ภายในห้วงจิตเหนือทะเลลมปราณของหนิงอ้ายพลันปรากฏเป็เงาร่างของราชันย์วิหคอัคคีมายาขนาดเท่าตัวจริงที่มีเปลงเพลิงสีแดงลุกท่วมไปทั้งตัวที่เเสดงอาการดุร้ายอาฆาตพร้อมที่จะเข้ามาโจมตีเขาในทุกเมื่อ เเต่ชั่วพริบตาเดียวเงาร่างของอสรพิษเหมันต์าใหญ่โตน่าเกรงขามที่แผ่กลิ่นอายความเย็นเยือกออกมาโดยรอบพลันปรากฎขึ้น เงาร่างของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหา์ก็ปรากฏอยู่ตรงด้านข้าง
แม้ว่าตอนนี้จะมีรูปลักษณ์เป็เพียงหงส์แดงอัคคีสุริยะมหา์ตัวน้อยเเต่ทว่าเปลวเพลิงสุริยะธาตุอันเป็ต้นกำเนิดเเห่งธาตุไฟบริสุทธิ์ที่เเผ่พุ่งออกมารอบตัวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันพิศดารที่ไม่สามารถดูเเคลนอันใดได้
ไม่ต้องให้หนิงอ้ายเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้นเงาร่างของสัตว์อสูรทั้งสองนั้นต่างพุ่งเข้าโจมตีและกัดกินจิตอาฆาตของอสูรราชันย์วิหคอัคคีมายาในทันที เเสงสีฟ้าอันเกิดจากอสรพิษเหมันต์า เเสงสีเเดงทองอันเกิดจากพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหา์ได้ประสานหล่อหลอมเป็กรงกักขังสามสีขนาดใหญ่มีดวงจิตของราชันย์วิหคอัคคีมายาไว้ด้านใน เปลวเพลิงแห่งอัคคีและพิษเหมันต์ต่างเข้าโรมรันโจมตีอย่างต่อเนื่อง
เพียงชั่วครู่เดียวดวงจิตอาฆาตของราชันย์วิหคอัคคีมายาได้แตกซ่านสลายหายไป ท้ายที่สุดเหลือเพียงดวงไฟสีแดงสดใสที่อยู่เคียงข้างดวงจิตสีฟ้าและดวงจิตสีเเดงทองที่ลอยอยู่เหนือทะเลลมปราณห้วงจิตของหนิงอ้ายอย่างสงบนั่นเอง
หนิงอ้ายรับรู้ได้ว่าอย่างไรแล้วคงต้องอาศัยเวลาไม่น้อยในการพักฟื้นให้ดวงจิตของราชันย์วิหคอัคคีมายาที่พึ่งถูกกำจัดจิตอาฆาตไปนั้นกลับมาแกร่งกล้าเช่นเดิม แน่นอนว่าด้วยกลิ่นอายอันล้ำลึกบริสุทธ์ของอสรพิษเหมันต์าและพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหา์ ที่ดวงจิตของราชันย์วิหคอัคคีมายาได้ดูดกลืนไปอย่างช้า ๆ ในตอนนี้ ย่อมทำให้หลังจากนี้อานุภาพของดวงจิตราชันย์วิหคอัคคีมายาดังกล่าวนั้นหากถูกเรียกออกมาใช้ย่อมทวีความเเข็งแกร่งขึ้นหลายเท่ากว่าความสามารถของร่างเดิม
หลังจากทำการดูดซับประสานกระดูกิญญาเสร็จสิ้น เขาััได้ว่าตอนนี้ระดับพลังิญญาของเข้าได้เลื่อนขั้นอยู่ในระดับจักรพรรดิิญญาขั้นสูง่กลางเเล้ว ทำเอาหนิงอ้ายเองก็รู้สึก ตกตะลึงในการเลื่อนระดับที่รวดเร็วเช่นนี้ สำหรับผลลัพธ์ที่ทุกคนตั้งใจให้เกิดขึ้นในการดูดซับประสานร่างกายกับกระดูกิญญาครั้งนี้ต่างเป็ไปตามที่ทุกคนได้คาดการณ์ไว้และเป็ไปด้วยดี
