อาภรณ์ที่อยู่ในร้านไม่เหมือนที่ไหนๆ สวมออกไปไม่เพียงแต่มีรูปแบบที่สวยงาม หลังจากวัดตัวตัดชุดเรียบร้อย ยังมีการแก้ไขอำพรางจุดบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยเสริมรูปลักษณ์ให้ผู้สวมใส่เป็พิเศษ ทำให้อาภรณ์แต่ละชุดที่ตัดออกมามีเอกลักษณ์ ส่งเสริมสตรีที่สวมใส่อาภรณ์ของทางร้านให้มีความโดดเด่นเฉพาะตัว ดังนั้นนี่จึงเป็สาเหตุให้เหล่าคุณหนูและฮูหยินในเมืองหลวงต่างมารวมตัวอยู่ที่ร้านผ้าแห่งนี้อย่างคับคั่ง
เสื้อผ้าที่สวยงามร้านไหนๆ ก็ตัดได้ แต่เสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียว กลับมีเฉพาะร้านนี้เท่านั้น แล้วจะไม่ให้สตรีที่รักสวยรักงามแห่แหนกันมาได้อย่างไร
เห็นลั่วิจูดูมีความสุข โม่เสวี่ยถงก็ฉวยโอกาสหยอกเอิน “พี่หญิงเข้าไปวัดตัวตัดชุดเถิด เดี๋ยวข้าจะออกไปดูสักหน่อย เ้าเหมยแดงนี้ก็สวยดีอยู่หรอก แต่เราก็ไม่อาจฉวยดอกไม้ของผู้อื่นติดมือกลับไปด้วย ถ้าเกิดมาอีกหลายครั้ง ต่อให้ทางร้านมีต้นเหมยก็คงไม่พอให้เด็ดหรอกจริงหรือไม่”
“แหม... ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ใช่ว่าพวกเรามาบ่อยที่ไหนกันเล่า หากน้องหญิงชอบเหมยแดงช่อนี้ ก็ขอซื้อกับทางร้านเสียเลย หากเ้าอายไม่กล้าเอ่ยปาก เดี๋ยวข้าเข้าไปถามให้เอง” ลั่วิจูกล่าวง่ายๆ
นางเป็คุณหนูจวนฝู่กั๋วกง แม้ว่าจะไม่เย่อหยิ่งจองหอง แต่อำนาจบารมีย่อมมีอยู่
“พี่หญิงไปเถอะ ข้าจะดื่มชาอยู่ที่นี่ อีกประเดี๋ยวค่อยไปเลือกซื้ออาภรณ์ ถงเอ๋อร์อยู่เมืองอวิ๋นเฉิงมาตลอด ไม่รู้ว่าในเมืองหลวงเขานิยมชมชอบอย่างไรกันบ้าง อีกสักครู่พี่หญิงโปรดช่วยถงเอ๋อร์เลือกอาภรณ์ด้วยนะเ้าคะ” นางยิ้มให้ลั่วิจูพร้อมกับเปลี่ยนเื่คุย
นางไม่้าให้เกิดปัญหาเพียงเพราะบุปผาช่อเดียว อันสามารถทำให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นเข้ามาฉวยโอกาสได้
เมื่อได้ยินว่าโม่เสวี่ยถงยังอยากให้นางช่วยเลือกอาภรณ์ ความสนใจของลั่วิจูจึงเบี่ยงเบนไป นางยิ้มตอบพร้อมกับรับคำ จากนั้นก็พาคนเดินไปวัดตัวเพื่อตัดชุดอีกด้านหนึ่ง
โม่เสวี่ยถงนั่งลงบนเก้าอี้หวายพนักพิงโค้งมนซึ่งพิงอยู่ข้างหน้าต่าง กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายมีคล้ายไม่มีของชากรุ่นอวลอยู่ภายในห้อง แสงตะวันยามบ่ายทำให้นางนึกี้เีขึ้นมาเล็กน้อย เก้าอี้หวายตัวใหญ่้าปูด้วยเบาะหนาสองชิ้น ดูกึ่งๆ คล้ายกับตั่งคนงามขนาดเล็ก นั่งสบายดีเหลือเกินจนอยากหลับสักงีบ
