จิ้นจงยังคงเหม่อลอยนึกถึงอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงของซูจื่อเยี่ยที่อยู่ทางนั้นก็ดังขึ้น “ข้าเห็นแม่สาวน้อยถูกรังแกเช่นนั้น ข้าเองก็ย้อนนึกถึงพระชายาองค์ก่อน”
พระชายาในอ๋องผิงปัจจุบันก็คือหลานสาวของพระชายาองค์ก่อน
ลำพังสายสัมพันธ์นี้ พระชายาองค์ก่อนร่วมมือกับพระชายาองค์ปัจจุบันเพื่อรังแกเสด็จแม่ของเขาไม่น้อย
จิ้นจงเป็ผู้ใต้บังคับบัญชา เขาไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเื่ราวของพระราชวงศ์ จึงได้แต่ตอบว่า “นายท่านมีเมตตา คิดว่าแม่สาวน้อยต้องระลึกถึงบุญคุณนี้ของนายท่านในวันข้างหน้าเป็แน่”
“บุญคุณหรือ?” ซูจื่อเยี่ยรู้สึกว่านิสัยของแม่สาวน้อยค่อนข้างดื้อรั้น หากใช้บุญคุณมาข่มนาง เกรงว่าคงถูกนางใช้ฟันซี่เล็กกัดเข้าให้เสียมากกว่า
“ใช่สิ ทางด้านเกาจิ่ว มีข่าวคราวอะไรส่งมาบ้าง?”
จิ้นจงรายงานข่าวที่เกาจิ่วเรียบเรียงมาให้ในระหว่างนี้อย่างรวบรัด แล้วเอ่ย “เดิมทีตั้งใจว่าจะเรียนนายท่านเื่นี้ คิดไม่ถึงว่านายท่านจะถามขึ้นเองก่อน”
ซูจื่อเยี่ยหมดคำพูด ใคร้าฟังข่าวน่าเบื่อเหล่านี้กัน เขา้ารู้ว่า่นี้แม่สาวน้อยกำลังวุ่นกับเื่อะไร มนุษย์หนอ มิควรเหมือนน้ำเปล่า จำต้องเติมน้ำตาลบ้างบางครา หรือบางคราก็ต้องเติมใบชารสขมเพื่อดับร้อนบ้าง
จิ้นจงรับใช้เขามานานกว่าสิบปีแล้ว ย่อมรู้ดีว่าตอนนี้นายของตนนั้นอารมณ์บูด
เขาเกิดไหวพริบอย่างรวดเร็ว แล้วนึกถึงความเป็ไปได้อย่างหนึ่ง จึงเอ่ยอีกว่า “่นี้ตระกูลหลิวค่อนข้างคึกคัก”
ด้วยประโยคนี้เขาเห็นว่าหูของเ้านายตั้งตรงขึ้นมา พลันหัวเราะในใจ และทอดถอนใจว่าเป็เช่นนี้ก็ดี นายของตนจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตดั่งรูปปั้นแกะสลักทุกวัน
บ่ายวันนี้ จิ้นจงยืนแช่อยู่ในศาลาริมน้ำ และบอกเล่าเื่ราวของหลิวเต้าเซียงให้ซูจื่อเยี่ยฟัง แล้วยังได้ยินคำวิจารณ์ของเขาแทรกมาเป็พักๆ
“อืม แม่สาวน้อยนั้นใจเด็ดเสมอมา”
“ฮึ หากเปลี่ยนเป็ข้าละก็ จำต้องให้หลิวฉีซื่อกับหลิวซุนซื่อทะเลาะกันสักครา หรือไม่ก็ช่วยหลิวซุนซื่อฉีกหน้าเหม็นๆ ของหลิวฉีซื่อให้รู้แล้วรู้รอด”
“เฮอะๆ แม่สาวน้อยถือว่ายังพอมีเมตตาอยู่บ้าง หลิวซานกุ้ยผู้นั้นข้ามองว่าน่าจะยังเล่าเรียนได้ แม้ว่าไม่อาจเข้าราชสำนักได้ แต่เล่าเรียนตำราเ่าั้ ถึงอย่างไรก็เข้าใจหลักปรัชญาบ้างเป็การดี”
“อืม เป็การตบหน้าอย่างดี เอาให้ดังเพี๊ยะๆ!”
