อันเจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉินเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในสมองตระกูลเฉินดูเหมือนจะเป็ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในย่านหนานชาน ไม่ว่าจะเป็ร้านค้าหรือบ้านเรือนในย่านแห่งนี้ล้วนแต่เป็ของตระกูลเฉินทั้งสิ้นยิ่งไปกว่านั้น เท่าที่เคยได้ยินมาคนของตระกูลเฉินและผู้นำของโลกมายาเคยคบค้าสมาคมกันมาก่อน แต่ตอนนี้กลุ่มโจรเก้าก๊กนั้นกลับไม่ไว้หน้าคนของตระกูลเฉินอีก
“ไปไม่ได้” ตู้โซ่วโซ่วร้องห้ามอันเจิงทันทีและในตอนนี้ในใจของเขาเริ่มกระจ่างว่าทำไม พวกของจางเหล่ยเป็เพียงนักเลงอันธพาลกลุ่มเล็กๆ ไร้ความสามารถ แต่กลับเป็ใหญ่ได้ในย่านหนานชาน ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มโจรเก้าก๊กก็ไม่เคยออกมากำจัดพวกเขาออกไปเห็นได้ชัดว่าผู้ที่อยู่เื้ัคงไม่ธรรมดา ดูเหมือนว่านักเลงอันธพาลกลุ่มนี้คงไม่มีอะไรนอกเสียจากเป็กลุ่มสุนัขชั่วร้ายที่ตระกูลเฉินเลี้ยงไว้เท่านั้น
คนที่พูดคุยกับอันเจิงอยู่นั้นอายุประมาณสี่สิบปีเขามีท่าทางเป็มิตรเหมือนคนปกติทั่วไปเมื่อยิ้มหรือหัวเราะออกมาก็ให้ความรู้สึกเหมือนท่านลุงข้างบ้านคนหนึ่งเท่านั้นแต่อย่างไรก็ตามอันเจิงคนนี้ไม่ใช่อันเจิงคนก่อน เพียงแค่มองตาเขาก็รู้โดยทันทีว่ามีความมืดมิดบางอย่างซุกซ่อนอยู่ภายใต้แววตาคู่นั้น
“ข้าชื่อเฉินผู่” ชายวัยกลางคนแนะนำตัวอย่างสุภาพ
“เมื่อนายท่านเฉินรู้ว่าท่านอันได้สั่งสอนเ้าพวกจางเหล่ยจึงพูดว่าหนึ่งร้อยจางเหล่ยก็ยังสู้ท่านเพียงคนเดียวไม่ได้แม้แต่นักเลงอันธพาลร้อยคนก็ยังไม่เท่าท่านเพียงหนึ่งคน แต่เดิมนักเลงอันธพาลพวกนี้จางเหล่ยจะเป็คนดูแลและเล่นสนุกไปกับพวกมัน การทำการค้าในโลกมายาถ้าไม่เลี้ยงคนพวกนี้บ้างคงจะไม่ได้นักเลงอันธพาลจึงถูกรวมกันเป็กลุ่มเพื่อฝึกให้โเี้โดยตระกูลเฉินของเราแต่ยังไม่มีใครที่สามารถลงสนามจริงได้สักคน นายท่านจึงอยากเชิญท่านอันมาร่วมงานกับตระกูลเฉินหากท่านอันยินดี คงจะมีประโยชน์อย่างมากเลยทีเดียว”
เฉินผู่ชี้กล่องทางด้านหลัง “นั่นคือเงินห้าพันตำลึงนายท่านเฉินรู้มาว่าชีวิตของท่านอันยังไม่ค่อยจะสะดวกสบายมากนัก นี่ขนาดท่านอันยังไม่ได้พบกับนายท่านยังได้มากขนาดนี้ถ้าได้พบกัน นายท่านของข้าคงไม่ปล่อยให้ท่านลำบากเป็แน่”
อันเจิงหันไปมองตู้โซ่วโซ่ว “เงินเล็กๆน้อยๆ ของพวกเรา”
ตู้โซ่วโซ่วพยักหน้าตอบรับแต่ยังคงไม่วางใจนัก“อันเจิง เ้าอย่าไปเด็ดขาด”
“ท่านอันไม่จำเป็ต้องรีบมากับข้าก็ได้ นายท่านฝากบอกว่าสามารถรอท่านได้เสมอ ท่านเองก็น่าจะรู้ ตระกูลเฉินของเรามีทายาทสืบทอดอยู่เพียงคนเดียวและเพื่อทายาทคนนี้ เรายินดีทำทุกอย่าง คุณชายน้อยมีวัยที่ใกล้เคียงกับพวกท่านทั้งสองน่าจะพอเป็เพื่อนกันได้ หากท่านคิดไตร่ตรองดีแล้วก็ไปที่บ้านตระกูลเฉินได้ทุกเวลา”เฉินผู่กล่าว ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม
“รอข้ามีเวลา ข้าจะไปเยี่ยมอย่างแน่นอน” อันเจิงตอบกึ่งตกลง
เฉินผู่กำลังหันหลังเตรียมจากไปแต่อันเจิงกลับรั้งไว้“สามพันตำลึงคือสิ่งที่ข้าควรได้ อีกสองพันตำลึงข้าไม่เอา รบกวนท่านนำกลับไปด้วยและขอบคุณสำหรับวันนี้”
ใบหน้าของเฉินผู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย“นี่เป็ปณิธานของตระกูลเรา…”
อันเจิงเลิกคิ้ว “ปณิธานของพวกท่านข้าจำเป็ต้องรับรู้ด้วยหรือไม่ว่าจะปณิธานอะไรก็เป็เื่ของพวกท่าน ส่วนข้าจะรับหรือไม่ก็เป็เื่ของข้า”
คำพูดเหล่านี้เป็ที่สิ่งที่อันเจิงเกลียดที่สุด ชีวิตก่อนเขาพบเจอคนที่มีสีหน้าท่าทางแบบนี้มามากสาเหตุที่เขาไม่ชอบเพราะศัตรูของเขาล้วนแต่มีลักษณะแบบนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่พยายามกำจัดเขา เนื่องจากการมีชีวิตอยู่ของเขาขัดขวางผลประโยชน์และที่เขาได้รับาเ็สาหัสจนต้องมาอยู่ในร่างนี้ ก็เพราะผลจากการโจมตีของคนพวกนั้น
อย่างไรก็ตาม เส้นทางเ่าั้กับเขาที่เป็อันเจิงในตอนนี้ยังคงห่างไกลกันนักหากยังไม่สามารถฟื้นคืนพลังวัตรได้ เื่แก้แค้นคงต้องหยุดคิดไปได้เลย ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องรีบฟื้นฟูร่างกายให้ได้ก่อนเพราะพวกที่้ากำจัดเขาคงจะไม่ยอมรามือง่าย ๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ
ประโยคที่อันเจิงตอบออกมานั้น เมื่อเฉินผู่ได้ยินแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความดำมืด ไม่เคยมีใครหน้าไหนในย่านหนานชานกล้าล่วงเกินบ้านตระกูลเฉินแต่เด็กคนนี้กลับกล้าปฏิเสธความมีน้ำใจของเขาเื่แบบนี้เพิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งแรกกับเฉินผู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงคำสั่งของตระกูลเฉินเฉินผู่ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องอดทนต่อไป
“ในเมื่อท่านอันไม่ยินดีที่จะรับไว้ เช่นนั้นข้าก็จะนำมันกลับ”
เฉินผู่เดินจากไปพร้อมกวักมือเรียกให้คนมายกกล่องใบใหญ่บรรจุเงินสองพันตำลึงกลับไปด้วย
เพียง่เวลาสั้น ๆเหงื่อของตู้โซ่วโซ่วก็ไหลออกมาท่วมตัว “อันเจิง เ้าไปทำให้คนของบ้านตระกูลเฉินโกรธขนาดนี้เ้าอยู่ที่ย่านหนานชานนี้อีกไม่ได้แน่ แม้แต่คนของต้าโค่วก็คงจะคุ้มครองเ้าไม่ได้ตอนนี้เ้ามีเงินแล้ว เราออกไปจากโลกมายากันเถอะ ไปหาที่ที่ปลอดภัยและมั่นคงกว่านี้อยู่กัน”
อันเจิงยังคงยิ้มและส่ายหัวพลางถามตู้โซ่วโซ่ว“เ้าคิดว่าเงินพวกนี้จะพาเ้าหนีได้จริงหรือ?”