เดิมทีโม่เสวี่ยถงตั้งใจจะพักผ่อนเพียงเล็กน้อย แต่พอหย่อนกายลงบนเก้าอี้หวายตัวนี้ความเกียจคร้านและง่วงงุนพลันผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แสงแดดยามเหมันต์ทาบไล้ลงมาบนเรือนกายให้ความรู้สึกอบอุ่นท่ามกลางบรรยากาศหนาวเย็น ยั่วยวนให้เอนกายลงบนเบาะนุ่ม เอื้อมมือไปหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วพลิกอ่านด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน โม่เหอยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้านนอก นางจึงวางใจอย่างยิ่ง
ภายในห้องมีเพียงเสียงพลิกตำรา ความเงียบทำให้นางรู้สึกสงบสุข สายตากวาดมองไปที่ดอกเหมยสีแดงชาดที่เร่าร้อนทรงเสน่ห์ประหนึ่งเปลวเพลิง ช่างงดงามจับใจยิ่ง
เสียงผลักประตูดังขึ้นเบาๆ มีคนเดินเข้ามา เนื่องจากกำลังพักผ่อนอยู่ในท่วงท่าผ่อนคลาย นางจึงมิได้ตั้งกำแพงป้องกันความปลอดภัยเหมือนเช่นยามปรกติ ด้วยนึกว่าโม่เหอคงเข้ามาเติมน้ำชาให้จึงมิได้ใส่ใจ เพียงแค่ยื่นออกไปดันถ้วยชาส่งให้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “ไม่ต้องเติมเยอะ อย่าให้ร้อนลวกจนดื่มไม่ได้เล่า แค่ครึ่งถ้วยก็พอ อีกประเดี๋ยวลูกผู้พี่ก็กลับมาแล้ว คงไม่อาจพักผ่อนต่อไปได้อีก”
มือขาวกระจ่างยาวเรียวยื่นเข้ามารับถ้วยชาจากมือนาง เสียงเทน้ำชาเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เจือไปด้วยความรู้สึกเอ้อระเหย “วางใจเถิด พี่สาวลูกผู้พี่ของเ้ายังไม่กลับมาเร็วๆ นี้หรอก”
เซวียนอ๋อง?
โม่เสวี่ยถงตะลึงพรึงเพริด เงยหน้าขึ้นโดยพลัน จึงปะกับใบหน้าหล่อร้ายของชายหนุ่มโดยไม่คาดฝัน
เฟิงเจวี๋ยหร่านสวมอาภรณ์สีม่วง ปักลายดอกม่านถัวหลัวสีแดงเพลิงอยู่รอบชายเสื้อ ชุดคลุมตัวยาวพลิ้วเบาดูมีเสน่ห์ยั่วยวนทว่าไม่ทิ้งความงามสง่า วางมาดหยิ่งผยอง กลิ่นอายสูงศักดิ์แผ่ซ่านออกมาจากทั่วร่าง ดวงตาเรียวหรี่แคบทอประกายหยาดน้ำระยิบระยับ มุมปากเย้ายวนยกขึ้นเล็กน้อย
เฟิงเจวี๋ยหร่านวางถ้วยชาในมือลง แล้วหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้หวายที่อยู่ตรงข้ามกับโม่เสวี่ยถง ดวงตาทอประกายวูบ ประตูที่อยู่ด้านหลังปิดลงอย่างเงียบเชียบ ไม่ต้องบอกก็พอคาดเดาได้ว่าโม่เหอที่อยู่ด้านนอกคงถูกควบคุมตัวไว้แล้ว มิเช่นนั้นเขาจะเข้ามาโดยไร้สุ้มเสียงเช่นนี้ได้อย่างไร
โม่เสวี่ยถงลอบถอนใจเงียบๆ หยัดกายนั่งตรงแล้วเอยถาม “สาวใช้ของข้าล่ะ?”