......
จิ้นเซี่ยวยืนฟังจนอึ้งอยู่ตรงนั้น พัดหล่นพื้นยังไม่รู้ตัว
จิ้นจงแข็งแกร่งกว่าเขา อย่างน้อยเล่ามาถึงตรงนี้ก็ยังรักษาสีหน้าและท่าทางได้ปกติ สำหรับเื่นี้จึงรู้สึว่าจิ้นเซี่ยวช่างอ่อนหัดเหลือเกิน
ดวงอาทิตย์สีแดงกําลังตกลงมาทางทิศตะวันตก นกที่เหนื่อยล้ากําลังกลับรัง
ในที่สุดจิ้นจงก็หยุดพูด ครั้งนี้สีหน้าของเขาได้ถูกทำลายลง ขณะนี้กำลังจ้องซูจื่อเยี่ยตาปริบๆ “นายท่าน กระหม่อมขอตัวดื่มน้ำสักหน่อยได้หรือไม่?”
หลังจากพูดคุยกันทั้งบ่าย นายท่านของตนกลับไม่ให้ดื่มแม้กระทั่งน้ำ ฮือๆ ใครเล่าจะรู้ว่าชีวิตของเขาลำบากเพียงใด!
ซูจื่อเยี่ยที่กำลังฟังได้อรรถรสเพิ่งได้สติ ใบหูแดงระเรื่อเล็กน้อย และเอ่ยด้วยน้ำเสียงทั้งโมโหและเขินอาย “เ้าอ่อนแอเช่นนี้ั้แ่เมื่อไร? น้ำก็อยู่บนโต๊ะ ต้องรอให้ข้ายกถึงมือเ้าให้ได้เลยหรือ?”
จิ้นจงหาได้สนใจว่าอารมณ์ของตนเป็เช่นไร ตอนนี้ลำคอแห้งผากจนมีควันลอยออกมา จึงยกกาน้ำชาขึ้นมา จากนั้นก็เป่าให้เย็นหน่อยและยกดื่มรวดเดียว
หลังจากนั้นก็เอื้อมมือใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตรงมุมปาก
ตามคาด ซูจื่อเยี่ยมองเขาด้วยท่าทางรังเกียจ
จิ้นเซี่ยวรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอ้อมอกของตน ปลายนิ้วก้อยกระดกขึ้น และแสร้งะโใส่จิ้นจงอย่างมีจริตจะก้าน “เ้าบ้า บอกตั้งกี่หนแล้วว่าห้ามใช้แขนเสื้อเช็ดปาก นายท่านของเราไม่ชอบ”
ซูจื่อเยี่ยแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างหมดคำจะกล่าว!
เขาแค่อยากเป็บุปผาที่หนาวเหน็บและสูงส่ง แต่เหตุใดการรักษาภาพลักษณ์นี้ถึงได้ยากเย็นเพียงนี้?
จิ้นจงยิ้มเย้าแหย่จิ้นเซี่ยว จากนั้นก็เกริ่นถึงเื่เทศกาลไหว้พระจันทร์
“นายท่าน ก่อนหน้านี้พระชายาให้คนส่งข่าวมาว่า เทศกาลไหว้พระจันทร์ให้เข้าร่วมงานเลี้ยง แล้วยังบอกอีกว่า แม้องค์ฮ่องเต้จะเป็คนพูดออกมา แต่ถึงอย่างไรก็เป็การสังสรรค์ของคนในราชวงศ์กันเอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีราชโองการมาแต่อย่างใด แล้วยังบอกว่าหากนายท่านไม่สะดวกก็ไม่ต้องไป ถึงอย่างไรทุกปีก็จัดเหมือนเดิม”
ซูจื่อเยี่ยเอนกายอย่างเกียจคร้านอยู่ตรงนั้น ดวงตายิ้มแย้มบดบังความเยือกเย็นข้างใน
“เช่นนั้นหรือ? เทศกาลไหว้พระจันทร์? จิ้นจง ข้าจำได้ว่าอีกไม่นาน พี่สาวแสนดีของข้าผู้นั้นจะโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว”