ในตอนนั้นเขาพลันนึกถึงเื่หนึ่งที่เขาเคยทำมาก่อน
ตู้โซ่วโซ่วไม่ทันสังเกตท่าทีที่เปลี่ยนไปของอันเจิงเขายังคงพูดออกไปอย่างร้อนรน “ทำอย่างไรดี? พวกเราจะทำให้ตระกูลเฉินขุ่นเคืองไม่ได้เ้าก็รู้อยู่แล้วว่าพวกนี้มันเป็คนชั่ว มันไม่มีวันยอมให้เราล่วงเกินแล้วไม่ทำอะไรเด็ดขาดแล้วเมื่อครู่เ้าดันไปปฏิเสธเงินของเฉินผู่อีก ไม่ได้ไว้หน้าเขาเลยสักนิด”
“ไว้หน้ารึ?”
อันเจิงเบ้ปากเล็กน้อยแล้วถามตู้โซ่วโซ่ว“เ้าเคยได้ยินเื่ราวของกรมตุลาการบ้างหรือไม่? ถ้าเ้าอยากจะไว้หน้าพวกคนชั่วเ้าก็ต้องทำชั่วเหมือนกัน”
ตู้โซ่วโซ่วรู้สึกสับสนที่อันเจิงเปลี่ยนเื่รวดเร็วนักแต่เขาก็พยักหน้าตอบ “ใครจะไม่รู้จักกรมตุลาการแห่งราชสำนักต้าซีบ้างเล่า?ที่ที่พวกเราอยู่คือเทือกเขาชางหมาน ซึ่งอยู่ในอาณาเขตเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นถ้าเปรียบเทียบโลกมายากับเมืองอื่นในเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นคงเปรียบได้กับมดตัวน้อยและช้างตัวใหญ่ และหากเทียบเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นกับจักรวรรดิต้าซีก็คงจะเหมือนเม็ดทรายกับทะเลทรายกระมัง”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ตาของตู้โซ่วโซ่วก็เริ่มเปล่งประกาย “ตามตำนานเล่าว่าจักรวรรดิต้าซีมีอาณาเขตกว้างใหญ่หลายหมื่นกิโลเมตรเป็จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ข้าเคยได้ยินคนในโลกมายาพูดกันว่า ราชสำนักของจักรวรรดิต้าซีนี้ทั้งมั่นคงและมั่งคั่งซึ่งหนึ่งในหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุดของราชสำนักต้าซีก็คือกรมตุลาการ...ไอ้พวกอันธพาลขโมยไก่ตีสุนัขทั้งหลายถ้าพูดถึงกรมตุลาการขึ้นมาละก็ พวกมันจะกลัวจนตัวสั่นเลยทีเดียว”
ใบหน้าของอันเจิงปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ออกมาจนตู้โซ่วโซ่วที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่เข้าใจ นี่เขารู้สึกภาคภูมิใจรึ?
