“แม้เ้าจะฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพาถึงขั้นที่ 1 แต่หากอยากไต่ขึ้นไปสูงอีก ก็ยังขาดของบางสิ่งบางอย่าง” เฒ่าจิงกล่าวพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ของอะไรหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถาม ดูท่าเฒ่าจิงคนนี้จะเป็คนมีประสบการณ์
“ผงกระดูกปีศาจั” เฒ่าจิงกล่าว
“ผงกระดูกปีศาจั?” เย่เฟิงพึมพำคล้ายนึกบางอย่างออก และกล่าวต่อ “ท่านจะให้ข้าหาผงกระดูกปีศาจั เพื่อสร้างเกราะเทพาก่อนจะฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพาขั้นที่ 2 หรือ?”
ในคัมภีร์หล่อกายาเทพามีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อผู้ฝึกมีระดับการบ่มเพาะที่มั่นคงก็จะสร้างเกราะเทพาได้เอง ทำให้การป้องกันทางกายภาพถูกยกระดับขึ้น แต่การจะสร้างเกราะเทพาจำต้องใช้ส่วนผสมพิเศษ แต่จะเป็ส่วนผสมอะไร กลับไม่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์
“ฉลาดมาก” เฒ่าจิงกล่าวชมเย่เฟิง และยังพบว่าตัวเขาชื่นชอบเด็กคนนี้มากกว่าเมื่อก่อน
“กระดูกปีศาจัมีคุณสมบัติของปีศาจั สามารถสร้างชุดเกราะ เป็ส่วนผสมชั้นดีในการหลอมอาวุธ มันจึงล้ำค่าอย่างมาก ทั้งยังเป็ตัวสื่อกลางในการสร้างเกราะเทพาได้เช่นกัน ดังนั้นเ้าต้องตามหามัน ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี และมันจะช่วยเ้าในการฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพา” เฒ่าจิงอธิบายให้เย่เฟิงฟัง
“ผงกระดูกปีศาจัเป็สิ่งล้ำค่ามาก แล้วผู้เยาว์จะไปหาได้จากที่ใด?” เย่เฟิงเอ่ยถาม เขาเป็เพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายา จะไปติดต่อบุคคลระดับสูง ๆ ได้อย่างไร จึงขอให้เฒ่าจิงชี้ทางแก่เขา
“ลองไปหาที่ตลาดในเมืองหลวง เ้าอาจจะพบก็เป็ได้ แต่จะได้มาหรือไม่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวเ้าแล้ว” เฒ่าจิงกล่าว เย่เฟิงก็พยักหน้า จากนั้นเขากล่าวลาเฒ่าจิงและเดินออกจากหอวิชา
คัมภีร์หล่อกายาเทพาเป็ทักษะบ่มเพาะกายาที่ทรงพลังชุดหนึ่ง หาก้าฝึกฝนต่อก็ต้องตามหาผงกระดูกปีศาจั เย่เฟิงออกไปจากที่นี่ด้วยความรวดเร็วพลางขบคิดในใจ
รุ่งเช้าวันที่สอง เย่เฟิงออกจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนและมุ่งหน้าเตรียมสำรวจตลาดหลาย ๆ แห่งในเมืองหลวง ซึ่งทางตอนเหนือของเมืองหลวงมีร้านค้าตามท้องถนนอยู่เต็มไปหมด ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน และที่นี่คือแหล่งศูนย์รวมการค้าขายที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง ที่แห่งนี้มีทั้งหมดสี่ตลาดใหญ่ มีร้านค้าเล็กใหญ่อยู่นับไม่ถ้วน และยังมีสิ่งของจำเป็สำหรับผู้ฝึกยุทธ์
