หลังออกจากคฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน ลูกหลานตระกูลต่างๆ ก็เดินทางกลับไปเตรียมตัว หลิ่วไป๋เจ๋อพาทั้งสามคนกลับชิงหลิ่วถัง เมื่อไปถึงก็พาพวกเขาไปยังห้องตำราเพื่อพูดคุยในทันที
เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าหมองของหลิ่วไป๋เจ๋อ จิ่วฟางเทียนฉีจึงเอ่ยถาม “เ้าคิดว่าวิธีที่ข้าเสนอมีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือไม่”
หลิ่วไป๋เจ๋อส่ายหัว “ไม่ได้มีสิ่งใดไม่เหมาะสม แต่ละเลยไปประเด็นหนึ่ง”
“ละเลยอะไรหรือ”
อูิหลิงที่อยู่ข้างๆ รับ่พูดต่อ “คุณชายจิ่วฟางกำลังคิดถึงเพียงสถานการณ์ในเทือกเขาจู่เสีย ทว่าละเลยสถานการณ์ของดินแดนเจ๋อ”
“ิหลิงพูดถูก” อูิหลิงรู้สึกอบอุ่นในใจเมื่อหลิวไป๋เจ๋อเห็นด้วยกับคำพูดของนาง
“พวกเ้าหมายถึงตระกูลอื่นๆ อาจจะใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างความวุ่นวาย?”
อูิหลิงเอ่ยต่อ “สถานการณ์ปัจจุบันนั้นแต่ละตระกูลใหญ่ต่างรู้ดี สิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำพวกเขารู้ชัดเจนกว่าใครในดินแดนเจ๋อ นอกจากคนของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานที่มีความทะเยอทะยาน ตระกูลอื่นๆ ก็ค่อนข้างสงบสุข ในระหว่างการเดินทางเพื่อไปยังเทือกเขาจู่เสีย ตระกูลใหญ่ทุกตระกูลล้วนสูญเสียกองกำลังต่อสู้ไปครึ่งหนึ่ง ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้พวกเขาไม่มีทางเคลื่อนไหวใดๆ ไม่เช่นนั้นจะถูกเพ่งเล็งและกล่าวถึงอย่างแน่นอน สิ่งที่ไป๋เจ๋อเป็กังวลก็คือ พวกเราทุกคนเพิกเฉยต่อกองกำลังจิ่วโยวที่แฝงตัวอยู่ในป่าใต้พิภพ แล้วพวกเขาจะใช้โอกาสนี้มาโจมตีพวกเราจากด้านหลังหรือไม่ นั่นก็เป็สิ่งที่พูดได้ยาก”
จิ่วฟางเทียนฉีพยักหน้า เขาละเลยประเด็นนี้ไปจริงๆ หากเป็ดังที่อูิหลิงกล่าว กำลังคนในดินแดนเจ๋อก็จะลดลง หากคนของจิ่วโยวใช้ประโยชน์จากเื่นี้ จะถือเป็ความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง
จิ่วฟางเทียนฉีหยิบจดหมายจากบิดาออกมา แล้วอ่านอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจ
“เป็เพราะข้าไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ คิดแค่ว่าทำเช่นไรจึงจะสามารถยับยั้งการโจมตีของสัตว์ร้ายได้ ทั้งยังเปลี่ยนแปลงคำสั่งของเหล่าผู้นำตระกูลโดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน แม้ว่าสิ่งที่เขียนมาในจดหมายจะสุดโต่ง แต่หลังจากครุ่นคิด อันที่จริงก็เป็สิ่งที่เป็ไปได้ ที่พวกเขาให้คนจากคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานอยู่ในเฟิ่งเทียนก็เพราะฝากความหวังไว้ที่คนเ่าั้ เพราะที่นั่นมุ่งเน้นไปทางศิลปะการต่อสู้ แต่การต้านการโจมตีของสัตว์ร้ายจำเป็ต้องลงมือจากระยะไกลและต้องใช้พลังิญญาสูงมาก หากให้คนจากอวิ๋นหลานซานเดินทางไปด้วยก็เหมือนกับส่งพวกเขาไปตาย ถือเป็สิ่งที่ไม่เหมาะสมยิ่ง”
จิ่วฟางเทียนฉีกล่าวด้วยความเสียใจ “ทว่าเหล่าตระกูลใหญ่ล้วนกลับไปเตรียมการแล้ว ยามนี้คงสายเกินแก้ เห้อ... ทั้งหมดเป็ความผิดของข้า!”
