กลิ่นอายความเยือกเย็นและน่าเกรงขามของเซี่ยอวิ้นทั้งที่ห่างกันมากขนาดนี้ยังทำให้ผู้คนไม่กล้ามองข้าม เสิ่นมู่ชิงที่ยืนอยู่ข้างกายแม่ทัพใหญ่ทำหน้าครุ่นคิด หากไม่ใช่เพราะสีหน้าอึมครึมที่ไม่เคยลดน้อยลงแม้แต่นิดเดียว ดูแล้วกลับคุ้นตาเหมือนคนคนหนึ่ง
สายตาของทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็นกู้เจิงที่หน้าโรงน้ำชาแม้แต่น้อย
กู้เจิงรีบถอนสายตากลับแล้วขับรถจากไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน คราวก่อนที่นางเจอเสิ่นมู่ชิงกับพี่สะใภ้ของเขาระหว่างทาง ตอนนั้นแม่ทัพเซี่ยก็ได้เชิญเขาไปดื่มชาด้วยกัน ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพผู้สูงส่งคนนั้นจะสนใจกับหัวหน้าเสมียนเล็กๆ ทำไม
พอกลับถึงกลับบ้าน กู้เจิงก็เห็นว่าแม่สามีกลับมาแล้ว แม่สามีกำลังคิดคำนวณพลางจดสิ่งของอยู่ในห้องครัว
“เ้ากลับมาแล้วหรือ?” นายหญิงเสิ่นเอ่ยทัก ก่อนจะก้มหน้าขีดเขียนต่อ “จวนหลังใหม่ของเ้ามีอะไร้าเพิ่มไหม?”
“ท่านพ่อท่านแม่จัดการให้ข้าหมดแล้วเ้าค่ะ”
ลูกคิดในมือนายหญิงเสิ่นชะงักไป สายตาอ่อนโยนมองมาที่กู้เจิงพลางเอ่ยว่า “ตอนเรือนหลังก่อนนั้นก็ช่วยซื้อเครื่องเรือนใหม่ให้ แล้วมาจวนนี้ที่ทางการประทานให้ต้องใหญ่กว่าเรือนหลังนั้นแน่ นี่ต้องใช้เงินเท่าไหร่กันเชียว?”
“ท่านพี่เป็บัณฑิตประจำนักราชเลขา ท่านพ่อดีใจมาก ท่านแม่ก็เลยเห็นด้วยเ้าค่ะ” กู้เจิงยิ้ม
“ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจมองว่าเป็เื่ปกติ ตอนอาเยี่ยนกลับมา เ้าต้องบอกเื่นี้กับเขา อย่าให้ครอบครัวเ้าต้องลำบากเสียเงินเสียทองมากมาย”
“เ้าค่ะ ข้าจะบอกเขาในตอนเย็น” กู้เจิงมองสมุดที่แม่สามีเขียนอย่างสนใจ “ท่านแม่กำลังคิดบัญชีอยู่หรือเ้าคะ?”
“ฤดูใบไม้ผลิเริ่มแล้ว ข้ากำลังคิดค่าแรงงานในอีกสามเดือนข้างหน้า ที่เราต้องจ้างคนมาทำงานในทุ่งนาของเรา”
กู้เจิงพลิกเปิดดูไปหลายหน้า นางเห็นชื่อสวี่เจาเด็กเลี้ยงวัวในนั้นด้วย “ท่านแม่ ข้าไม่เห็นเด็กเลี้ยงวัวมาหลายวันแล้วเ้าค่ะ”
“เขาหายไปแล้ว”
กู้เจิงตาโต
นายหญิงเสิ่นถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า “ไม่กี่วันหลังจากแม่เขาเกิดเื่ เด็กคนนั้นก็หนีออกจากบ้านไป จนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ”
กู้เจิงนึกถึงวันที่เสี่ยวอิ๋นฮวาอายุครบรอบหนึ่งเดือน เสี่ยวเหมาเอ๋อร์เสิ่นฉินบอกกับนางว่าสวี่เจาหายตัวไป ตอนนั้นนางก็ไม่ได้ใส่ใจ คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนั้นจะหนีออกจากบ้านไปจริงๆ “เขาจะไปไหนได้เ้าคะ?”