“วางใจน่า... เปิ่นหวางย่อมรู้ขอบเขตอันสมควร” เฟิงเจวี๋ยหร่านรินน้ำชาอีกถ้วยให้ตนเอง แล้วยกขึ้นชิดริมฝีปากเป่าเบาๆ ก่อนจิบอย่างสบายใจ ดวงตาฉายแววยิ้มกรุ่นมองโม่เสวี่ยถงที่นั่งหลังตรงดูเคร่งขรึม นางสวมปั้นปี้[1] สีชมพูกลีบบัวทับเสื้อตัวใน ชุดกระโปรงหรูฉวินตัวยาวปักลายผีเสื้อเริงระบำรายล้อมบุปผา แถบคาดสีขาวรัดรึงรอบอก เอวบางคอดกิ่วราวกับกระหวัดได้ด้วยมือเดียว ท่วงท่าการนั่งดูงามชดช้อย ในความสดใสมีชีวิตชีวาเจือไปด้วยความเปราะบางน่าทะนุถนอม
ไม่ได้เจอกันหลายวัน องคาพยพทั้งห้าที่อ่อนเยาว์ไร้เดียงสาดูเหมือนจะเติบโตขึ้น
เส้นผมยาวดำขลับประหนึ่งหยกนิล มุ่นมวยหลวมๆ ผมปอยเล็กๆ ทิ้งตัวลงมาคลอเคลียแก้มใส ผิวพรรณขาวกระจ่างนวลเนียนราวกับดอกฝูหรง ดวงตาสีขาวและดำตัดกันทอประกายระยิบระยับราวกับน้ำพุ เนื่องจากเพิ่งหยัดกายขึ้นมา ความง่วงงุนเกียจคร้านภายใต้ก้นบึ้งดวงตายังไม่คลายไป ใบหน้ากระจ่างใสไร้สีแป้งชาดแต้มทาดูเป็ธรรมชาติ สะท้อนให้เห็นความงดงามที่อยู่ภายใต้ความเรียบง่าย ทว่าดวงตาประกายหยดน้ำพลันไหววูบกร้าวขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ
“ท่านอ๋องมาวันนี้ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดชี้แนะ?” โม่เสวี่ยถงเอ่ยถามไปตามน้ำ ไม่มีความคิดต่อต้านเขาแม้แต่น้อย
เฟิงเจวี๋ยหร่านโบกมือปฏิเสธ “เปิ่นหวางจะมาเดินเล่นที่นี่บ้างไม่ได้หรือไร หรือว่าผู้อื่นมาได้ แต่เปิ่นหวางมาไม่ได้”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องโถงใหญ่ชั้นล่างเมื่อครู่ เห็นบุรุษผู้นั้นมาเกาะแกะโม่เสวี่ยถง ความหงุดหงิดกระแสหนึ่งก็พาดผ่านเข้ามาในหัวใจโดยไม่รู้ตัว
“เปิ่นหวางนึกอยากจะไปไหนก็ไปนั่นแหละ”
โม่เสวี่ยถงมองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่ยังยิ้มอยู่ดีๆ เพียงพริบตาเดียวไฉนจึงหน้าบึ้งเสียแล้ว แต่ก็ไม่กล้าถาม ยิ้มกล่าวร้องรับไปกับเขาประโยคหนึ่ง “หากท่านอ๋องยังมาไม่ได้ ผู้อื่นก็ยิ่งไม่อาจมาได้แล้ว” คนผู้นี้นางไม่กล้าล่วงเกิน เขาเหมือนงูพิษที่มีลวดลายสีสันงดงาม แต่ไม่รู้ว่าจะแว้งกัดเอาชีวิตเวลาไหน
