ชิงโย้วมองถุงเงินในมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองอ๋าวหราน จู่ๆ ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก หยดน้ำตาพรั่งพรู พูดเสียงสะอึกสะอื้น “ขอบ...ขอบคุณคุณชายอ๋าว”
อ๋าวหรานเห็นนางร้องไห้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทำได้เพียงพูดเสียงเบาๆ ว่า “ไม่เป็ไร อย่าร้องไห้ไปเลย ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว ให้ข้าไปส่งเ้ากลับไปพักผ่อนนะ”
ชิงโย้วเช็ดน้ำตาแล้วพยักหน้า พร่ำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ฟ้าจึงมืดเร็ว คนทั้งสองเดินไปตามถนนปูหินขัดเงา ชิงโย้วถึงแม้จะยังสะอื้นอยู่บ้าง แต่ก็อารมณ์ดีขึ้นเยอะแล้ว แถมยังพยายามยิ้มออกมาด้วย
อ๋าวหรานถามว่า “พวกเขารังแกเ้าบ่อยหรือ?”
ชิงโย้วลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า “พวกเขาจะมาไถเงินข้าทุกครั้ง”
ถึงแม้จะรู้ว่าเด็กสาวบอบบางไม่มีฐานะและไร้วรยุทธ์เพียงคนเดียวคงไม่อาจต่อกรกับผู้ชายตัวใหญ่สองคนได้ แต่อ๋าวหรานก็ยังอดถามไม่ได้ว่า “เ้าไปหาคนที่ดีๆ ที่สนิทกันมาช่วยก็ได้นี่ ไม่ก็บอกพ่อบ้าน ไม่อย่างนั้นหากเอาแต่ทนไปเช่นนี้ พวกนั้นต้องได้คืบจะเอาศอกแน่”
ชิงโย้วไม่ตอบอยู่นานสองนาน สุดท้ายจึงพูดอย่างอับอายว่า “ข้าไม่มีเพื่อน และคงไม่มีใครอยากช่วยข้าหรอก”
อ๋าวหรานใ ถึงแม้จะรู้จักแม่นางคนนี้ได้ไม่นาน แต่ก็ยังพอมองออกว่าเป็เด็กสาวจิตใจ ดีชอบช่วยเหลือคนอื่น จะไม่มีเพื่อนได้อย่างไร
ถึงแม้จะมีความมืดจากท้องฟ้าบดบังไว้ แต่ชิงโย้วก็มองเห็นความสงสัยบนใบหน้าของอ๋าวหราน อึกอักอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “สถานะข้าค่อนข้างต่ำต้อยมาั้แ่เกิด ไม่มีใครเห็นข้าอยู่ในสายตา”
เื่ส่วนตัวของคนอื่น อ๋าวหรานไม่ควรจี้ถาม จึงทำได้แค่ฟัง ไม่ได้ตอบอะไร กลับเป็ชิงโย้วที่เงียบไปนานแล้วพูดขึ้นมา “พวกคนรับใช้ในตระกูลจิ่งส่วนใหญ่ก็เกิดที่ตระกูลนี้ แต่ก็มีบ้างที่ซื้อมาจากข้างนอก ต้องมาทำงานที่ค่อนข้างลำบาก แม่ข้าก็เป็คนที่ถูกขายเข้ามา เมื่อเข้ามาก็ต้องมาเป็เด็กรับใช้ในโรงซักล้าง สาวใช้ที่ถูกขายเข้ามาไม่มีทั้งสิทธิ์และคนหนุนหลัง แล้วแม่ข้าก็ยังอ่อนแอมากอีกด้วย”
“ดังนั้นจึงมักมีสาวใช้คนอื่นทิ้งผ้าไว้ให้นางซักจึงต้องซักจนถึงค่ำมืด มีอยู่ครั้งหนึ่งนางกำลังซักผ้าอยู่ริมน้ำ แล้วก็...ก็ถูกคนข่มเหง” คำพูดประโยคหลังเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
อ๋าวหรานอึ้ง