แม้จะไม่เข้าใจอันเจิงมากเพียงใด แต่ตู้โซ่วโซ่วก็คงคาดคิดไม่ถึงว่าในเวลานี้คนที่อยู่ตรงหน้าของเขาไม่ใช่อันเจิงเพื่อนที่แสนดีอีกต่อไปแท้ที่จริงแล้วเขาเคยเป็เ้าหน้าที่ในกรมตุลาการมาก่อน เป็คนที่ทำให้คนชั่วรู้สึกราวกับโดนเข็มทิ่มแทงเขาคือฟางเจิงแห่งกรมตุลาการ หากเอ่ยชื่อฟางเจิง ในราชสำนักต้าซีใครบ้างจะไม่รู้จัก?อาจเป็เพราะชื่อมีคำว่า “เจิง” เหมือนกัน ดังนั้นิญญาของฟางเจิงและร่างกายของอันเจิงจึงมีความสัมพันธ์กันบางอย่างและได้มาหลอมรวมกันเช่นนี้
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้อันเจิงได้ตายไปแล้ว คนที่มีชีวิตและอาศัยร่างอันเจิงมาเกิดใหม่ก็คือฟางเจิงแห่งกรมตุลาการผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็ที่นับหน้าถือตา
อาจเป็เพราะมีบางเื่ที่ยังค้างคาอยู่ในใจจนเกินรับไหว อันเจิงจึงทรุดตัวนั่งลงข้างทาง“ข้าก็เคยได้ยินเื่ราวของกรมตุลาการในราชสำนักต้าซีมาบ้างเหมือนกันเ้าอยากจะฟังหรือไม่?”
ตู้โซ่วโซ่วชอบฟังเื่ราวเกี่ยวกับวีรบุรุษผู้กล้ายิ่งเป็เื่นอกโลกมายายิ่งสนใจ เขาจึงนั่งลงข้างอันเจิง “อันเจิง...อย่างไรเ้าก็เทียบข้าไม่ได้แน่ปกติเ้าอยู่แต่ในบ้าน จะมาได้ยินอะไรเยอะกว่าข้าได้อย่างไร?แต่ก็ลองพูดมาก่อนก็แล้วกันข้าจะรอฟังว่าเื่ที่เ้ารู้กับเื่ที่ข้ารู้มันจะเหมือนกันหรือไม่”
อันเจิงหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตู้โซ่วโซ่วเองก็ไม่เข้าใจ“เ้าคงคิดว่านี่เป็เื่ราวของคนอื่น...จักรวรรดิต้าซียิ่งใหญ่มาก หากเทียบกับเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นละก็คงจะใหญ่กว่าเป็สิบเท่าราชสำนักของจักรวรรดิต้าซีแบ่งออกเป็เก้าสิบเก้าหน่วยงาน และเนื่องจากแผ่นดินกว้างใหญ่มากดังนั้นจึงเป็ไปไม่ได้เลยที่องค์จักรพรรดิจะรู้เื่ราวภายในราชสำนักทั้งหมดและสามารถตัดสินใจเื่ราวต่างๆ ด้วยตนเอง”
“ด้วยความใหญ่โตของจักรวรรดิต้าซี ทำให้มีพวกคนชั่วและเื่เลวร้ายเกิดขึ้นมากเช่นกันถ้าคิดอยากจะรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรมในราชสำนัก จำเป็จะต้องมีสำนักคุมกฎที่แข็งแกร่งเพื่อแบ่งเบาภาระของจักรพรรดิ…โซ่วโซ่วเ้าลองคิดดูเถอะว่า แค่ในย่านหนานชานเล็ก ๆ แห่งนี้ ยังมีทั้งตระกูลเฉินและสำนักต้าโค่วแล้วในจักรวรรดิต้าซีเล่าจะมีคนชั่วอีกสักกี่คน? พวกคนที่ไม่สนใจกฎของราชสำนักคิดแต่เื่ความเจริญก้าวหน้าของตัวเอง”
อันเจิงเอามือถูไปมาที่ขมับพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ตู้โซ่วโซ่วยิ่งคลางแคลงสงสัย มันเหมือนกับเวลาที่ผู้ใหญ่คิดถึงเื่กวนใจอะไรบางอย่างแต่ว่าอันเจิงยังเป็เด็ก ทำไมถึงได้ดูทุกข์ระทมขึ้นทันทีที่พูดเื่นี้?