นายหญิงเสิ่นส่ายหน้า “ครอบครัวเขากับญาติทุกคนต่างตัดขาดจากกันแล้ว เขาเป็แค่เด็กคนหนึ่ง เฮ้อ หวังว่าเขาจะปลอดภัยนะ”
อาหารเย็นวันนี้ยังคงไปกินกันที่บ้านของลุงรอง เป็อาหารที่เหลือมาจากเมื่อวานและมีอาหารที่ทำเพิ่มด้วยจำนวนหนึ่ง
ฟางอวิ๋นเหนียงที่มีฐานะเป็ภรรยาหมาดๆ นั้น นางมีท่าทางใจกว้างและสง่างามบวกกับรูปร่างหน้าตาไม่เลว คนตระกูลเสิ่นจึงมีความรู้สึกดีต่อหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาใหม่คนนี้มาก
“ดูดอกไม้สองดอกในกลุ่มสะใภ้ตระกูลเสิ่นสิ” ระหว่างมื้ออาหาร ป้าใหญ่ชี้นิ้วไปที่ฟางอวิ๋นเอ๋อร์กับกู้เจิง “ดูพวกนางสิ กินข้าวไปกว่าหนึ่งชามแล้ว”
“ท่านแม่ คำพูดนี้ของท่าน ทำเราเสียใจนะเ้าคะ ใช่ไหม พี่สะใภ้ใหญ่?” เหอซื่อพี่สะใภ้รองยิ้มแล้วดึงพี่สะใภ้ใหญ่มาร่วมด้วย
“ใช่เ้าค่ะ ท่านแม่อย่าได้ลำเอียง” พี่สะใภ้ใหญ่ถงซื่อยิ้มสนับสนุน
“ดูคนเป็แม่แล้วสองคนนี้สิ เ้างาม เ้าสองคนงามที่สุดแล้ว” ป้าใหญ่เอ่ยชมทั้งสองด้วย
ทุกคนหัวเราะกันอย่างขบขั แม้ว่าเด็กๆ จะไม่รู้ว่าผู้ใหญ่กำลังหัวเราะขำขันอะไรอยู่ แต่พวกเขาก็หัวเราะตาม
ฟางอวิ๋นเหนียงกับกู้เจิงมองหน้ากัน อย่างไรเสียฟางอวิ๋นเอ๋อร์ก็เพิ่งแต่งงานเข้ามา นางจึงยังไม่ชินกับทุกคนนัก นางได้แต่นั่งเขินอายอยู่เงียบๆ ต่างจากกู้เจิงที่สนิทกับทุกคนแล้ว
เสิ่นเยี่ยนกลับมาไม่ทันร่วมมื้ออาหารกับทุกคน แต่ป้ารองได้เก็บอาหารไว้ให้เขาแล้วด้วยความใส่ใจ
“อวิ๋นเหนียง นี่คือญาติผู้น้องของข้า เสิ่นเยี่ยน เ้าเคยพบแล้วในวันแต่งงาน” เสิ่นกุ้ยบอกกับภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันมาว่า “อย่าเห็นว่าเขาแต่งตัวธรรมดา เพราะตอนนี้เขาเป็ใต้เท้าขั้นสองแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะย้ายไปอยู่ที่จวนขุนนางที่ในวังมอบให้”
“พี่สะใภ้” เสิ่นเยี่ยนทักทายเรียบๆ
ฟางอวิ๋นเหนียงก็กล่าวทักทายเช่นกัน นางมองเสิ่นเยี่ยนอย่างสงสัย ก่อนถามสามีว่า “ข้าโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นจวนขุนนาง พวกเราไปดูได้ไหมเ้าคะ?”