“แม่ข้าไม่กล้าส่งเสียง ทำได้เพียงแค่อดทน เดิมคิดว่าทำเป็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็พอ แต่ภายหลังนางก็พบว่าตัวเองกำลังอุ้มท้องข้าอยู่”
ชิงโย้วสะอื้นอีก “แล้วเื่นี้ก็ถูกผู้ดูแลห้องซักล้างรู้เข้า ไม่ต้องพูดถึงว่าในตระกูลใหญ่มีกฎห้ามคนรับใช้ชายหญิงลักลอบมีสัมพันธ์กัน ต่อให้ไปอยู่ที่อื่น แม่ข้าซึ่งเป็หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วยังเกิดเื่เช่นนี้ขึ้นอีกก็ต้องถูกรังเกียจเป็แน่”
อ๋าวหรานเป็คนไม่พกผ้าเช็ดหน้า ทำได้เพียงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้นาง ชิงโย้วยิ้มให้เขา ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตา “พวกนางจะตีแม่ข้าให้ตาย แม่ข้าถูกบังคับไร้หนทางจึงบอกว่าคนที่ข่มเหงนางเป็ใคร คิดว่าอย่างน้อยคงจะเห็นแก่เด็กในท้องแล้วไว้ชีวิตนาง”
“แต่คนผู้นั้นกลับไม่ยอมรับ แล้วยังบอกอีกว่าแม่ข้ามักใหญ่ใฝ่สูง อยากเกาะเขาจึงได้ใส่ร้ายเขา เขามีลูกมีภรรยาแล้ว อีกทั้งภรรยาเขายังขึ้นชื่อเื่ความโหดร้าย แม้แต่เมียน้อยก็ยังยอมให้มีไม่ได้ นับประสาอะไรกับแม่ข้า ตอนนั้นที่เขาข่มเหงแม่ข้าก็เพราะเมามาย หากวันนี้เื่แดงขึ้นมาก็ไม่รู้จะบอกภรรยาอย่างไร แน่นอนว่าต้องผลักความเน่าเหม็นมาใส่แม่ข้าแต่เพียงผู้เดียว แล้วยังอยากให้ฆ่าแม่ข้าให้ตายเสียตรงนั้น”
“ดีที่ตอนนั้นกำลังอยู่ใน่ปีใหม่ ในตระกูลไม่อนุญาตให้มีการนองเืกัน เื่นี้ได้กลายเป็เื่ใหญ่โตไปถึงหูท่านผู้นำตระกูล โชคดีที่ท่านผู้นำตระกูลมีเมตตา บอกว่าไม่ว่าความจริงจะเป็เช่นไรล้วนเป็ความผิดของผู้ใหญ่ เด็กเป็ผู้บริสุทธิ์ บอกให้แม่ข้าคลอดเด็กออกมา และยังรับปากว่าจะตรวจสอบเื่นี้อย่างจริงจัง หากแม่ข้าเป็ผู้บริสุทธิ์ ต้องไม่ให้นางรับเคราะห์โดยเปล่าประโยชน์แน่”
อ๋าวหรานคิดในใจ เป็นิสัยของจิ่งเหวินเหอจริงๆ ในนิยายต้นฉบับก็มีพูดถึงว่าเขามีนิสัยอย่างกับผู้หญิง ชอบเื่เลื่อนลอยเพ้อฝัน แต่แท้จริงแล้วเป็คนเที่ยงตรงยิ่ง
“ต่อมา…” จู่ๆ ชิงโย้วก็ยิ้มอย่างชาเย็น น้ำเสียงโศกเศร้า “ภายหลังเื่นี้ก็คาราคาซัง ไม่มีใครมาไล่พวกเราออกไป และไม่มีใครลงโทษแม่ข้า แล้วยิ่งไม่มีใครมาคืนความบริสุทธิ์ให้แม่ข้าด้วย”
อ๋าวหรานยืนยันชัดเจนในใจว่า ที่ไม่ไล่พวกเขาออกไปคิดว่าคงเป็เพราะจิ่งเหวินเหอสืบรู้ว่าจริงๆ แล้วแม่ของชิงโย้วไม่ได้พูดโกหก แต่ไม่อาจให้เ้านายต้องรับโทษเพราะสาวใช้เพียงคนเดียวได้ ดังนั้นจึงทำราวกับว่าเื่นี้ไม่เคยเกิดขึ้น ทำเป็มองไม่เห็น ให้พวกเขารับกรรมกันเอาเอง
“ดังนั้นพวกเขาจึงรังแกเ้าอย่างไม่เกรงกลัว?”