พี่สาวแสนดีที่เขาระบุถึงคือเกิดจากพระชายา ข้างบนยังมีพี่ชายใหญ่อีกหนึ่งคน
พระชายาให้กำเนิดบุตรชายและบุตรธิดาเพียงอย่างละหนึ่ง พี่ชายคนโตนามว่า ซูจื่อหง ส่วนน้องสาวคนที่สองนามว่า ซูฮุ่ยหยา
ความชิงชังและประชดประชันในน้ำเสียงของซูจื่อเยี่ยนั้นฟังออกไม่ยาก
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าพระชายา้าอาศัยโอกาสการฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์เพื่อขอพระราชทานของขวัญอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องผิงคือลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ไม่ได้เป็พระเชษฐากันโดยตรง และเนื่องจากซูฮุ่ยหยายังมีพี่ชายซึ่งเป็โอรสในอ๋องผิง ด้วยเหตุนี้ ยศจวิ้นจู่ที่ได้มาจึงจำเป็ต้องให้พระชายาเอกในอ๋องผิงเป็ผู้ยื่นขอเท่านั้น
“นางช่างบังอาจคิดได้เหลือเกิน คงแทบอยากจะฮุบทุกอย่างไว้เป็ของตนเอง”
จากนั้นเขาก็โบกมืออย่างเฉยเมย สำหรับเื่ของพระชายาเอกในอ๋องผิง เขาไม่จำเป็ต้องสิ้นเปลืองสมองไปคิดมากนัก
“จิ้นจง อีกกี่วันกว่าจะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์?”
จิ้นจงตอบด้วยความเคารพว่า “ปีนี้ตรงกับวันที่สอง ยังเหลืออีกสิบสามวันพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนี้ก็ยังทันการ” ไม่รู้ว่าซูจื่อเยี่ยนึกถึงเื่อะไรขึ้นมา แต่เห็นเพียงเขาก้มศีรษะและขมวดคิ้วพินิจอย่างละเอียด “เ้าส่งสาส์นไปให้เกาจิ่ว บอกให้เขาแอบส่งคนไปมอบของกำนัลให้ตระกูลหลิว ฮึ หลิวฉีซื่อกับบุตรสาวเฝ้านึกถึงสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ?”
เขาอยากดูสิว่า เขาที่ช่วยเลี้ยงหลิวเต้าเซียงให้กลายเป็ลูกเสือที่บ้าคลั่งนั้น ถึงตอนนั้นหลิวฉีซื่อจะยังเฝ้านึกถึงเขาผู้ที่เป็ ‘คุณชายน้อย’ อยู่อีกหรือไม่?
คิดจะเอาบุญคุณมาขึงตัวเขาไว้ ก็ต้องดูก่อนว่านางมีปัญญารับโชควาสนานี้ได้หรือไม่
จิ้นจงััได้ถึงความคิดของเ้านายและถามว่า “ตามธรรมเนียมในจวน บ้านของญาติมิตรสหายในชนบท ทั่วไปแล้วก็จะมีผ้าไม่กี่ผืนกับหมึกและกระดาษ หากว่าเป็ผู้หญิง ก็จะมีของประดับเรียบง่ายเพิ่มเติมไม่กี่อย่าง”
จากข้อมูลที่เขาสรุปได้หลังจากที่เหนื่อยล้ามาทั้งบ่าย จิ้นจงคิดว่าจำต้องบอกกล่าวเื่นี้อย่างชัดเจนให้กับผู้เป็นายได้รู้
ซูจื่อเยี่ยลูบคางของตนและหันไปมอง “เ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าผู้ใดคือผู้มีพระคุณของจริง!”
