สิ่งที่กระตุ้นความสนใจของหลัวเลี่ย คือแท่นศิลาห้าแท่นที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง
แท่นศิลาทั้งห้าแท่นนี้ แต่ละแท่นได้สลักเนื้อหาทักษะการต่อสู้เอาไว้
และสิ่งที่ดึงดูดหลัวเลี่ยก็คือ แท่นศิลาแท่นหนึ่งที่สลักเนื้อหาคัมภีร์มหาหลุนิเอาไว้ด้านหนึ่ง
คัมภีร์มหาหลุนิเป็คัมภีร์วิชายุทธ์ที่สร้างขึ้นโดยข่งเซวียน ซึ่งเป็บรรพชนแห่งตระกูลข่งเชวี่ย เป็ที่รู้จักในฐานะที่เป็คนแรกที่สามารถเข้าสู่ระดับจักรพรรดิโบราณได้ เนื้อหาในคัมภีร์นี้เขาได้สร้างขึ้นในตอนที่เขาก้าวเข้าสู่ระดับทลายยุทธ์ นับเป็สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าข่งเซวียนนั้นพิเศษเพียงใด
และวิชายุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดของข่งเซวียน ในปัจจุบันคนทั้งดินแดนเหยียนหวงล้วนรู้จัก มันเรียกว่าเคล็ดวิชาเทวาพราว
ซึ่งเป็ทักษะการต่อสู้ที่ไม่มีใครเทียบได้ แม้แต่เทพก็ยังต้องยอมแพ้
แม้หลัวเลี่ยจะฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ แต่เขากลับยังไม่มีวิชายุทธ์ใดที่จะนำมาใช้ร่วมกับพลังจากเคล็ดวิชาั์ได้
แม้ทักษะหมัดผู้พิชิตจะไม่เลวเลย แต่วิชายุทธ์ทักษะนี้กลับแสดงพลังของเคล็ดวิชาั์ได้เพียงหกถึงเจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้ววิชายุทธ์นี้ไม่ค่อยเข้ากับเคล็ดวิชาั์
ส่วนหมัดพญาัประจัญบานที่เขาอยู่ในระดับเชี่ยวชาญนั้น แทบจะไม่สามารถแสดงถึงพลังที่แท้จริงของเคล็ดวิชาั์ได้เลย อีกทั้งมันยังเป็วิชายุทธ์ที่ ‘มีัอยู่ในเป้า’ ใช้ ดังนั้นหากไม่ได้อยู่ในภพจิตั เขาก็ไม่อาจใช้วิชายุทธ์นี้ได้
เขาไม่้าให้มีคนรู้ว่าเขาสามารถเข้าใจเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินได้สองด้าน เื่นี้เป็เื่ใหญ่ที่หากเทพได้รับรู้ก็คงจะใมากเช่นกัน และเขาก็อาจจะถูกนำไปทดลองก็เป็ได้ หากเป็เช่นนั้นเขาขอตายดีกว่ามีชีวิตอยู่ต่อ
ดังนั้นเขาจึงจำเป็ต้องหาวิชายุทธ์ที่แข็งแกร่ง
คัมภีร์มหาหลุนิถือได้ว่าเป็วิชายุทธ์สิบอันดับแรกที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ในระดับทลายยุทธ์เป็ผู้สร้างขึ้น และมันสามารถเข้ากับเคล็ดวิชาั์ได้อย่างสมบูรณ์
หลัวเลี่ยตื่นเต้นมาก
เขายืนอยู่หน้าแท่นศิลาเพื่อสังเกต
เนื่องจากหอการค้าฟ้านเทียนกล้าที่จะจัดแสดงแท่นศิลาเหล่านี้โดยไม่คาดคิดว่าจะมีใครสามารถเข้าใจมันได้ ซึ่งหากมีคนสังเกตเห็นและถูกดึงดูด แล้วใช้เงินจำนวนมากซื้อมันเพื่อนำกลับบ้านไปศึกษาดูก็ย่อมได้
นี่คือกฎในการทำธุรกิจ
เพราะหลังจากขายมันออกไปแล้ว พวกเขายังคงมีแท่นศิลาแบบเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเป็เศษหินจากศิลาก้อนแรกมาขายเสมอ
หลังจากที่หลัวเลี่ยเห็น เขาก็เดินเข้าไปหาแท่นศิลานั้น
ตัวเขาเองมีก็มีลางสังหรณ์ที่แม่นยำ
ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาเข้าใจอย่างรวดเร็วและลึกซึ้ง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ เดิมทีเขาคิดว่าตนเองจะสามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อพยายามทำความเข้าใจไปสักพัก เขาก็รู้สึกว่าคัมภีร์ดังกล่าวไม่สมบูรณ์และมีข้อบกพร่อง
