“ท่านแอบมองข้าหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามขึ้น
“เปล่าเสียหน่อย” จางเจิ้นอันส่ายหน้าปฏิเสธ “เ้ายังไม่ไว้ใจข้าอีกหรือ?”
“ไม่มีอะไรก็แล้วไปเถิดเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดในเื่นี้ จึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในครัวเงียบๆ
จางเจิ้นอันก็ตามเข้ามา เขาอาสาช่วยเทน้ำในอ่างทิ้ง ขณะที่อันซิ่วเอ๋อร์นั่งลงหน้าเตาไฟ นำเสื้อผ้าที่ยังชื้นอยู่มาอังไฟต่อ
นางก้มหน้าก้มตา ใช้มืออังเสื้อผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนจางเจิ้นอันเอนกายลงบนที่นอนฟาง รู้สึกถึงความสากระคายของฟางข้าวที่ไม่สบายตัวนัก
เขาพลิกตัวไปมา เสียงฝนด้านนอกยังคงโปรยปรายเซ็งแซ่ ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก พลันสายตาจับจ้องไปยังอันซิ่วเอ๋อร์ที่กำลังง่วนอยู่กับการอังผ้า เห็นเพียงแผ่นหลังและเสี้ยวหน้าด้านข้าง ผมดำขลับที่มวยไว้อย่างง่ายๆ ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ทว่าในสายตาเขา ภาพนั้นกลับทำให้รู้สึกสงบลงได้อย่างน่าประหลาด
“ยามดึกเช่นนี้อากาศเย็นนัก เสื้อผ้าปล่อยไว้พรุ่งนี้เช้าก็คงแห้ง เ้าไปพักผ่อนเถอะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม
อันซิ่วเอ๋อร์หันมายิ้มบางๆ ให้ “ไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะ ข้าขออังผ้าให้แห้งเสียก่อน พรุ่งนี้จะได้มีเสื้อผ้าใส่”
ในฤดูใบไม้ผลิที่อากาศชื้นแฉะเช่นนี้ เสื้อผ้าใช่ว่าจะแห้งง่ายๆ ประกอบกับนางได้งีบหลับไปแล้วเมื่อตอนสาย ตอนนี้จึงยังไม่ง่วงเท่าใดนัก
จางเจิ้นอันได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เขาประสานมือรองศีรษะ ทอดสายตามองเพดานเก่าคร่ำคร่าที่ผุพังไปบ้าง ตรงมุมหนึ่งมีใยแมงมุมขึงรอเหยื่ออย่างเงียบเชียบ
ราตรีทอดยาว เทียนไขในห้องค่อยๆ หดสั้นลง แต่จางเจิ้นอันกลับข่มตาให้หลับไม่ลง เขาหันไปมองอันซิ่วเอ๋อร์อีกครั้ง นางอังผ้าจนเกือบแห้งสนิทแล้ว กำลังพับผ้าชิ้นสุดท้ายวางไว้บนเก้าอี้
จางเจิ้นอันมองนางนิ่ง คิดว่านางคงจะเข้านอนแล้ว แต่นางกลับเดินไปล้างมือ แล้วตรงไปยังโต๊ะตัวเตี้ย เริ่มจัดแจงกับแป้งที่นวดทิ้งไว้ก่อนหน้านี้
“เ้ากำลังจะทำอะไร หรือว่าจะนึ่งหมั่นโถวคืนนี้?” จางเจิ้นอันเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อืม” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับ “คราวก่อนหมักแป้งไม่นานพอ หมั่นโถวจึงแข็งไปหน่อย คราวนี้พอมีเวลา ข้าจะค่อยๆ ทำ นึ่งให้สุกคืนนี้เลย พรุ่งนี้เช้าเพียงแค่นำมาอุ่นก็ทานได้แล้ว สะดวกดีเ้าค่ะ”
นางว่าพลางลงมือนวดแป้งต่อ จางเจิ้นอันใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง เอนตัวมองดูนาง มือขาวนวลคู่นั้น เมื่ออยู่เคียงกับแป้งสีขาว ยิ่งดูงดงามน่าเพลินตา หากแต่กลับขับเน้นให้ดูงดงามยิ่งขึ้นไปอีก
จางเจิ้นอันก้มลงมองมือของตน ข้อนิ้วโปนใหญ่ ผิวหยาบกร้าน บ่งบอกถึงชีวิตที่ผ่านมา มือของเขาเมื่อเทียบกับใบหน้าแล้ว ดูแก่กว่าหลายปี หากมองเพียงฝ่ามือ คงมีคนเดาผิดว่าเขาอายุราวสี่สิบห้าสิบปีแล้ว