หลิ่วเฉิงเฟิงที่อยู่อีกฝั่งเอ่ย “พี่จิ่วฟาง อย่าตำหนิตนเองเลย ในเวลานั้นหากไม่แก้ไขสถานการณ์ให้เหมาะสม คงต้องปะทะกับอวิ๋นหลานซานจนเื่วุ่นวายมากกว่าเดิมแน่”
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ หลิ่วไป๋เจ๋อก็เอ่ยขึ้น “ข้ามีวิธีจัดการ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็ไปได้หรือไม่”
“วิธีอะไรหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดบนใบหน้า “เื่นี้มีความเสี่ยง แต่หากไม่ทำ พวกเราจะยิ่งมีอันตรายมากขึ้น”
“เ้าเริ่มทำตัวเหมือนผู้เฒ่าั้แ่เมื่อไรกัน รีบพูดเร็วเข้า ต้องใช้วิธีใดกันแน่”
ริมฝีปากของหลิ่วไป๋เจ๋อเผยอออกช้าๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาสามคำ “ิซิ่นถัง”
…
ยามนี้ในเมืองเฟิ่งเทียนมีหลิ่วไป๋เจ๋อรับผิดชอบดูแล ทั้งยังค้นพบวิธีแก้ปัญหาในด้านการป้องกัน จิ่วฟางเทียนฉีจึงไม่คิดจะรั้งอยู่ต่อ วันรุ่งขึ้นก็ขี่ม้าศึกมุ่งกลับเทือกเขาจู่เสียตามลำพัง
เขาไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดใน่เวลาวิกฤตเช่นนี้ ผู้นำตระกูลต่างๆ ถึงได้เดินทางไปยังสำนักมิ่งเก๋อ ทั้งยังเก็บตัวเงียบเชียบ ไม่ได้ปรากฏกายออกมาอีก
ใช้เวลาราวครึ่งค่อนวันก็ออกมาพ้นเขตเมืองหลวง หลังจากควบม้าศึกไปอีกครึ่งเค่อ เขาก็ออกจากเส้นทางที่คดไปคดมาเหมือนลำไส้ในหุบเขาได้
ทางออกปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทว่ากลับมีคนมาขวางกลางถนนเอาไว้ จิ่วฟางเทียนฉีดึงบังเหียน ส่งผลให้ม้าร้องออกมาก่อนจะหยุดฝีเท้า
“ขออภัย ช่วยขยับให้ข้าผ่านทางได้หรือไม่”
คนผู้นั้นสวมชุดคลุมสีดำ ภายใต้แสงแดดแผดเผาทำให้เขาดูแปลกประหลาดขึ้นมา เดี๋ยวก่อน! ทันใดนั้นจิ่วฟางเทียนฉีก็รู้สึกว่าร่างตรงหน้าช่างคุ้นตาอย่างยิ่ง ราวกับเขาเคยเห็นมาก่อน
คนผู้นั้นค่อยๆ หันกลับมา แส้ยาวในมือเรืองแสงสีม่วงอ่อนจางภายใต้ฟ้าครามและแสงแดด
“ที่แท้ก็เป็เ้านี่เอง!”