เขาให้น้ำหนักกับผู้ที่มาก่อน จึงมองว่าหลิวเต้าเซียงคือผู้ช่วยชีวิต
แต่เขาไม่อยากนึกถึงสภาพของตนเองเมื่อตอนนั้น หากเป็ไปได้ก็อยากจะลบความทรงจำนี้ไปให้หมดสิ้น หากหลิวเต้าเซียงรู้จะต้องส่งผลต่อเขาอย่างมากแน่นอน
ขณะนี้จิ้นจงได้ให้คำตอบแก่เขาอย่างพึงพอใจ “กระหม่อมเห็นว่าหลิวซานกุ้ยเป็ผู้ที่ร่ำเรียนเป็ เช่นนั้นก็ควรเตรียมชุดพู่กันและหมึกหนึ่งชุด และส่งผ้าฝ้ายเพิ่มให้คนทั้งครอบครัว แล้วก็เครื่องประดับเงินอีกไม่กี่ชิ้น”
ซูจื่อเยี่ยพอใจกับสิ่งนี้มากและกล่าวว่า “ข้าว่าผู้หญิงในเมืองหลวงก็ไม่ได้นิยมสวมใส่เครื่องประดับอะไรใหญ่โต เลือกที่เป็แบบเล็กๆ ไปก็เป็พอ” เมื่อคิดดูอีกครั้งจึงเอ่ยอีกว่า “ส่วนทางด้านหลิวฉีซื่อ อืม ถามเกาจิ่วดูว่ามีผ้าไหมที่นำไปจากเมืองหลวงและล้าสมัยหรือไม่ เตรียมสักสองผืน แล้วก็เครื่องประดับที่หนักหน่อย จะต้องเลือกแบบที่เมื่อคนเห็นก็รู้ว่านางร่ำรวย”
จิ้นจงรู้สึกว่าเ้านายของเขา้าวางหลุมพราง ส่วนเขาก็เต็มใจที่จะเห็นความสนุกสนานนั้น การได้ดูความโชคร้ายของคนอื่นช่างสร้างความสุขได้ยิ่งนัก
เขารู้สึกว่าเ้านายใจแคบยิ่งนัก แค่เพราะหลิวฉีซื่อยึดครองสถานะผู้มีพระคุณแทนหลิวเต้าเซียง บรรพบุรุษตัวน้อยก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา!
การทำงานของจิ้นจงถือว่าคล่องแคล่วในระยะเวลาเพียงแค่สองวัน เมื่อถึงวันที่สาม เขาก็ไปหาซูจื่อเยี่ยที่ห้องตำรา แต่ได้ยินเด็กรับใช้บอกว่าเ้านายกำลังอ่านอะไรบางอย่าง โดยห้ามเข้าไปรบกวน
เขาจึงยืนรออยู่ด้านนอกหนึ่งชั่วยาม จนเริ่มรู้สึกว่าตนเองใกล้จะแข็งทื่อกลายเป็เสาไม้ใต้ระเบียงนั้น ในที่สุดก็ได้ยินเสียงของเ้านายเรียกตนเองเข้าไป เขาจึงวิ่งเหยาะๆ
ซูจื่อเยี่ยรู้อยู่แล้วว่าเขามาด้วยเื่อะไร จึงเอ่ยถามว่าเื่ไปถึงไหนแล้ว
สำหรับเื่ที่รับสั่งจากนายท่าน จิ้นจงค่อนข้างทุ่มเทอย่างมาก คราวนี้เขาจึงรายงานของกำนัลในอึดใจเดียว
“เรียนนายท่าน เกาจิ่วส่งรายการของกำนัลกลับมาแล้ว ฝั่งของครอบครัวหลิวฉีซื่อนั้นได้ผ้าไหมหูโจวชั้นดีคนละสองผืน สุราดอกกุ้ยฮัวสองไห ขนมฝูหรงหนึ่งกล่อง เป็ดกุ้ยฮัวสองตัว ปูน้ำจืดยี่สิบตัว แล้วก็กำไลลายทองโปร่งหนักหนึ่งตำลึงหกเฉียนหนึ่งคู่ หลิวเสี่ยวหลันได้ปิ่นปักผมทองลายนกหนักหนึ่งตำลึงสองเฉียนหนึ่งอัน”
ซูจื่อเยี่ยเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง นิ้วชี้ข้างซ้ายกำลังเคาะผิวโต๊ะ
จิ้นจงเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร เขาจึงอ่านต่อ “ครอบครัวของหลิวซานกุ้ย ซึ่งได้เตรียมพู่กันและหมึกหนึ่งชุดแก่หลิวซานกุ้ย แล้วก็มีดตัดกระดาษชั้นดีสองเล่ม หลิวจางซื่อได้รับกำไลเงินใบบัวดอกบัวหนึ่งคู่ หนักสี่ตำลึงหนึ่งเฉียน หลิวชิวเซียง หลิวเต้าเซียงและหลิวชุนเซียงได้รับอิ๋นสั่ว [2] คนละหนึ่งชิ้น ทุกชิ้นหนักราวหนึ่งตำลึงหนึ่งเฉียน แล้วก็กำไลเงินลวดลายละเอียดหนึ่งคู่ หนักสองตำลึงห้าเฉียน แล้วก็ต่างหูเงินหนึ่งคู่”
ซูจื่อเยี่ยลืมตาเ็าคู่นั้น คิ้วดำขลับขมวดเล็กน้อย รู้สึกไม่พึงพอใจกับของกำนัลนี้
“นี่คือทั้งหมดแล้วหรือ?”