หนิงอ้ายได้ทดสอบพลังิญญาของตนออกมาโดยรอบส่วนด้านหลังของเขาในขณะนี้พลันปรากฏเป็วงเเหวนเวทย์สีเหลืองเข้มสามชั้น อันเป็สัญลักษณ์ของผู้ฝึกตนพลังิญญาระดับจักรพรรดิิญญาขั้นสูง ที่ส่วนด้านนอกวงเเหวนนั้นมีรัศมีเเสงสีฟ้าของอสูรอสรพิษเหมันต์า ด้านนอกสุดเป็รัศมีสีแดงของอสูรวิหคอัสนีานั่นเอง
เมื่อหนิงไม่ได้รีดเค้นใช้พลังของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหา์ ดังนั้นกลิ่นอายของวงเเหวนเวทย์ที่เเผ่ออกมานั้นจึงเป็เพียงััอันเเข็งแกร่งของกระดูกิญญาที่มีอายุมากกว่าหนึ่งหมื่นปี อันเกิดจากการดูดซับประสานเข้ากับร่างกายไปเท่านั้นเอง
เเต่ถึงอย่างนั้นหนิงอ้ายเองพอจะคาดเดาได้ว่าด้วยเพราะร่างกายของเขาในตอนนี้ที่สามารถปลุกพลังสายเืพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหา์ได้สำเร็จ หากมีการดูดซับหรือประสานกระดูกิญญาเข้าไปในร่างกายของเขานั้น พลังในส่วนหนึ่งย่อมถูกแปรเปลี่ยนเข้าสู่ทะเลลมปราณที่ส่งผลต่อการเลื่อนระดับพลังิญญาเฉกเช่นครั้งนี้
เมื่อสำรวจตัวเองจนแน่ใจว่าไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดหนิงอ้ายจึงล้มตัวนอนลงด้วยความเหนื่อยล้าด้วยเพราะว่าในอีกสองวันเขาจะต้องเดินทางไปยังสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เเล้ว ดังนั้นแม้ร่างกายของผู้ฝึกตนจะเเข็งแกร่งมากเเค่ไหนเขาก็คิดเสมอว่าการพักผ่อนนั้นย่อมเป็สิ่งที่ดีที่สุด...
วันเวลาที่เหลือนั้นหนิงอ้ายมักจะฝึกฝนตนเองกับลู่ซีตรงลานฝึกหลังเรือนหลักตระกูลหวังบางครั้งท่านตาหวังจิ่งหลงมักจะเข้ามา ชี้แนะและฝึกฝนพวกเขาเพิ่มเติมเพื่อให้พวกเขาทั้งสองคนนั้นพร้อมมากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งหนิงอ้ายนั้นตั้งใจฝึกฝนเคล็ดวิชาต่างๆ ที่มีอยู่ให้เชี่ยวชาญมากที่สุดด้วยความตั้งใจเพียรพยายาม
กล่าวได้ว่าเป็นิสัยของเขาเองและหนิงอ้ายคนเก่าที่เหมือนกันยิ่งนักเขานั้นไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคใดใดทั้งสิ้น ด้วยชีวิตที่ผ่านมาได้สอนให้เขาได้รู้ว่าชีวิตของคนเราไม่ควรที่จะหยุดท้อถอยให้กับอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามา เพราะนั่นคือเเบบทดสอบที่จะให้เขานั้นก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง
่เย็นของวันนั้นหนิงอ้ายกับลู่ซีได้มุ่งตรงไปยังห้องโถงหลักของเรือนใหญ่เพื่อทานสำรับอาหารพร้อมหน้ากับเหล่าผู้าุโสำคัญในตระกูล ท่านตาท่านยาย มารดาของตนรวมไปถึงลู่ซี สำหรับท่านลุงจางปินและท่านน้าหรันหรูนั้น ท่านเเม่เยว่ซินเล่าให้ฟังว่าท่านลุงจางปินได้รับการเรียกตัวกลับอย่างเร่งด่วนเนื่องจากมีเื่เกิดขึ้นในสำนัก