ในที่สุดจิ่วฟางเทียนฉีก็จำได้ ครั้งก่อนเขาถูกคนผู้นี้โจมตีปางตายที่หน้าผาอันมืดมิด เมื่อได้พบคนคนนี้อีกครั้งจึงรู้สึกโกรธ ะโตัวขึ้นบนหลังม้าและจู่โจมอีกฝ่าย
ทว่าคนผู้นั้นกลับจงใจหันหลังเข้าไปในป่าทึบ แทนที่จะเผชิญหน้ากับเขา
จากบทเรียนครั้งก่อน จิ่วฟางเทียนฉีจึงไม่ได้ติดตามอีกฝ่ายไป เดิมทีตั้งใจจะปล่อยผ่าน แต่กลับนึกถึงคำพูดของหลิ่วไป๋เจ๋อก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ หากคนผู้นี้มาจากจิ่วโยวก็ไม่ควรปล่อยไปง่ายๆ ดังนั้นเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งจึงตามอีกฝ่ายไป
เมื่อเข้าไปในป่าทึบ จิ่วฟางเทียนฉียิ่งเพิ่มความระมัดระวัง คนคนนี้ไม่ธรรมดา แม้ครั้งที่แล้วเขาจะถูกลอบโจมตี แต่ทักษะพลังิญญาอันแปลกประหลาดของฝ่ายตรงข้ามทำให้คู่ต่อสู้ไม่ทันระวังตัว แส้ยาวที่อยู่ในมือนั้น เพียงแค่ััโดน นอกจากิัจะฉีกขาดเป็าแแล้วยังทำให้รู้สึกชาไปทั้งร่างอีกด้วย
จู่ๆ ร่างเบื้องหน้าก็หายไป จิ่วฟางเทียนฉียืนอยู่ที่เดิม ระมัดระวังเหตุการณ์รอบด้าน ทันใดนั้นพุ่มหญ้าข้างหลังทางด้านซ้ายก็มีการเคลื่อนไหว แสงสีม่วงปรากฏขึ้น นั่นคือแส้ยาวอย่างไม่ต้องสงสัย จิ่วฟางเทียนฉีเอียงกายหลบหลีก แส้เส้นนั้นราวกับมีชีวิต ไล่ตามเขาเข้ามาติดๆ อย่างไม่ลดละ
เมื่อเห็นว่ากำลังจะหลบเลี่ยงไม่ได้ จินฉู่ในมือจิ่วฟางเทียนฉีพลันส่องแสงสีทอง รัศมีแสงนั้นปกคลุมร่างกายเขาเอาไว้ เมื่อแส้ยาวฟาดลงมาใส่ นอกจากจะไม่สามารถทะลุผ่านได้ยังสะท้อนพลังกลับไปอีก
บุคคลลึกลับในชุดดำคว้าแส้ที่กระเด็นไปกลับมา มองดูด้วยสายตาประหลาดใจ รัศมีแสงสีม่วงและสีทองบนแส้เส้นยาวนั้นกำลังโรมรันกัน เป็ลางบอกว่าแส้สีม่วงจะถูกแสงทองเรืองรองกัดกร่อน ผู้เป็เ้าของไม่มีทางยอมให้เป็เช่นนั้น อีกฝ่ายออกแรงกระตุ้นแส้ยาวให้ขับไล่รัศมีสีทองออกไป
“ครั้งก่อนที่ถูกเ้าลอบโจมตีใต้ผาอันมืดมิดเพราะข้าประมาทเอง วันนี้ต้องถอดผ้าคลุมของเ้าให้ได้ ดูว่าตระกูลจิ้งจอกเก้าหางแห่งจิ่วโยวหน้าตาเป็อย่างไร ใส่ชุดหนาแน่นปกปิดมิดชิดเช่นนี้ เดาว่าหน้าตาคงไม่ได้ดีสักเท่าไร”
จิ่วฟางเทียนฉีเหลือบมองไปยังด้านหลังของอีกฝ่าย “เ้าไม่ได้มีเก้าหางจริงๆ ใช่หรือไม่”
คนในชุดดำชะงัก ชายเบื้องหน้าเดาที่มาของตนเองได้แล้ว เพียงแต่คำพูดนั้นไม่เสนาะหูเท่าไร ทำให้คนที่ถูกพูดถึงเกิดความขุ่นเคือง
“พูดจามากความ หากอยากถอดผ้าคลุมหน้าของข้า เ้าต้องมีความสามารถจึงจะทำได้” เสียงใสราวกับสายน้ำ ที่แท้นางก็เป็หญิง!