เห็นนางกิริยาวาจานุ่มนวล เต็มไปด้วยความเคารพนบนอบ เฟิงเจวี๋ยหร่านก็รู้สึกพึงพอใจ นั่งพิงเก้าอี้อย่างเอ้อระเหย ัักับแสงแดดอุ่นยามเหมันต์ “โม่เสวี่ยถง เปิ่นหวางช่วยเ้าจัดการเื่ใหญ่มาแล้วคราหนึ่ง เ้าควรจะขอบคุณเปิ่นหวางสักหน่อยหรือไม่?” กล่าวจบหางตาพลันหรี่ลงเล็กน้อย รังสีอันตรายจางๆ สายหนึ่งคล้ายพุ่งเข้ามาหา ดูเหมือนเป็สัญญาณก่อนที่โทสะจะประทุ
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เมตตาช่วยเหลือ วันนั้นรบกวนท่านอ๋องมากมายจริงๆ วันหน้าหากมีโอกาส ข้าต้องตอบแทนท่านอ๋องแน่นอน” ที่แท้จะทวงบุญคุณนี่เอง นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไฉนจู่ๆ ท่านอ๋องผู้สง่าผ่าเผยจึงทำตัวคล้ายเด็กน้อยอมมือไปเสียได้
เห็นนางทำตัวเป็เด็กดีเชื่อฟัง ยอมพูดจาเออออไปกับตนเอง แต่ดวงตาพริ้มเพราที่ลอบมองปฏิกิริยาของเขากลับฉายแววกระสับกระส่าย ขบเม้มริมฝีปากเบาๆ เฟิงเจวี๋ยหร่านเห็นแล้วก็ยิ่งเริงใจ ความอึดอัดกลัดกลุ้มสายนั้นเหมือนคลี่คลายลงไปมาก แทบหัวเราะขำก๊ากออกมาเสียเดี๋ยวนั้น สีหน้าบึ้งตึงเริ่มผ่อนคลายลง
เฟิงเจวี๋ยหร่านเอนกายในท่าสบาย ปรายหางตามาที่โม่เสวี่ยถงซึ่งเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เห็นนางนั่งเกร็งระมัดระวังตัวทุกกระเบียด ไม่แยกเขี้ยวกางเล็บขู่ฟอดใส่เขาเหมือนทุกที ดูคล้ายแมวน้อยทำผิดที่รอรับโทษจากเขา มุมปากพลันกระดกขึ้น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเอ้อระเหย มีโอกาสทั้งทีเขาจะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด
“แล้วต่อไปเ้าคิดจะตอบแทนเปิ่นหวางอย่างไรหรือ?”
“อ๋า...” โม่เสวี่ยถงอึ้งงันไปชั่วครู่ กะพริบตาปริบๆ สองสามครั้ง ถึงเข้าใจแจ่มชัดว่าเขา้าทวงบุญคุณนี่เอง
“หรือเ้าไม่คิดว่าควรตอบแทนบุญคุณข้า?”
เห็นนางทำหน้าเหลอหลา เฟิงเจวี๋ยหร่านก็หัวเราะเสียงดังลั่นลุกขึ้นมานั่งตัวตรง เลื่อนกายเข้ามาจ้องหน้านาง พลางกดเสียงต่ำกระซิบข้างหูนาง
“หากวันนั้นไม่ใช่เพราะข้าจับกุมตัวตาแก่นั่นได้ ป่านนี้คงลือกระหึ่มไปทั้งเมืองแล้วว่าคุณหนูสามสกุลโม่เป็คนหยิ่งผยอง เหิมเกริมทำเื่เลวร้าย ไม่แคล้วต้องประสบชะตากรรมเดียวกับหลานสาวของฮองเฮาผู้นั้น อยากจะแต่งงานกับใครก็แต่งไม่ออก ดังนั้น...”