หนิงอ้ายไม่ได้เเปลกใจสักเท่าไหร่ด้วยเพราะเนตรเเห่ง์ที่ในตอนนี้หนิงอ้ายได้พัฒนาขอบเขตการรับรู้จึงทำให้เขานั้นรู้ถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น มื้อเย็นวันนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็งานเลี้ยงเล็ก ๆ สำหรับตระกูลหวังสายหลัก เนื่องจากในวันรุ่งขึ้นหนิงอ้ายกับลู่ซีทั้งสองคนต้องออกเดินทางจากแคว้นเต่าดำเเล้วเพื่อไปเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แล้วนั่นเอง
เช้าวันรุ่งขึ้นของกำหนดการเดินทางนั้นบ่าวในจวนต่างจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็แก่คุณชายทั้งสองอย่างมากมายเเต่ถึงอย่างนั้นก็เน้นไปที่ความสะดวกเป็หลักซึ่งส่วนมากจะเป็ข้าวสาร ของเเห้งไปเสียส่วนใหญ่ ท่านตาหวังจิ่งหลงได้ให้องครักษ์จำนวนสี่คนตามไปคุ้มกันพวกเขาทั้งสองคนอีกด้วยระหว่างการเดินทางครั้งนี้
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนทำความเคารพเหล่าผู้าุโสำคัญของตระกูลหวังที่หลายวันมานี้มีเหตุให้พบเจอกันได้ทุกวันจึงมีความสนิทสนมกันอยู่ไม่น้อยซึ่งทุกคนต่างอวยพรให้พวกเขาทั้งคู่นั้นต่างสำเร็จผลดั่งใจปรารถนา หลังจากนั้นหนิงอ้ายเละลู่ซีนั้นต่างกอดลาท่านตา ท่านยายและมารดาของตนพร้อมกับสัญญาว่าจะส่งจดหมายกลับมาอยู่บ่อย ๆ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยองครักษ์คนหนึ่งผู้ทำหน้าที่คุมขบวนรถม้าครั้งนี้จึงเริ่มออกเดินทางในทันที ขวนรถม้าของหนิงอ้ายนั้นเมื่อออกเดินทางไปหนึ่งชั่วยามผ่านบริเวณโดยรอบที่ปรากฎเป็ผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์มีความกว้างขวางไปหลายพันลี้...
การเดินทางครั้งนี้จะถูกจำกัดด้วยระยะเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นชิดเเต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาทุกคนต่างมีความเห็นตรงกันว่าควรที่จะค่อย ๆ มุ่งเดินทางไปยังทางทิศเหนืออันเป็ที่ตั้งของศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเวลาผ่านไปได้สามชั่วยามก็ได้เวลาพลบค่ำเสียเเล้วซึ่งพวกเขาตกลงกันว่าจะพักอยู่ในป่านี้เเล้ว่เช้าค่อยเดินทางต่อไป
พรึบ!
ตู้ม!
"ทุกคนคุ้มกันคุณชายใหญ่ลู่ซีและคุณชายเล็กหนิงอ้ายอย่างสุดกำลัง!" เสียงะเิดังขึ้นโดยรอบขบวนรถม้าของพวกหนิงอ้ายทำให้ม้าของพวกเขานั้นต่างเกิดอาการใส่งเสียงร้องกันเสียงดัง
องครักษ์คนหนึ่งที่คอยควบคุมบังเหียนได้พยายามทำให้มันสงบและเลือกที่จะหยุดรถม้าเพื่อความปลอดภัยอีกทั้งยังเพิ่มระดับการป้องกันสูงสุดของขบวนรถม้าในทันที
"ในที่สุดก็อดใจรอไม่ไหวเเล้วสินะ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