ในเวลาที่จิ่วฟางเทียนฉีกำลังตกตะลึง แส้ยาวก็หวนกลับมาโจมตีอีกครั้ง เมื่อััโดนแสงสีทองของเขาก็เกิดเสียงกระทบกัน
“อยากเห็นนักว่าแสงทองนี้จะคงอยู่ได้นานแค่ไหน จะคุ้มกันร่างของเ้าได้นานเพียงใด”
จิ่วฟางเทียนฉีไม่กล้าประมาท ในเวลานี้เขาตระหนักได้ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับแส้ยาวนี้ไม่ใช่ฤทธิ์ของพิษที่กัดกร่อน แต่เป็ความสามารถในการดูดซับพลังิญญาต่างหาก เขารับรู้ได้ว่าพลังิญญาของตนกำลังถูกดูดออกไปทีละนิด
“ฮึ! เ้าเคยเห็นความร้ายกาจของแส้ดูดพลังิญญาหรือไม่”
เมื่อรับรู้ได้ว่าพลังิญญาในร่างกายค่อยๆ หายไป จิ่วฟางเทียนฉีจึงพยักหน้าและเอ่ยว่า “แปลกจริง ๆ”
เขาแสดงสีหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “พลังนั้นรุนแรง แต่ตอนนี้สิ่งที่ข้าสนใจมากกว่าคือหน้าตาของเ้าเป็เช่นไรต่างหาก”
ทันใดนั้นจินฉู่ในมือเขาก็พันรอบแส้ในมือนาง จิ่วฟางเทียนฉีออกแรงดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ตนเอง เพราะไม่ทันระวัง หญิงผู้นั้นจึงถูกแส้ดูดซับิญญาของตนพันไว้แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้พลังิญญาถูกดูดออกไป นางจึงรีบถอนพลังิญญาของตนออก แสงสีม่วงบนแส้นั้นพลันหายวับ ด้วยเหตุนี้นางจึงถูกแส้ของตนรัดไว้อย่างแ่า ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็หลุดออกไปไม่ได้
จินฉู่ของจิ่วฟางเทียนฉีพันแส้ยาวของนาง กักขังอีกฝ่ายไว้ข้างกายก่อนหัวเราะออกมาเสียงดัง “เห็นหรือไม่ นี่เรียกว่ากรรมตามสนอง”
หญิงผู้นั้นจ้องมองคนตรงข้ามด้วยแววตาวาวโรจน์ ก่อนจะมีแสงสีม่วงอ่อนจางส่องออกมาจากรูม่านตาของนาง
“มาจากจิ่วโยวจริงๆ สินะ” จิ่วฟางเทียนฉีก้าวเข้าไป กำลังจะถอดผ้าคลุมหน้าของนางออก แต่อีกฝ่ายกลับะโใส่หน้าเขา “เ้ากล้าดีอย่างไร!”