กู้เจิงได้ยินก็ยิ้มขำ “รอจนย้ายเข้าไปแล้ว จะเชิญเหล่าผู้าุโและเพื่อนๆ มากินข้าวด้วยกัน และจะได้รู้ทางด้วย”
ฟางอวิ๋นเหนียงส่งเสียงอ้อเบาๆ สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งใหม่ๆ
“จะว่าไป ข้าอายุมากขนาดนี้แล้ว ก็ไม่เคยเห็นจวนขุนนางมาก่อน ต้องสวยมากแน่” ลุงใหญ่เอ่ยเช่นกัน
ชั่วขณะนั้น ทุกคนล้วนจดจ่ออยู่กับจวนของกู้เจิงและเสิ่นเยี่ยน
กู้เจิงอธิบายลักษณะของจวนในวันนี้อย่างละเอียด ทุกคนฟังแล้วต่างอุทานออกมาด้วยความใ
หลายวันมานี้ทุกคนเหนื่อยล้ากับการเตรียมงานแต่งงาน ดังนั้นหลังจากทานอาหารเสร็จพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อนกัน ตลอดทางกู้เจิงบอกฤกษ์วันย้ายบ้านของซู่เหนียงให้คนตระกูลเสิ่นฟัง ทุกคนไม่มีความเห็นอื่นจึงตัดสินใจย้ายเข้าจวนหลังใหม่ในอีกสองวัน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน กู้เจิงก็เล่าเื่ของแม่ทัพใหญ่เซี่ยกับเสิ่นมู่ชิงให้สามีฟังด้วย
เสิ่นเยี่ยนยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่า “แม่ทัพเซี่ยท่านนั้นคิดจะลากตัวเสิ่นมู่ชิงไปทำงานในค่ายทหารของเขา แต่เป้าหมายของเสิ่นมู่ชิงไม่ได้อยู่ที่ค่ายทหาร แต่ด้วยความดึงดันของแม่ทัพเซี่ย ไม่แน่ว่าอาจถูกเขาดึงตัวไปจริงๆ ก็ได้”
กู้เจิงมุดเข้าไปคลอเคลียเสิ่นเยี่ยน “แล้วเสิ่นมู่ชิงมีอะไรดีเ้าคะ? คู่ควรที่ท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยไปเชิญด้วยตัวเองหรือ?”
เสิ่นเยี่ยนมองเปลวเทียนบนโต๊ะ เขาเอ่ยเสียงเรียบ “เสิ่นมู่ชิงเหมือนเขาตอนยังเยาว์มาก”
กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ “เขา? ท่านหมายถึงเสิ่นมู่ชิงกับเทพาคนนั้นในวัยหนุ่มหรือเ้าคะ?” แปลกนัก เสิ่นเยี่ยนรู้ได้อย่างไรว่าตอนยังหนุ่มเทพาหน้าตาเป็อย่างไร?
“เ้าเป็ห่วงเสิ่นมู่ชิงมากหรือ?” จู่ๆ หัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป ดวงตาดำขลับเริ่มหรี่ลง เขามองนางด้วยสายตาอันตราย
“ข้าจะห่วงเขาไปทำไมเ้าคะ? สิ่งที่ข้ากังวลอยู่ชัดๆ ก็คือ...” พูดถึงเทพาก็ดูจะไม่เหมาะสม ไม่ๆ เดิมทีนางไม่ได้สนใจเลยสักนิด เหตุใดคุยกันไปกันมาบรรยากาศถึงได้เปลี่ยนไปเล่า? กู้เจิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าก็คุยอะไรไร้สาระไปเรื่อยน่ะเ้าค่ะ”
“ไร้สาระ? งั้นหรือ?” เสิ่นเยี่ยนไม่ชอบให้ภรรยาเอ่ยถึงผู้ชายคนนั้น ตามคาดกู้เจิงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและพูดว่า “จริงสิ วันนี้ท่านแม่คำนวณค่าแรงที่จะจ้างคนมาทำนา แต่ถ้าเกิดภัยทางธรรมชาติ รายได้ของครอบครัวเราก็จะน้อยลง แล้วพวกเราจะทำยังไงเ้าคะ?”
“แต่งงานมาตั้งนานแล้ว เ้าเพิ่งคิดปัญหานี้ได้หรือ?”
