันสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ เหนียนยวี่เห็นทุกสิ่งในสายตา รู้ว่าตนเองอยากเกลี้ยกล่อมให้เซวียอวี่โหรวพูด แต่ก็เกลี้ยกล่อมไม่ออก ทว่าเกี่ยวกับเื่มารดาของนาง ในเมื่อเซวียอวี่โหรวเอ่ยปากออกมาแล้ว ย่อมไม่หลบเลี่ยงแน่นอน
[1] ตัดหางปล่อยวัด หมายถึง ตัดขาดไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่ช่วยเหลืออีกต่อไป