ชิงโย้วพยักหน้า “สถานะของข้าตอนนี้น่ากระอักกระอ่วนนัก ทุกคนล้วนรู้ดี แต่ก็แสร้งทำเป็ว่าไม่มีเื่นี้ หากมาเป็เพื่อนกับข้าย่อมต้องสร้างความไม่พอใจแก่คนที่อยากให้ข้าหายไป แต่ถ้ารังแกข้าก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดี และก็ไม่มีใครมาออกหน้าแทนข้าด้วย ดังนั้นคนในตระกูลที่จิตใจดีก็จะไม่สนใจข้า ส่วนคนที่ไม่ดีก็จะเป็เหมือนหลิวเอ้อฉี”
อ๋าวหรานเองก็อดถอนหายใจไม่ได้ หลายปีมานี้ต้องใช้ชีวิตอยู่โดยต้องพบเจอแต่เื่เช่นนี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆ อีกทั้งแม่นางคนนี้ก็ยังไม่โทษฟ้าโทษดิน มักจะยิ้มรับทุกเื่ที่เข้ามา ทำให้เขานับถือจริงๆ
“แล้วแม่เ้าล่ะ?”
การก้าวเดินของชิงโย้วชะงักไป
“ตอนที่ข้าอายุได้แปดขวบ แม่ข้าก็จากไปแล้ว จมแม่น้ำที่ใช้ซักผ้านั้นตาย” พูดแล้วก็เอามือปิดปากร้องไห้อย่างหนัก “แม่...แม่น้ำนั้นข้าเคยลองลงไปดู พอเดินไปจนถึงตรงกลางก็แค่พอมิดหัวได้เท่านั้น ตอนที่...ตอนที่ข้าลอง ข้าเพิ่งอายุได้สิบสามปี แม่...แม่ข้าก็สูงพอๆ กับข้าในตอนนี้”
ไม่รู้ว่าเป็เพราะชิงโย้วร้องไห้อย่างปวดใจเกินไปหรือความโศกเศร้านั้นมันส่งต่อกันได้ อ๋าวหรานรู้สึกอารมณ์หดหู่ลงไปมาก พยายามยิ้มปลอบใจว่า “เ้าดูสิ เราเหมือนกันเลย ข้าเองก็ไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว งั้นจากนี้ไปข้าจะถือว่าเ้าเป็ครอบครัวคนหนึ่งแล้วกัน ยังมีศิษย์พี่ข้าอีกคน เ้ายังเคยตักน้ำหาเสื้อผ้าให้เขาเลย เขาเก่งมาก ต่อไปนี้เขาก็จะเป็ครอบครัวของเ้าเช่นกัน ข้าจะให้เขาคอยปกป้องเ้าด้วย”
ชิงโย้วร้องไห้จนตัวโยน ได้ยินคำพูดของอ๋าวหรานก็พยักหน้าติดๆ กัน
อ๋าวหรานพูดอีกว่า “วันนี้ก็ร้องเสียให้เต็มที่ วันหน้าก็ต้องยิ้มให้เต็มที่ เ้าเป็ผู้สืบทอดชีวิตของแม่เ้า ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี แล้วนางก็จะพลอยได้ดีไปด้วย”
ชิงโย้วพยักหน้าแรงๆ พูดว่าอืมติดๆ กัน “ข้า...ข้ารู้ดี ข้าอดทนไม่ร้องมาตลอด แต่ว่า...จู่ๆ ก็มีคนมาปกป้องข้า ข้าซึ้งใจจนอยากร้องไห้ วันหน้าข้าจะไม่ร้องอีกแล้ว”
อ๋าวหรานเห็นนางเข้มแข็งขึ้นก็ยิ้มแล้วเช็ดน้ำตาให้นาง “พรุ่งนี้ข้าจะไปพูดกับจิ่งฝาน ให้เ้าไปอยู่กับข้าแล้วกัน”
ชิงโย้วเงยหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง ดวงตาที่มีน้ำแพรวพราวเบิกกว้าง อ๋าวหรานอึ้งไป “ไม่อยากไปหรือ?”