เขาตั้งใจหยุดพูดเพียงเท่านี้ ดวงตาคมหล่อเหลาทอประกายซับซ้อนหลากหลาย เผยให้เห็นเสน่ห์ยวนใจร้ายลึก เขาเป่าลมอุ่นๆ รดข้างหูโม่เสวี่ยถง ทันทีที่ลมร้อนปัดผ่านใบหน้าเล็กซึ่งแสร้งทำทีเป็สงบนิ่งไปจับที่ใบหู นางรีบโยกตัวไปด้านหลังเล็กน้อย เพื่อหลบเลี่ยงลมหายใจร้อนลวกของเขา
“ดังนั้นเ้าต้องตอบแทนข้า” เฟิงเจวี๋ยหร่านนั่งตัวตรงกล่าวอย่างหนักแน่น
ใคร้าให้เขาช่วยเหลือกันเล่า หากเขาไม่โผล่เข้ามาแทรก ป่านนี้ตนเองก็คงหาตัวชายชราผู้นั้นพบนานแล้ว ต้องให้โม่เยี่ยออกไปควานหาตัวอยู่หลายครา แต่ก็ไร้ผล ที่แท้คนถูกเขาจับตัวไปนี่เอง โม่เสวี่ยถงนึกแช่งชักหักกระดูกอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าล่วงเกินเขาจริงๆ
“ท่านอ๋องทรงประสงค์ให้ตอบแทนอย่างไร?” นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง หน้าผากขาวนวลมีเม็ดเหงื่อผุดพราย ใบหน้าไม่อาจรักษาความสงบนิ่งได้อีกต่อไป อารมณ์พุ่งพล่าน ขบริมฝีปากพยายามระงับโทสะสุดชีวิต เตือนตนเองว่าผู้อยู่เบื้องหน้าคือองค์ชายแปดผู้มีอารมณ์แปรปรวนไม่แน่นอน เป็เซวียนอ๋องผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ อย่าเผลอสติหลุดมิเช่นนั้นอาจส่งผลถึงงานใหญ่
แต่นางมีลางสังหรณ์ ว่าองค์ชายพระองค์นี้ต้องมิได้เป็คนเรื่อยเฉื่อย เอ้อระเหยลอยชายเหมือนที่แสดงให้เห็นเช่นนี้แน่
“หากเ้าจะใช้ร่างกายตอบแทนบุญคุณ ข้าก็ไม่คิดขัดข้อง” เห็นแววตากระจ่างใสของโม่เสวี่ยถงฉายแววกลัดกลุ้ม ทั้งอายทั้งโมโห เฟิงเจวี๋ยหร่านก็คล้ายดั่ง้าทดสอบขีดความอดทนของนาง ยิ่งเอื้อนเอ่ยวาจาก็ยิ่งฟังดูอบอุ่น ทว่าั์ตากลับทอประกายคมปลาบดูร้ายลึกขึ้นอีกหลายส่วน เห็นนางอารมณ์ขึ้นจนใบหน้าแดงก่ำ ทั้งเขินอายทั้งโมโห แต่กลับเพียรแข็งใจอดกลั้นไว้ เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ยกยิ้มเผยเสน่ห์เย้ายวนอย่างร้ายกาจ
เห็นนางโมโหจนลุกขึ้นทำท่าจะเดินไป เฟิงเจวี๋ยหร่านจึงค่อยๆ เอ่ยวาจาออกมาช้าๆ สายตามองพิจารณาั้แ่หัวจรดเท้า อย่างไม่รู้สึกพึงใจนัก
“แต่พอมาคิดตามความจริงแล้ว ข้าก็สมควรจะคัดค้าน เ้าดูตัวเองสิ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเนื้อหนังอยู่แค่สองสามส่วน มีที่พอดูได้อยู่ไม่กี่ส่วน ดังนั้นก็ไม่ต้องใช้ร่างกายตอบแทนก็ได้ แค่จำไว้ว่ายังติดค้างข้าอีกหนึ่งเื่ แบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นหน่อยหรือไม่”
คนผู้นี้ช่าง... หากสายตาสามารถสังหารคนได้ เกรงว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านคงถูกนางพิฆาตจนตายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
แต่ดูเหมือนคนผู้นั้นจะยังไม่รู้สึกตัว เห็นนางขบริมฝีปากไม่ตอบคำถาม ก็ยังเซ้าซี้ไม่เลิกรา “เ้าว่าระหว่างใช้ร่างกายตอบแทนกับติดหนี้ข้าอีกเงื่อนไข แบบไหนดีกว่ากัน? โอ... ช่างดูวุ่นวายดีแท้ ความหมายของข้าก็คือเ้าอย่าคิดใช้ร่างกายตอบแทนบุญคุณเด็ดขาด จวนข้ามีคนเยอะเกินไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเ้าคิดเห็นอย่างไร?”