เขาหลับตาลงและคิดถึงวิชายุทธ์นี้อีกครั้ง
ในอดีต เมื่อใดเขาทำเช่นนี้ เขาจะสามารถทำความเข้าใจวิชายุทธ์ได้อย่างง่ายดาย
แต่ครั้งนี้กลับมีเพียงกระบวนท่าฝ่ามือที่ไม่มีเนื้อหาวิถียุทธ์ผุดขึ้นมาในความคิดของเขา แม้แต่ร่องรอยการฝึกฝนในคัมภีร์มหาหลุนิก็ไม่ปรากฏขึ้นเลย
นี่หมายความว่าเขาล้มเหลวในการทำความเข้าใจคัมภีร์มหาหลุนิ
“ข้าก็มีวันที่เกิดเื่แบบนี้ขึ้นได้ด้วยหรือ”
“เป็ปัญหาที่ข้า หรือศิลาที่สลักเนื้อหาของคัมภีร์มหาหลุนิตกไปกันแน่”
หลัวเลี่ยหันไปมองวิชายุทธ์อื่น ๆ
วิชายุทธ์บนแท่นศิลาอีกสี่แห่งนั้นเป็วิชายุทธ์ที่แข็งแกร่งมากเช่นกัน แต่มันไม่เข้ากับพลังของเขา
เช่นเดียวกับวิชาสิ้นสลายแห่งจินหลาน ที่แม้ว่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งมาก แต่หลัวเลี่ยก็ไม่มีความสนใจที่จะแอบนำมาศึกษา เพราะเมื่อเขาสามารถแข็งแกร่งได้ด้วยตนเองแล้ว เหตุใดต้องกลับไปมีพลังเท่ากับจักรพรรดิแห่งแคว้นจินหลานอีกเล่า
“พี่ชาย ท่านได้รับบางสิ่ง”
เสียงที่คมชัดและไพเราะดังมาเข้าหูของเขา
หลัวเลี่ยตกตะลึงและหันกลับไปมองคนที่อยู่ข้างๆ เขา
ใบหน้างดงามและผิวที่เรียบเนียน บนหัวสวมกวานสีทอง ริมฝีปากสีแดง และลักยิ้มสองข้างปรากฏขึ้นเมื่อนางยิ้ม
นางไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็หลิวหงเหยียน จักรพรรดินีแห่งแคว้นเป่ยสุ่ยที่ปลอมตัวเป็ผู้ชาย
“เ้า?” หลัวเลี่ยไม่เคยคาดคิดว่าหลิวหงเหยียนจะมาปรากฏตัวที่นี่
หลังจากที่เขาและเสวี่ยปิงหนิงจากมา แม้ว่าเขาจะสร้างโอกาสให้กับหลิวหงเหยียน แต่ชงโหวหู่ที่พยายามอย่างหนักมาเป็เวลานานแล้วจะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดายได้อย่างไร และจากเหตุการณ์นี้ทำให้ชงโหวหู่ยิ่งรอบคอบมากขึ้น ไพ่ใบสุดท้ายของเขาคืออะไรก็ยากที่จะคาดเดาได้
ตอนนี้ควรจะเป็่เวลาที่ทั้งหลิวหงเหยียนและชงโหวหู่กำลังต่อสู้กันอยู่ แต่หลิวหงเหยียนกลับปรากฏตัวที่นี่ เื่นี้ทำให้หลัวเลี่ยประหลาดใจมาก
“จำข้าไม่ได้แล้วหรือ” หลิวหงเหยียนพูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเรามาทำความรู้จักกันอีกครั้ง ข้าชื่อหลิวหงเหยียน คนที่ทิ้งร่องรอยของความจริงใจไว้บนเส้นทางสู่ความสำเร็จ และปรารถนาที่จะรักษาความจริงใจนั้นไม่ให้สูญหายไปจากอิทธิพลในอำนาจของจักรพรรดินี”
หลัวเลี่ยมองไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มของหลิวหงเหยียน ความจริงแล้วเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนี้เกิดมาพร้อมกับอำนาจในราชวงศ์ แต่นางกลับรับฟังสิ่งที่เขาพูดในตอนนั้น
ในขณะนี้ ดวงตาที่ลึกล้ำของหลิวหงเหยียนมีร่องรอยของความแน่วแน่ปรากฏขึ้น
“ข้าชื่อหลัวเลี่ย เป็ผู้ที่ท่องไปในยุทธภพอย่างอิสระ” หลัวเลี่ยเอ่ยแนะนำตัวอย่างเป็ทางการ เขาไม่ได้เปิดเผยอะไรมาก เพียงบอกอย่างจริงใจว่าเขาเป็คนที่มาท่องยุทธภพนี้อย่างอิสระ เพราะแท้จริงแล้วเขาไม่ใช่คนของโลกนี้
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม
เป็รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข แสดงถึงความเป็มิตรแท้ ปราศจากสิ่งแอบแฝงใดๆ