"เ้ารู้นานแล้วเช่นนั้นรึว่าขบวนเดินทางของพวกเราถูกซุ่มโจมตีเช่นนี้??" ลู่ซีถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้าโดยไร้ซึ่งความกังวลใด หากว่าเขาดูไม่ผิดนั้นคล้ายกับว่าเด็กหนุ่มกำลังเฝ้ารอพบเจอความสนุกเสียอย่างนั้น
"ตั้งเเต่ออกจากจวนตระกูล ข้าได้ใช้เนตรเเห่ง์อยู่เสมอเพื่อสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดโดยรอบ หลังจากปลุกพลังสายเืได้สำเร็จตอนนี้ขอบเขตการรับรู้ของบทเวทย์ข้านั้นเพิ่มขึ้นเป็สองลี้แล้วขอรับ''
"แม้ว่าเหล่านักฆ่าพวกนี้จะมีของวิเศษระดับสูงสำหรับปกปิดตัวตนอำพรางตัวแต่ถึงอย่างนั้นด้วยจิตสังหารอ่อน ๆ ที่เล็ดลอดออกมาแม้ว่าจะถูกกดข่มเป็อย่างดีเเล้วก็ตามเเต่ข้ายังคงััได้อย่างชัดเจนขอรับ...'' หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับลู่ซีไปเพราะหลังจากที่เขานั้นทำการปลุกพลังสายเืได้สำเร็จ
"ทางฝั่งของเรามีเพียงหกคนรวมข้ากับลู่เกอ เเต่ฝั่งนั้นมีมากถึงยี่สิบคนอีกทั้งมีผู้ฝึกตนพลังิญญาระดับเทวะิญญาขั้นสูงคนหนึ่ง ระดับเทวะิญญาขั้นสามัญอีกสามคน ส่วนที่เหลือล้วนอยู่ในระดับจักรพรรดิิญญาขั้นสูงทั้งสิ้น...''
''เหล่าองครักษ์ที่ท่านตามอบหมายให้คุ้มกันให้เราในครั้งนี้ จะมีพลังิญญาระดับเทวะิญญาขั้นสูงทั้งสี่คนก็จริง เเต่ด้วยความแตกต่างของจำนวนเเล้วใช่ว่าจะรับมือได้โดยง่าย..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นให้กับลู่ซีกับหัวหน้าองครักษ์ได้รับรู้ ถึงระดับพลังิญญาของอีกฝ่ายหลังจากที่เขานั้นแผ่จิติญญาััไปโดยรอบ
"ด้วยระดับขุนนางิญญาขั้นสูงของท่านในตอนนี้นับว่าเสียเปรียบยิ่ง..." หนิงอ้ายเอ่ยกับลู่ซีด้วยความเป็ห่วง เพราะว่าในบรรดาพวกเขาทุกคนในตอนนี้มีเพียงเเค่ลู่ซีเท่านั้นที่เป็ผู้ฝึกตนระดับพลังิญญาน้อยที่สุด
"ลู่เกอไว้ใจข้านะขอรับ ท่านรั้งรออยู่ในรถม้านี้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ข้าจะออกไปจัดการพวกมันเอง!!!" หนิงอ้ายเอ่ยย้ำกับลู่ซีด้วยความเป็ห่วง ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถปฏิเสธเหตุผลที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้น เขาจึงพยักหน้าด้วยความยินยอม
ทว่าในใจกลับคิดว่าตนนี้ช่างอ่อนแอยิ่งที่ต้องให้หนิงอ้ายและผู้อื่นคอยปกป้อง ลู่ซีตั้งใจว่าหลังจากนี้เขาจะต้องฝึกให้หนักมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะปกป้องตัวเองสามารถดูเเลคนอื่นได้มากกว่านี้
"คุณชายหนิงอ้ายจักออกไปไหนขอรับ!!!" เสียงขององครักษ์ที่เฝ้าระวังอยู่บริเวณรถม้าเอ่ยขึ้นอย่างใเมื่อเห็นเด็กหนุ่พุ่งจากรถม้าอย่างรวดเร็ว
หนิงอ้ายเปิดประตูรถม้าพร้อมกับพุ่งตัวออกไปพร้อมกับเผชิญหน้าเหล่านักฆ่าในคราบของโจรป่าในทันที...