แววตาของอันเจิงมีความสับสนอยู่บ้างบางทีเขาก็มองออกไปที่ไกล ๆ แต่พอลองจ้องให้ดี ดวงตาของเขาก็กลับดูว่างเปล่า
“คนพวกนี้จะกลัวกรมตุลาการเป็ที่สุดเพราะในกรมตุลาการมีเ้าหน้าที่คนหนึ่งที่เข้มงวดนัก ชื่อของเขาคือ ฟางเจิงมีคำว่าเจิงเหมือนชื่อของข้าเสียด้วย การทำงานอย่างเคร่งครัดเพื่อรักษากฎของราชสำนักทำให้มีคนจำนวนมากไม่ชอบเขา ไม่ชอบมากเสียจนไม่อาจจะกลับมาดีกันได้พวกเขาพยายามทุกวิถีทางที่จะกำจัดฟางเจิงแต่ว่าฟางเจิงเป็คนที่แข็งแกร่งและระมัดระวังตัวเสมอ ไม่เคยเปิดโอกาสให้พวกเขาเล่นงานได้”
“จนกระทั่งวันหนึ่งจักรพรรดิทราบข่าวว่า โอรสองค์หนึ่งของเขามีเื่อยู่ที่เยี่ยนโยวสิบหกแคว้นและไม่สามารถหาทางหนีออกมาได้จักรพรรดิจึง้าส่งคนที่ไว้ใจที่สุดไปช่วยโอรสของตนฟางเจิงและองค์ชายเองก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเมื่อได้ยินว่าองค์ชายตกอยู่ในอันตราย ฟางเจิงจึงรับอาสารีบออกจากจักรวรรดิต้าซีมุ่งไปที่เยี่ยนโยวสิบหกแคว้น…แต่สุดท้ายเขากลับถูกซุ่มโจมตีอยู่ที่ด้านนอกเทือกเขาชางหมาน”
อันเจิงหันกลับมามองตู้โซ่วโซ่ว “โซ่วโซ่วเ้ารู้จักพวกผู้ฝึกฝนวิชาบ้างหรือไม่?”
ตู้โซ่วโซ่วได้ฟังแล้วก็ส่ายหน้าทันที“ข้าไม่เคยเข้าใจเื่ผู้ฝึกฝนวิชาอะไรนั่นหรอก…เส้นทางของข้าอยู่ห่างไกลจากสิ่งนั้นมากแม้ว่าจะมีพี่ชายอยู่ที่สำนักจงเหมิน แต่เขาฝึกไม่ได้ ความจริงแล้วเพียงทำงานเล็ก ๆน้อย ๆ ที่สำนักเท่านั้น แต่ถึงจะเป็อย่างนั้นครอบครัวข้าก็ภาคภูมิใจมากด้วยสาเหตุนี้ทำให้พวกเกาตี้ไม่เคยกล้ามายุ่งกับข้าเลย”
อันเจิงจึงอธิบายให้ตู้โซ่วโซ่วฟัง“ผู้บำเพ็ญตนจะแบ่งตามขอบเขตของความแข็งแกร่ง คนที่้าฝึกฝนจะต้องทำการล้างไขกระดูกเสียก่อนปกติแล้วคนที่มีพลังแฝง หลังจากค้นพบประตูทวารแล้ว ก็จะนำไปล้างไขกระดูกหลังจากที่ล้างไขกระดูกแล้ว กายเนื้อก็จะสามารถต่อพละกำลังได้ขั้นตอนนี้เป็เพียงขั้นแรก เรียกว่าขอบเขตจุติ์หลังจากนั้นก็เข้าสู่ขอบเขตสุมารุ เพื่อให้กายเนื้อสามารถรองรับพลังได้มากขึ้น ทำให้มีพลังโจมตีรุนแรงขึ้นเ้าดูโค่วลิ่ว...เขาไม่สามารถบำเพ็ญตน ได้เพียงฝึกฝนร่างกายเท่านั้น ระดับขั้นสูงสุดของการฝึกฝนร่างกายคือขั้นที่เก้าซึ่งความแข็งแกร่งนั้นเพิ่งใกล้เคียงขั้นสุมารุขั้นที่หนึ่งเท่านั้น แต่คนอย่างโค่วลิ่วฝึกฝนทั้งชีวิตก็คงไม่สามารถทำได้มากที่สุดก็แค่ฝึกฝนร่างกายถึงขั้นที่ห้าเท่านั้น”