หลิวหงเหยียนกล่าวว่า “วันนี้พี่สาวมีความสุขมาก ดังนั้นมื้อนี้พี่สาวเลี้ยงเอง”
“เช่นนั้นก็ไปร้านอาหารที่ดีที่สุด กินอาหารที่แพงที่สุด ดื่มสุราที่ดีที่สุด” หลัวเลี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ขอแค่ไม่ใช่ที่ที่มีสาวงามมาอยู่ข้างๆ ก็เพียงพอแล้ว” หลิวหงเหยียนกล่าว
หลัวเลี่ยยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้ข้าก็มีหญิงงามอยู่ข้างกายแล้วไม่ใช่หรือ”
ใบหน้างดงามของหลิวหงเหยียนแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย
ทั้งสองออกจากหอการค้าฟ้านเทียนสาขาแคว้นจินหลาน และไปยังร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลวงของแคว้นจินหลาน
หลิวหงเหยียนผู้ใจกว้างได้เหมาชั้นบนสุดของร้านอาหารทั้งหมด
หลังจากอาหารและสุราที่สั่งไปถูกยกขึ้นมาที่โต๊ะแล้ว พนักงานก็เดินออกไป
ตอนนี้ทั้งชั้นนี้เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
หลังจากที่ทั้งสองใช้เวลากินอาหารไปราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหลัวเลี่ยก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เ้าไม่กลัวว่าชงโหวหู่จะใช้โอกาสที่เ้าออกมาที่นี่สร้างปัญหาหรือ”
เมื่อหลิวหงเหยียนได้ยินคำพูดนั้น มือของนางก็สั่นเล็กน้อย นางก้มหน้าลงเป็เวลานาน ก่อนจะเงยขึ้นช้าๆ แม้สีหน้าของนางจะดูค่อนข้างสงบ แต่หลัวเลี่ยก็มองออกว่าภายในใจของนางมีความกังวลซ่อนอยู่ หลังจากนั้นไม่นานหลิวหงเหยียนก็พูดว่า “เ้าก็ยังคงเป็ห่วงข้าเหมือนเดิม”
หลัวเลี่ยพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
เขาเข้าใจความในใจของหลิวหงเหยียนที่มีต่อเขา แต่เขาชอบความอิสระและไม่้าอยู่ในวังวนของการวางแผนหรือการแย่งชิงอำนาจภายในราชวงศ์ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะจากมา
และพาเสวี่ยปิงหนิง คนสนิทเพียงคนเดียวของหลิวหงเหยียนออกมาด้วย
เมื่อพูดถึงเื่นี้ หากมองจากมุมของหลิวหงเหยียน หลัวเลี่ยนับว่าโหดร้ายมาก
หลิวหงเหยียนจึงเปลี่ยนเื่และดื่มกับหลัวเลี่ยต่อ
ความสนุกสนานยังดำเนินต่อไป หลิวหงเหยียนกล่าวว่า “เ้ายังจำเื่ม่านประเพณีที่เ้าเคยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ตอนนั้นเ้ายังเล่าไม่จบ ดังนั้นวันนี้เ้าเล่าต่อให้จบเถอะ”
“ได้สิ”
หลัวเลี่ยจะลืมได้อย่างไร เพราะนั่นอาจเป็่เวลาที่เขาได้พูดคุยกับหลิวหงเหยียนมากที่สุด และเป็เวลาที่เขาได้ปล่อยวางความคิดที่วุ่นวายและพูดอย่างสบายใจ แม้ในเวลาอื่นหลิวหงเหยียนจะเข้าไปพัวพันกับการเมืองหรือเื่การต่อสู้กับชงโหวหู่ แต่นางก็ไม่เคยพูดถึงรายละเอียดในเื่ต่างๆ นี้เลย
เขาเล่าเื่ม่านประเพณีที่เหลืออยู่ต่อ
เมื่อถึงตอนจบของเื่ม่านประเพณีที่เหลียงชานปั๋วและจู้อิงไถต่างก็กลายเป็ผีเสื้อและอยู่เคียงข้างกัน หลิวหงเหยียนก็ยืนขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง นางหันหลังให้หลัวเลี่ย มองออกไปข้างนอกหน้าต่างนั้น เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว และความวุ่นวายด้านนอกก็หมดไปแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้