ชิงโย้วรีบพยักหน้าแล้วส่ายหน้า “อยากไปค่ะ อยากไป ขอแค่คุณชายอย่า...อย่ารังเกียจข้าก็พอ”
อ๋าวหรานยิ้ม “จะเป็เช่นนั้นไปได้อย่างไร”
‘จ๊อก…’
ชิงโย้วหน้าแดงทันใด “...”
อ๋าวหรานเอามือลูบท้องตนเอง “ไปกันเถอะ ข้าก็หิวแล้วพอดี วันนี้มากินข้าวกับพวกข้าเถอะ”
สาวใช้ตัวน้อยลังเลนิดหน่อย “ไม่...ไม่ดีมั้งคะ”
อ๋าวหรานยิ้ม “เอาน่า ไปเถอะ”
ชิงโย้วรีบตามไป แอบยิ้มอยู่เป็นาน อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “คุณชายอ๋าวยิ้มแล้วอบอุ่นมาก รู้สึกเหมือนอากาศอุ่นขึ้นมาทันทีเลยค่ะ”
อ๋าวหรานพูดโดยแฝงไปด้วยความขบขัน “พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เ้ายังมองเห็นอีกหรือ”
ชิงโย้วรีบพยักหน้าอย่างหนักแน่น “แน่นอนสิคะ ถึงจะเห็นไม่ชัด แต่ข้าก็จำได้ เพราะฉะนั้นถึงได้จินตนาการออก”
อ๋าวหราน “เ้าเคยเจอข้าแทบนับครั้งได้ก็จำได้แล้วหรือ?”
ถึงแม้ชิงโย้วจะไม่ได้พูดออกมา แต่ในใจกลับพูดว่าจำได้ั้แ่ครั้งแรกที่เจอ เพราะนางไม่เคยเจอรอยยิ้มที่อบอุ่นหัวใจเท่านี้มาก่อน รู้สึกราวกับทำให้นางลืมเลือนเื่ทุกข์ใจทั้งหลายไปได้
อ๋าวหราน “นายน้อยของเ้าก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นกัน อีกทั้งเขายังหน้าตาดีกว่าข้าเป็กอง” ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเปลี่ยนไปแล้ว แต่คิดว่าเมื่อก่อนคงจะเป็คนที่อบอุ่นมากทีเดียว
ชิงโย้วตอบว่า “นายน้อยยิ้มแล้วงดงามมากและยังอบอุ่นมากด้วย แต่รอยยิ้มของท่านกลับให้ความรู้สึกห่างเหิน ต่อให้ยิ้มให้ก็จะรู้สึกเหมือนเขากำลังยิ้มให้คนอื่น”
อ๋าวหรานแกล้งนาง “ระวังข้าจะเอาไปฟ้องนายน้อยของเ้าล่ะ”
ชิงโย้วพูดอย่างเริงร่าว่า “คุณชายไม่ทำเช่นนั้นหรอก”
อ๋าวหรานครุ่นคิดแล้วถามว่า “เ้านึกอยากยอมรับพ่อเ้าหรือไม่?” เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะดูแลแม่นางคนนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองจะอยู่ได้จนถึงเมื่อไหร่ แต่เด็กทุกคนล้วนคาดหวังรอคอยในตัวพ่อแม่ อย่างไรเสียเืย่อมข้นกว่าน้ำ ความสัมพันธ์ทางเครือญาติถึงจะเหนียวแน่น หากในใจชิงโย้วอยากจะมีพ่อ อยากจะกลับไปเป็คุณหนูตระกูลจิ่งแล้วละก็ การที่ตัวเองรั้งนางไว้ข้างตัวจะเป็การค้านความตั้งใจของนางหรือเปล่า
ชิงโย้วเงยหน้ามองเขา สายตาแน่วแน่ ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย “ไม่อยากค่ะ ข้าสามารถไม่ถือโทษโกรธแค้นได้ แต่ข้าก็ไม่อาจนับเขาเป็พ่อได้เช่นกัน ดังนั้นต่อให้ข้าต้องไม่มีพ่อ ก็จะไม่นับเขาเป็พ่ออย่างเด็ดขาด”
อ๋าวหรานพยักหน้า “หากเ้ามีความคิดอื่นก็เปิดเผยกับข้าได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องกังวล”
ชิงโย้วพยักหน้ารับ “ข้าจะเปิดเผยต่อคุณชายแน่นอน จะไม่ปิดบังเื่ใดต่อคุณชายเลย”
อ๋าวหรานมองท่าทางราวกับสบถสาบานของนางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “มีความลับเล็กๆ บ้างก็ไม่เป็ไร ไม่จำเป็ต้องบอกข้าทุกเื่”
ชิงโย้วหน้าแดงแล้วพยักหน้า
“ครั้งก่อนเ้าก็ไปขอเสื้อผ้ามาให้ศิษย์พี่ข้า ถูกขัดขวางรังแกด้วยใช่หรือไม่” นางไม่เป็ที่ยอมรับ แถมยังไม่ใช่สาวใช้ของอ๋าวหราน แต่กลับไปขอเสื้อผ้ามา คนพวกนั้นยอมให้นางได้อย่างไร?