เย่เฟิงเดินไปตามถนน เมื่อพบร้านค้าที่อาจจะมีของเขาก็จะเข้าไปถาม เพื่อดูว่ามีผงกระดูกปีศาจัหรือไม่ ถึงอย่างนั้นเย่เฟิงใช้เวลาไปสามวันเต็มในการเดินหาร้านค้าเกือบครึ่งในตลาดแห่งนี้ แต่ก็ไร้วี่แววผงกระดูกปีศาจั กระทั่งไม่มีข่าวเกี่ยวกับเื่นี้ นี่ทำให้เย่เฟิงรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่ยอมแพ้
วันต่อมา ณ ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เย่เฟิงเลือกที่นั่งติดหน้าต่างบนชั้นสอง รับประทานอาหารว่างและเหล้าชั้นดีเพียงคนเดียว แม้ภัตตาคารแห่งนี้จะไม่ใหญ่มากนัก แต่การค้าขายไม่เลว โต๊ะเต็มทุกโต๊ะ มีผู้ฝึกยุทธ์หลายคนนั่งดื่มและพูดคุยเื่ต่าง ๆ นานา
“พี่หลิว ครั้งนี้ได้อะไรมาจากตลาดตระกูลโจวบ้าง ได้ของอะไรดี ๆ มาหรือไม่? พวกข้าอยากเห็นจัง” ขณะนั้นมีคนสองสามคนที่โต๊ะตรงข้ามคุยกันอย่างสนุกสนาน
“อย่าพูดถึงเลย ตลาดตระกูลโจวนับวันยิ่งย่ำแย่ ่นี้คนเข้าออกตลาดมีแต่คนใหญ่คนโต ทั้งยังได้แต่ของดี ๆ ส่วนพวกเราที่ไม่มีคนหนุนหลัง จะไปแข่งกับบุตรธิดาของตระกูลสูงศักดิ์เ่าั้ได้ยังไง วันนี้ข้าเจอดาบเล่มหนึ่งในตลาดตระกูลโจว แต่ถูกบุตรธิดาตระกูลสูงศักดิ์ซื้อในราคาที่สูงกว่า” ชายร่างผอมสูงคนหนึ่งกล่าวด้วยท่าทีไม่พอใจ
“ตลาดอื่น ๆ ก็ใช่ว่าจะดี หาก้ายาที่ช่วยยกระดับการบ่มเพาะสักเม็ดหนึ่ง ก็ต้องแข่งขันกัน” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวเสริม ไม่ว่าที่ไหนในโลกใบนี้ก็ล้วนมีการแข่งขัน เมืองหลวงแห่งอาณาจักรจ้าวที่มีแต่อัจฉริยะนับไม่ถ้วนก็ยิ่งมีการแข่งขันที่สูงและโหดร้ายมาก เื่นี้ทุกคนต่างทราบกันดี พวกเขาล้วนแต่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่าง หาก้าใช้พลังตนไต่เต้าสู่ระดับสูงก็มีความเป็ไปได้ที่น้อยมาก
“พวกเ้าได้ยินหรือยัง ่นี้ตลาดของตระกูลตู๋กูจัดการประลองทุกวันเลย หากใครเชื่อมั่นในพลังตนและเอาชนะได้ ก็จะได้รางวัล” ขณะนั้นชายหนุ่มโต๊ะข้าง ๆ กล่าวด้วยดวงตาเป็ประกาย
“ข้าได้ยินเื่นี้มาเหมือนกัน ว่ากันว่ารางวัลที่ตระกูลตู๋กูนำออกมามีแต่ระดับสูง ๆ ทั้งนั้น นั่นก็เพื่อดึงดูดผู้คน เื่นี้ดึงดูดผู้คนทั่วสารทิศ มีคนรุ่นเยาว์หลายคนในเมืองหลวงไปเข้าร่วม ศิษย์จากสำนักยุทธ์ศึกษาหลาย ๆ แห่งก็มีไม่น้อย การแข่งขันจึงดุเดือดมาก แต่ว่าก็ไม่มีประโยชน์หากพวกเราไป เอาชีวิตไปเสี่ยงเปล่า ๆ” มีชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าว ดูเหมือนเขาจะรู้เื่การประลองที่ตระกูลตู๋กูจัดเป็อย่างดี ทำให้ทุกคนตาทอประกายคมกริบ การประลองของตระกูลตู๋กูดึงดูดคนจำนวนไม่น้อย ยิ่งมีอัจฉริยะในเมืองหลวงเข้าร่วมก็ยิ่งเป็การประลองที่น่าสนใจ แต่กลับกันมันก็เป็การแข่งขันที่โหดร้าย ผู้อ่อนแอทำได้เพียงกลายเป็หินรองเท้าของผู้แข็งแกร่งเ่าั้