จิ่วฟางเทียนฉียิ้มเยาะ “เหตุใดจะไม่กล้า จิ่วโยวรุกรานดินแดนเจ๋อของข้า เ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่าวันหนึ่งจะมีจุดจบเช่นนี้”
จู่ๆ นางก็หัวเราะขึ้นมา “จิ่วฟางเทียนฉี เ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง”
“รู้จักข้าด้วยหรือ”
“ฮึ!” หญิงสาวไม่ตอบ
จิ่วฟางเทียนฉีก้าวเข้าไปอีกครั้ง แล้วดึงเสื้อคลุมกับผ้าคลุมหน้าของหญิงสาวออก ผมยาวสลวยทิ้งตัวลงมา นางมีคิ้วโค้ง ตาโต จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง เส้นขอบปากคม ผิวพรรณขาวกระจ่างใส
ทันทีที่จิ่วฟางเทียนฉีดึงผ้าคลุมออก หญิงสาวก็ใเป็อย่างมาก ดวงตาของนางเต็มไปด้วยโทสะ ทำให้เขาห้าวหาญยิ่งขึ้น
“โอ้! เป็หญิงงามนี่นา ดูเหมือนว่าผู้คนในจิ่วโยวไม่ได้มีรูปลักษณ์ชั่วร้ายอย่างที่ตำนานกล่าวไว้สินะ”
“เ้าคิดจะทำอะไร”
จิ่วฟางเทียนฉีส่ายหัว “ข้าไม่ได้จะทำอะไร ขอเพียงแค่บอกข้าว่าเ้าข้ามจากจิ่วโยวมาได้อย่างไร มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด และมากันกี่คน บางทีข้าอาจพิจารณาให้เ้ามีชีวิตอยู่ต่อก็เป็ได้”
หญิงสาวหัวเราะขึ้นมาทันที “จิ่วฟางเทียนฉี ที่บอกว่าเ้าไร้เดียงสา ดูท่าจะเป็เช่นนั้นจริงๆ”
“อะไรนะ ไม่อยากเล่าอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นแค่บอกข้าว่าเ้าชื่ออะไรคงได้กระมัง”
นางเม้มริมฝีปาก ไม่ชายตาแลเขา
จิ่วฟางเทียนฉีลองหยั่งเชิง “จิ่วเอ๋อร์หรือ?”
นางตกตะลึง ท่าทีดูแปลกประหลาดไปเล็กน้อย
“เป็เช่นนี้สินะ” เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย จิ่วฟางเทียนฉีก็หัวเราะราวกับได้รับชัยชนะ
“ถ้าเช่นนั้น ลั่วจิ่วเอ๋อร์จากิเยวี่ยฟางก็คือเ้าสินะ”
“แล้วอย่างไร”
จิ่วฟางเทียนฉีเบ้ปาก “ถึงขนาดหลอกคุณชายรองตระกูลอวิ๋นให้หัวหมุนได้ ข้าคงไม่อาจประมาทเ้า แต่...”
จู่ๆ แววตาของจิ่วฟางเทียนฉีก็เปลี่ยนเป็เ็า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นะเื “เ้ายังต้องฝึกโกหกให้แเีกว่านี้นะ ลั่วจิ่วเอ๋อร์ไม่ใช่ชื่อจริงของเ้าใช่หรือไม่ หากเดาไม่ผิด ิจิ่วเอ๋อร์คงเป็ชื่อจริงของเ้า!”
“เ้า เ้ารู้ได้อย่างไร” ใบหน้าของหญิงสาวแสดงออกถึงความประหลาดใจ
จิ่วฟางเทียนฉีส่งเสียงไม่พอใจ “ทำไมหรือ ข้าแค่เดาชื่อเ้าได้ก็ตกอกใขนาดนี้เชียว ยังมีสิ่งที่ทำให้เ้าประหลาดใจได้มากกว่านี้อีก เ้าบอกว่าข้าไร้เดียงสาอย่างนั้นหรือ ข้าว่าเป็เ้าเสียมากกว่า หาก้าปิดบังตัวตน คราวหน้าอย่าใช้ชื่อจริงจะดีกว่า แม้จะเปลี่ยนแซ่ แต่เมื่อรู้ชื่อแล้วก็ทำให้ง่ายต่อการคาดเดา ว่าไหม? องค์หญิงเก้าแห่งตระกูลจิ้งจอกเก้าหาง”
ิจิ่วเอ๋อร์พลันมีท่าทีสงบลงและเอ่ยว่า “เดาได้แล้วอย่างไร ข้าต้องกลัวเ้าหรือ ข้าเองก็รู้จักตัวตนของเ้ามานานแล้วเช่นกัน เราทั้งสองต่างฝ่ายต่างก็รู้เื่ของกันและกัน”
จิ่วฟางเทียนฉีขมวดคิ้ว มองด้วยแววตาเฉยชา ในตอนที่ตั้งใจจะก้าวเข้าไปเค้นถาม ก็มีเสียงนกหวีดไม้ดังมาจากป่า
—-------------------------