“เหนือกว่าขอบเขตสุมารุก็คือขอบเขตกิเลสมารทำไมถึงเรียกว่าขอบเขตกิเลสมารน่ะหรือ ก็เพราะว่าหากสามารถควบคุมกิเลสได้ ผู้บำเพ็ญตนจะสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องเหนือกว่าขอบเขตกิเลสมารก็คือขอบเขตจุลภาค เมื่อควบคุมกิเลสของตนได้แล้วก็ถือว่าเป็การบรรลุกิเลสภายในจิตใจได้อีกขั้นหนึ่งซึ่งแค่เข้าขอบเขตจุลภาคนี้ได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ข้าเดาว่าในอาณาเขตเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นนี้น่าจะมีไม่กี่คนที่บำเพ็ญตนถึงระดับขอบเขตจุลภาคได้ เหนือกว่าขอบเขตจุลภาคก็คือขอบเขตมหภาคเหนือไปกว่าขอบเขตมหภาคก็คือขอบเขตแห่ง์”
อันเจิงยังคงกล่าวต่อไป “ในยุทธจักรนี้ผู้ที่บำเพ็ญตนได้ถึงขอบเขตแห่ง์มีจำนวนไม่มากนักและฟางเจิงก็เป็หนึ่งคนที่สามารถทำได้ แต่ในจักรวรรดิต้าซีก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่เก่งกว่าเขาน่าเสียดาย…เขาถูกคนลอบโจมตี ที่ด้านนอกบริเวณเขาชางหมาน”
“หา!”
ตู้โซ่วโซ่วอุทานด้วยน้ำเสียงใ “เ้าหน้าที่กรมตุลาการอย่างฟางเจิงน่ะหรือถูกซุ่มโจมตี?เ้ารู้ได้อย่างไร!”
อันเจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็หัวเราะออกมา“มันก็แน่อยู่แล้วว่าเื่นี้ข้าแต่งขึ้นมาเอง คนอย่างฟางเจิงเกิดมาโชคดีขนาดนี้จะมาตายง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน”
ตู้โซ่วโซ่วกระทุ้งแขนของอันเจิงไปคราหนึ่ง“ใจข้าหายหมด วีรบุรุษอย่างเขาจะมาตายง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไร สักวันหากข้ามีโอกาสได้พบเขาสักครั้งก็คงจะดีแต่กลัวอยู่อย่างเดียว กลัวว่าข้าจะตื่นเต้นจนหัวใจวายเสียก่อนน่ะสิ”
อันเจิงแหงนหน้ามองออกไปในที่ที่ไกลแสนไกล“แล้วเ้าจะได้พบเขา ข้าสัญญา”
“เหมียว!”
ลูกแมวที่อยู่ในอ้อมแขนของอันเจิงส่งเสียงร้องออกมา ราวกับว่าตัวมันเองก็เชื่อมั่นในสิ่งที่อันเจิงพูดเช่นกัน