หากไม่ใช่เพราะวันนี้เห็นแม่สามีวางแผนคิดคำนวณเื่นี้ นางคงไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน “รีบว่ามาสิเ้าคะ”
“ปกติท่านพ่อจะทำการค้าเล็กๆ อยู่แล้ว นั่นคือการค้าเมล็ดพันธุ์” เสิ่นเยี่ยนพูดต่อด้วยเสียงเรียบ “แม้ว่าต้าเยว่จะอุดมสมบูรณ์ แต่แคว้นอื่นๆ ก็ยังมีเมล็ดพันธุ์ที่ต้าเยว่ของเราไม่มี ท่านพ่อมีขบวนสินค้าขนาดเล็กที่เดินทางมายี่สิบกว่าปี เพื่อขายเมล็ดพันธุ์ให้กับแคว้นต่างๆ โดยเฉพาะ”
“ท่านพ่อเก่งกาจขนาดนั้นเลยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงอุทานอย่างใ แต่คิดอีกที “เหมือนเคยได้ยินท่านป้ารองเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นท่านแม่ได้พบกับท่านพ่อที่ไปซื้อเมล็ดพันธุ์ตรงชายแดนเ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว ถ้าไม่มีท่านพ่อ ข้ากับท่านแม่คงตายไปแล้ว” เสิ่นเยี่ยตอบ
“ท่านพูดแปลกนัก หากไม่มีท่านพ่อ แน่นอนว่าย่อมไม่มีท่าน” กู้เจิงห่มผ้า ก่อนจะค่อยๆ จมดิ่งสู่ห้วงแห่งความฝัน
หอสมุดเพิ่งเปิดได้ไม่กี่วัน ชุนหงก็ยุ่งมากจนไม่อาจกินข้าวครบทั้งสามมื้อที่บ้านได้ ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น กู้เจิงจึงตื่นแต่เช้าตรู่ นางทำบะหมี่มีดเฉือน* ที่ชุนหงชอบกินที่สุด แต่ไม่คิดว่าหลังชุนหงล้างหน้าล้างตาแล้วจะโบกมือปฏิเสธ “คุณหนู บ่าวไม่มีเวลากินข้าวที่บ้าน ลุงหม่าซื้อหมั่นโถวให้ข้าแล้ว บ่าวไปก่อนนะเ้าคะ”
(*เป็อาหารขึ้นชื่อของมณฑลซานซีที่อยู่ทางตอนเหนือของจีน เป็การนวดแป้งเป็ก้อนแล้วใช้มีดเฉือนเป็เส้นๆ)
“คิดไม่ถึงว่าสาวน้อยคนนี้จะขยันทำงานได้ขนาดนี้” กู้เจิงมองชุนหงที่จากไปอย่างรีบร้อน
นายท่านเสิ่นถือจอบออกมาจากห้องเก็บฟืนพอดี กู้เจิงเลยเอ่ยทักทาย
“อรุณสวัสดิ์เ้าค่ะท่านพ่อ” กู้เจิงรีบทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ ใครขยันทำงานหรือ?” นายท่านเสิ่นได้ยินกู้เจิงเอ่ยแว่วๆ
“ชุนหงน่ะสิเ้าคะ ตอนนี้นางเป็ผู้หญิงที่ทั้งหาเงินได้และสามารถจัดการทุกอย่างได้ดีมากเ้าค่ะ”
“งั้นภรรยาข้าก็ใช่ด้วยสิ”
“พวกเ้ากำลังคุยอะไรอยู่น่ะ? อาเจิง แป้งยังไม่เข้ากันดีอีกหรือ?” นายหญิงเสิ่นโผล่ร่างออกมาจากห้องครัวครึ่งตัว
กู้เจิงวิ่งเข้าไปในห้องครัว “ได้แล้วเ้าค่ะ ได้แล้ว”
นายหญิงเสิ่นหันมาพูดกับสามีว่า “ท่านกินข้าวเสร็จก่อนแล้วค่อยไปที่ทุ่งนาเถอะ วันนี้ทำบะหมี่มีดเฉือน ใกล้จะเสร็จแล้ว”
“ได้สิ” เขารับคำเบาๆ