ชิงโย้วก้มหน้าต่ำ “ข้าแค่ไปเอาชุดของเด็กรับใช้ ไม่ยุติธรรมกับศิษย์พี่ของคุณชายอ๋าวจริงๆ แต่ข้าก็อ้างชื่อคุณชายอ๋าวไป พวกเขาถึงให้ข้ามา”
อ๋าวหราน “แล้วอย่างไรอีก?”
ชิงโย้วชะงักไปครู่หนึ่ง “ข้าแอบเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งจึงให้เงินผู้ดูแลไปนิดหน่อย”
อ๋าวหรานถอนหายใจ “เมื่อมีกำลังก็ช่วยแผ่นดิน หากไร้ซึ่งกำลังก็รักษาตนเองเป็พอ หากเ้ามีความสามารถ ช่วยคนอื่นได้ก็ช่วยไป แต่ถ้าแม้แต่ตัวเ้าเองยังลำบาก เช่นนั้นก็ดูแลตัวเองให้ดีก่อน คนอื่นต้องเอาไว้ทีหลังตัวเอง เข้าใจหรือไม่?”
“ค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” พูดจบก็พูดต่ออีกว่า “คุณชายอ๋าวก็ไม่นับด้วยใช่ไหมคะ”
อ๋าวหราน “...” พูดไปเสียเปล่าเสียแล้ว
ตอนที่ทั้งสองกลับถึงห้อง อาหารก็ถูกยกขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะแล้ว เหยียนเฟิงเกอนั่งอยู่ที่โต๊ะ ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว อ๋าวหรานถอนหายใจ “ศิษย์พี่ หากข้ายังไม่กลับมา ท่านก็กินไปก่อน ไม่ต้องรอข้า”
เหยียนเฟิงเกอไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าแค่นั้น อ๋าวหรานใช้เส้นผมคิดก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย
อ๋าวหรานนั่งลงบนเก้าอี้ แต่กลับเห็นชิงโย้วยืนอึ้งอยู่หน้าประตูก็เรียกมา “อย่าเอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้นเลย มานั่งกินข้าวด้วยกันเถอะ”
เหยียนเฟิงเกอหันศีรษะไปมองคนที่หน้าประตูทีหนึ่งก็ไม่พูดอะไร เมื่อเห็นอ๋าวหรานจับตะเกียบ เขาจึงเริ่มกินข้าวไปเงียบๆ
ชิงโย้วถึงแม้จะเคยเจอเหยียนเฟิงเกอมาแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกรับมือกับความเ็าที่แผ่ออกมาจากคนคนนี้ไม่ค่อยได้ จึงพูดเบาๆ ไปคำหนึ่งว่า “คุณชายเหยียน” แล้วนั่งลงข้างๆ อ๋าวหรานอย่างระมัดระวัง
เหยียนเฟิงเกอก็พยักหน้าน้อยๆ เป็การตอบรับ เขาไม่แม้แต่จะถามว่าชิงโย้วเป็ใครหรือเหตุใดนางถึงมากินข้าวกับพวกเขา ทำราวกับว่าไม่ใช่เื่ของตัวเอง
อ๋าวหรานจึงแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกันอย่างง่ายๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้