"ดูเเล้วท่านคือคุณชายหวังหนิงอ้ายกระมัง?? ข้าจักไม่อ้อมค้อมหากท่านยินยอมไปด้วยกันพวกข้าจะละเว้นพวกท่านทุกคน!!!!" ชายชุดดำที่เป็หัวหน้าในภารกิจครั้งนี้เอ่ยขึ้นอย่างถือดี
"เช่นนั้นรึ หากข้าไม่เลือกไปกับเ้าเล่า??" หนิงอ้ายถามกลับไปด้วยความยียวน
ชุดดำผู้เป็หัวหน้าส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องของตนเข้าโจมตีรถม้าในทันที
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ตู้ม!
จิตสังหารอันเข้มข้นถูกปล่อยออกมาอย่างรุนแรงด้วยพลังิญญาระดับเทวะิญญาขั้นสูง ชายชุดดำอีกสามคนต่างพุ่งเข้าหารถม้าด้วยความเกรี้ยวกราดและร่ายบทเวทย์โจมตีในทันที
อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันปราการวารีอหังการ!
ตู้ม!
ทันใดนั้นบริเวณขบวนรถม้าของหนิงอ้ายได้ปรากฎเป็เกราะป้องกันเวทย์ที่คล้ายกับม่านน้ำอันเเข็งแกร่งที่มีคลื่นน้ำหมุนวนอย่างบ้าคลั่งชวนให้ตกตะลึงเป็อย่างมาก หลังจากที่หนิงอ้ายนั้นได้การปลุกพลังสายเืได้สำเร็จเเล้วนั้นความรุนแรงของบทเวทย์ที่ถูกเรียกใช้ออกมานั้นย่อมทวีเพิ่มขึ้นหลายส่วน
"คุณชายหนิงอ้าย ท่านคิดว่าบทเวทย์ป้องกันที่ถูกร่ายด้วยผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิิญญาขั้นต้นจักต้านทานบทเวทย์โจมตีจากข้าผู้ฝึกตนระดับเทวะิญญาขั้นสูงได้เช่นนั้นรึ?? เด็กน้อยเอ๋ยเด็กน้อยเ้ายังต้องเรียนรู้อีกมากเลยทีเดียว..." บุรุษชุดดำที่ร่ายบทเวทย์โจมตีเมื่อครู่เอ่ยขึ้นด้วยความดูเเคลน
"ดูเหมือนว่าผู้จ้างวานเ้าจะตกหล่นข้อมูลที่สำคัญไปไม่น้อย..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับแผ่กลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิิญญาขั้นสูงออกมา
"ระดับพลังิญญาเพิ่มขึ้นในเวลาไม่ถึงเจ็ดวันงั้นรึเป็ไปได้อย่างไรกัน!!!'' ชายชุดดำเอ่ยขึ้นอย่างใไม่น้อย ด้วยเพราะข้อมูลที่พวกตนได้รับมานั้นบอกเพียงเเค่ว่าคุณชายหนิงอ้ายเป็ผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิิญญาขั้นต้นเท่านั้น
แม้จะดูว่าการเลื่อนพลังในขั้นย่อยของผู้ฝึกตนจะดูเล็กน้อยเเต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องใช้เวลาถึงสองถึงสามปีเลยทีเดียว เเต่กับคุณชายผู้นี้ถึงกับใช้เวลาเพียงเเค่ไม่กี่วันก็สามารถเลื่อนขั้นย่อยได้ ดูท่าภารกิจในครั้งนี้ที่พวกตนรับมาหาใช่เป็เื่ง่ายเสียเเล้ว
"แล้วอย่างไรกันเล่า!!!พวกเ้ามีจำนวนคนน้อยกว่าพวกข้าหลายเท่าอีกทั้งพลังิญญาสูงสุดก็เป็ระดับเทวะิญญาขั้นสูงไม่ต่างกัน คิดจะโต้กลับพวกข้าได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นรึ?? " สิ้นคำที่ชายชุดดำผู้เป็หัวหน้ากล่าวจบลงชายชุดดำที่เหลือเสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างชอบใจ
"เช่นนั้นก็ต้องลองดูเสียเเล้ว อัญเชิญบทเวทย์เขตแดนปราการอัคคีเหมันต์!!!!" สิ้นเสียงของหนิงอ้าย กลิ่นอายของบทเวทย์เขตแดนระดับเทวะได้พวยพุ่งสะกดข่มชวนให้ตกตะลึงยิ่ง....