จิ้นจงรีบตอบว่า “เดิมทีนี่คือทั้งหมด แต่หลังจากที่กระหม่อมเห็นแล้ว นึกถึงว่าหลิวเต้าเซียงผู้นี้ต่างหากที่เป็ผู้มีพระคุณจริงๆ ถึงอย่างไรก็มิควรละเลยในส่วนของนาง จึงขอตัดสินใจเองแล้วเพิ่มผ้าฝ้ายหนาสองผืน จะได้ไว้ใช้ทำเสื้อเหมียนอ๋าวในฤดูใบไม้ร่วง และยังเตรียมลำไย ลิ้นจี่ พุทราจีนและขนมไหว้พระจันทร์มงคลอีกหนึ่งกล่อง”
ซูจื่อเยี่ยพยักหน้า “จิ้นจง นับวันเ้ายิ่งทำงานได้รอบคอบยิ่งนัก”
นี่คือคําชมเชยสำหรับจิ้นจง
“กระหม่อมทำงาน ขอเพียงนายท่านพึงพอใจก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจื่อเยี่ยเหลือบมองเขาและดุ “ปากนับวันก็ยิ่งหวานราวกับปาดน้ำผึ้งมา คงไม่ใช่เพราะ่นี้ไปสรรหาฝึกมาจากแม่หญิงที่ไหนหรอกนะ? จิ้นเซี่ยว จิ้นเซี่ยว เ้ามานี่สิ”
จิ้นเซี่ยวได้ยินเสียงดังจากด้านใน คิดไม่ถึงว่าที่แท้ซูจื่อเยี่ยเรียกเขาเข้ามาถามว่า จิ้นจงเริ่มมีความรักแล้วใช่หรือไม่
จิ้นเซี่ยวรู้สึกงุนงงในตอนแรก จากนั้นเขาก็ตอบว่า “นายท่าน ท่านเองยังไม่แต่งงานเลย พวกกระหม่อมที่เป็บ่าวจะกล้าชิงตัดหน้านายได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจื่อเยี่ยเอื้อมมือออกไป ลูบศีรษะของเขาและพูดว่า “่นี้เื่วุ่นวายเยอะเกินไป ข้าเองก็ลืมไป”
ต่อมาเขาพูดกับจิ้นจงและจิ้นเซี่ยวว่า “ข้าเกรงว่าปีนี้คงไม่มีโอกาสได้ออกไปแล้ว รอปีหน้า ข้าจะหาโอกาสพาพวกเ้าไปท่องที่แดนใต้”
ต่อจากนั้นเขาก็เรียกจิ้นจงให้ส่งสาส์นไปให้คนผู้หนึ่ง นัดอีกฝ่ายเพื่อจะได้เจอกัน
หลังจากที่ทั้งสองคนออกไป ซูจื่อเยี่ยเอาสองมือไพล่หลัง แล้วยืนเหม่อมองไปทางทิศตะวันตกจากริมหน้าต่าง หากว่าตั้งใจฟังให้ดี ก็จะพบว่าเขากำลังพึมพำว่า “แม่สาวน้อย อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
วัชพืชที่ดิ้นรนเพื่อเติบโตจากกองหิน ถึงจะสามารถเผชิญกับพายุกระบี่และดาบหิมะ
หลิวเต้าเซียงผู้ซึ่งไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ตอนนี้กําลังนอนงีบกลางวันอยู่บนคั่ง
ประตูลานบ้านถูกผลักออกอย่างแรง เสียงชั่วร้ายของหลิวฉีซื่อก็ดังขึ้นจากทางนั้น
-----
เชิงอรรถ
[1] จวิ้นจู่ 郡主 ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงหรือท่านหญิง ขั้น 1
[2] อิ๋นสั่ว 银锁 เครื่องประดับตัวล็อกดังในรูป