เย่เฟิงก็ตั้งใจฟังคนเหล่านี้พูดกัน จากบทสนทนาทำให้เขารู้สถานการณ์ของตลาดหลายแห่ง จึงง่ายต่อการที่เขาจะตามหาผงกระดูกปีศาจั แต่เขายังสนใจการประลองของตลาดตระกูลตู๋กูที่คนเหล่าเอ่ยถึง ถึงอย่างไรที่ตัวเย่เฟิงก็มีสิ่งมีค่าไม่มากนักที่จะนำออกมาได้ ส่วนผงกระดูกปีศาจันั่นต้องมีราคาแพงมากแน่นอน แม้เย่เฟิงจะตามหาจนเจอจริง ๆ แต่ก็คงจ่ายไม่ไหว หากมีการประลองที่สะสมคะแนนและนำไปแลกรางวัลได้ เย่เฟิงก็อยากลองดู เพราะวิธีนี้จะแก้ไขปัญหาทางการเงินของเย่เฟิง
ในขณะที่ผู้คนพูดคุยกัน ก็มีชายชราคนหนึ่งขากะโผลกกะเผลกเดินเข้ามาในภัตตาคาร มาพร้อมกับหญิงสาวอายุ 13-14 ปี ชายชราคนนั้นมีผมสีขาว สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ดูแล้วน่าจะยากจนมาก ในแววตายังไร้สีสัน ราวกับว่าถูกโลกที่โหดร้ายนี้ขัดเกลาและทำได้เพียงยอมรับโชคชะตา หญิงสาวที่อยู่ข้างกายชายชราก็เช่นกัน สวมเสื้อผ้ามอมแมม ตัวผอมดูอ่อนแอเปราะบาง ใบหน้านั้นก็ดูซีดเซียว ไร้ร่องรอยของวัยเยาว์ที่ควรพึงมี
“พ่อหนุ่ม เราสองคนไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน บริจาคเงินให้พวกเราสักหน่อยจะได้หรือไม่ ให้ข้าและหลานสาวได้พออิ่มท้อง” ชายชรากล่าวกับชายผู้หนึ่งด้วยน้ำเสียงหมดหนทาง
“เ้ามาจากไหน ข้าไม่มีเงิน รีบไปซะ อย่าให้ข้าต้องอารมณ์เสีย” ชายผู้นั้นกล่าวเสียงเย็นขณะมองชายชราด้วยท่าทีรังเกียจ ชายชรารีบก้มหัวขอโทษชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเดินไปขอคนอื่นแทน แต่ก็ไม่มีใครให้เงินปู่และหลานสองคนนี้
โลกแห่งการบ่มเพาะโหดร้ายเช่นนี้แล ผู้แข็งแกร่งสูงเทียมเมฆ มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ส่วนคนชั้นล่าง อาหารและเสื้อผ้าที่เป็เื่พื้นฐานกลับแก้ปัญหาไม่ได้ เช่นเดียวกับปู่และหลานสองคนนี้ พวกเขาต้องอดทนกับความอัปยศอดสูเพื่อเงินไม่กี่ตำลึง เร่ร่อนขอทานตามถนน แต่ก็ยังไม่มีข้าวตกถึงท้องนานหลายวัน
ขณะที่เย่เฟิงมองปู่และหลานสองคนนั้นก็รู้สึกะเืใจ ตอนเขายังเด็กก็เจอเื่ราวที่คล้ายคลึงกับพวกเขา แม้จะไม่ได้ขอทานตามถนน แต่ก็อาศัยอยู่กับคนอื่นและต้องกัดฟันอดทน สุดท้ายแล้วเมื่อไร้ความแข็งแกร่ง เ้าก็จะถูกผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเหยียบย่ำ และกลายเป็บันไดที่ผู้อื่นจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ
ในที่สุดชายชราเดินมาถึงโต๊ะที่เย่เฟิงอยู่ ในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความวิงวอน อยากพูดบางอย่าง แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมา จากนั้นมีหลายเงาร่างปรากฏตัว คนเหล่านี้สวมอาภรณ์ต่างกันไป แต่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา ใช่แล้วคนเหล่านี้ก็คือกลุ่มเ้าของภัตตาคาร
“ตาแก่ เ้ามาทำอะไรที่นี่อีก ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้เ้ามาขอทานในภัตตาคารของพวกข้า? พาหลานสาวของเ้าออกไปเดี๋ยวนี้!” เ้าของภัตตาคารคนนั้นเห็นปู่และหลานทั้งสองคนก็กล่าวไล่ด้วยเสียงเย็นะเื
นายน้อยโจวมู่เจี๋ยพาแขกผู้มีเกียรติหลายคนจากสำนักศักดิ์สิทธิ์มาที่ภัตตาคาร แต่กลับเห็นปู่และหลานสองคน หากมีอะไรผิดพลาด เขาที่เป็เ้าของภัตตาคารก็จะโดนตำหนิ
“เ้าของภัตตาคาร เราปู่และหลานไม่มีข้าวตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว พวกท่านจะกรุณาบริจาคเงินให้พวกเราสักหน่อยจะได้หรือไม่ หากไม่ได้ พวกเราขอแค่เศษอาหารที่เหลือของภัตตาคารก็ได้” เมื่อเห็นเ้าของภัตตาคารมาและไล่เขาออกไป สีหน้าของชายชราก็ไม่สู้ดีนัก หากออกไปเช่นนี้ พวกเขาปู่และหลานก็ไม่รู้ว่าต้องทนหิวไปอีกนานแค่ไหน
“ไม่รู้กาลเทศะ ข้าไล่เ้าออกไปไม่ได้ยินหรือไง? ต่อให้มีเศษอาหารเหลือก็ไม่มีทางให้เ้า ในภัตตาคารยังมีสุนัขอีกหลายตัวที่ต้องให้อาหาร!” เ้าของภัตตาคารเห็นว่าปู่และหลานยังไม่ออกไป จึงพูดจาน่ารังเกียจเช่นนั้น ในสายตาของเขา คนชั้นต่ำอย่างชายชราคนนี้ก็ไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง
ชายชราได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดและดูสิ้นหวัง จากนั้นเตรียมจะออกไปพร้อมหลานสาว แต่มีชายหนุ่มคนหนึ่งจากกลุ่มที่มาพร้อมกับเ้าของภัตตาคารเดินมา ชายผู้นี้มีรูปร่างผอม สีหน้าเ็าแฝงไว้ด้วยความขาวซีดจากอาการป่วย ราวกับเป็เช่นนี้มาเนิ่นนาน ชายผู้นี้มาขวางทางชายชรา เขาไม่ได้มองชายชรา แต่มองไปที่หญิงสาวร่างผอมบางคนนั้นด้วยสายตาชั่วร้าย
“ตาแก่ ข้าให้เงินเ้าได้ แต่เ้าต้องรับปากกับข้าเื่หนึ่งก่อน หากเ้าตกลง เงินนี้ก็จะเป็ของเ้าทันที” ชายผู้นั้นกล่าวพลางยิ้ม ขณะหยิบเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ ตัว
ชายชรามองเงินนั้นด้วยดวงตาเป็ประกาย ราวกับเห็นความหวัง จึงรีบเอ่ยถามไปว่า “พ่อหนุ่ม้าให้ข้าทำอะไรหรือ? ตาแก่อย่างข้ายินดีทำให้ทุกอย่าง”
“ไม่ใช่เ้า สิ่งที่เ้าต้องทำคือส่งหลานสาวของเ้ามาอยู่เป็เพื่อนข้าหนึ่งคืน ถึงจะตัวผอม แต่ใบหน้างดงาม น่าจะยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง” ชายผู้นั้นกล่าวพลางยิ้มอย่างชั่วร้าย ขณะสายตากวาดมองร่างอันผอมบางของหญิงสาวคนนั้นโดยไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้