อย่างไรน่ะหรือ? นางเห็นว่าเขาควรจะตายๆ ไปซะจะดีที่สุด ใครใช้ให้เ้าหนุ่มบ้านี่มาช่วยตนเองกันเล่า หากกลับตัวทัน นางยอมใช้วิธีอื่นเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองดีกว่า แต่ไม่ยอมตกมาอยู่ในมือของบุรุษจอมกะล่อนที่หลงตัวเองเป็ที่สุดเช่นเขาผู้นี้ ทางหนึ่งก็ใช้คำพูดอบอุ่นอ่อนโยน อีกทางกลับใช้สายตาน่ารังเกียจมองพิจารณาผู้อื่นอยู่ได้ คล้ายมีนัยดูิ่เหยียดหยาม กลัวว่านางจะบอกว่าขอใช้ร่างกายตอบแทนบุญคุณเยี่ยงนั้น
“ข้ายอมตกลงรับเงื่อนไขจากท่านอ๋องข้อหนึ่ง” นางเข่นเขี้ยวก่อนให้คำตอบ หากฟังให้ดีจะได้ยินเสียงกรามของนางบดกันดังกรอดๆ
“แบบนี้ก็ดี แต่อย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกันนะ” เฟิงเจวี๋ยหร่านกลับไปนั่งพิงอย่างสบายอารมณ์ แล้วกล่าวไปตามใจปาก
“ไม่นึกเสียใจภายหลังแน่นอน แม้ว่าข้าจะไม่ใช่วิญญูชน แต่ก็รักษาสัจจะยิ่งกว่าใครบางคนมากมายนัก” โม่เสวี่ยถงกล่าวด้วยความคับแค้น ตอนนี้นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ใครจะเชื่อว่าผู้ที่บีบบังคับให้ผู้อื่นตอบแทนบุญคุญก็คือเซวียนอ๋อง ผู้ที่ภายนอกร่ำลือกันว่าโดดเด่นเลอเลิศ นางหมดวาจาจริงๆ ได้แต่เอามือกุมหน้าผาก ด้วยรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนปรกติจริงๆ
เมื่อเจรจากันไปได้พักใหญ่ ในที่สุดโม่เสวี่ยถงก็ยอมติดหนี้น้ำใจเฟิงเจวี๋ยหร่านไว้อีกหนึ่งเงื่อนไข ตอนที่นางลุกเดินออกมา เขายังเอ่ยวาจาทิ้งท้ายชวนให้หงุดหงิดใจ
“โม่เสวี่ยถง วันหลังมีหากมีปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้นะ แค่บอกว่าท่านอ๋องช่วยข้าด้วยเถิดๆ อะไรทำนองนั้น หากข้าอารมณ์ดีก็อาจยอมช่วยเหลือเ้าก็ได้ แต่ถึงอย่างไรติดค้างไว้หนึ่งเื่ก็นับหนึ่ง ติดค้างไว้สองเื่ก็นับสอง เอาไว้ได้เยอะๆ เมื่อไร ต่อไปข้าค่อยคิดราคาให้เ้าถูกหน่อยก็แล้วกัน”
……………………………………………………………………………………………………….
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ปั้นปี้ คือ เสื้อที่มีลักษณะคล้ายเสื้อกั๊กที่ใช้สวมทับเสื้อตัวใน หน้าอกเป็แบบผ่าแล้วป้ายมาทับกันเป็แนวเฉียง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้