เห็นนางนวดแป้งอย่างขะมักเขม้น แม้จะเป็ค่ำคืนที่อากาศเย็น แต่กลับมีเม็ดเหงื่อผุดพรายที่หน้าผาก จางเจิ้นอันจึงลุกขึ้นนั่ง เอ่ยถามว่า “้าให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“ไม่ต้องหรอกเ้าค่ะ ท่านพักผ่อนเถอะ” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น ปาดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วก้มหน้าก้มตานวดแป้งต่อไป
ยิ่งนวดแป้งนาน เนื้อััก็จะยิ่งเหนียวนุ่ม คราวก่อนนางหมักแป้งไม่นานพอ แรงนวดก็ยังไม่ถึงที่ดีนัก ทำออกมาจึงยังไม่ถูกใจเท่าที่ควร คราวนี้จึงตั้งใจจะแก้ตัว ทำให้ได้อาหารที่ตนเองพอใจ
นางนวดแป้งซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งเนื้อแป้งเนียนละเอียด ดึงแป้งขึ้นมาดูก็ไม่ติดเขียง ไม่ติดมือ อันซิ่วเอ๋อร์จึงหยุดมือ
นางเริ่มลงมือทำหมั่นโถว แต่ดูเหมือนจะนึกสนุก อยากทำอะไรมากกว่าหมั่นโถวธรรมดาๆ ไหนๆ คืนนี้ก็ยังว่าง นางจึงคิดจะปั้นตุ๊กตาแป้งเล่น
นางหันหลังเดินไปยังประตูครัว จางเจิ้นอันรู้สึกถึงลมเย็นวูบปะทะใบหน้า เห็นอันซิ่วเอ๋อร์เปิดประตูเดินออกไปชั่วครู่ ความอบอุ่นในห้องพลันถูกแทนที่ด้วยไอเย็นจากภายนอก จางเจิ้นอันนึกเป็ห่วง กำลังจะลุกจากเตียงตามไปดู นางก็เดินกลับเข้ามาเสียแล้ว
“เ้าออกไปทำอะไรมา?” จางเจิ้นอันถาม
“นี่อย่างไรเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ชูของในมือให้เขาดู “ไปหาดอกหญ้ากับเก็บผักป่ามานิดหน่อย”
“เ้าจะเอาของพวกนี้มาทำอะไร?” จางเจิ้นอันอดฉงนไม่ได้ ผักสีเขียว สีม่วงแดงในมือนางยังพอเข้าใจว่าจะนำมาทำอาหาร แต่ดอกหญ้านั่นกินไม่ได้ไม่ใช่หรือ?
“เป็ความลับเ้าค่ะ บอกตอนนี้ไม่ได้ ท่านรออีกสักครู่ก็รู้เอง” อันซิ่วเอ๋อร์แย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย วางของในมือลง แล้ววานให้จางเจิ้นอันช่วยก่อไฟเพิ่ม
ในหม้อยังมีน้ำเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ร่อยหรอไปจากการใช้อาบน้ำล้างตัวก่อนหน้านี้ เวลานี้จึงเหลือน้ำเพียงก้นหม้อ อันซิ่วเอ๋อร์ล้างของในมือจนสะอาด ตักน้ำในหม้อออกเล็กน้อย แล้วใส่ดอกหญ้าลงไป กดให้จมน้ำ
“ตกลงเ้าจะทำอะไรกันแน่? หรือว่าจะต้มดอกหญ้าให้ข้ากิน? อย่าบอกนะว่าดอกหญ้านี่ก็เป็ยาสมุนไพรอีกชนิด” จางเจิ้นอันเห็นนางใส่ดอกหญ้าลงไปต้มจริงๆ ก็มีสีหน้าใระคนหวาดหวั่น เขาชักจะกลัวความคิดพิสดารของนางเสียแล้ว
“ท่านคิดมากไปแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นท่าทางหวาดๆ ของเขา ก็อดหัวเราะไม่ได้ เอ่ยปลอบ เมื่อเห็นน้ำในหม้อเดือดได้ที่ อีกครู่ต่อมา อันซิ่วเอ๋อร์ก็ตักดอกหญ้าออกทิ้งไป
จางเจิ้นอันมองตาม รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ใครจะคาดคิด นางกลับหยิบชามใบหนึ่งมา ตักน้ำสีแดงที่ได้จากการต้มดอกหญ้าเก็บไว้
“ท่านจะลองชิมดูหรือไม่เ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของจางเจิ้นอัน ก็นึกสนุกอยากแกล้งเขาขึ้นมา จึงยื่นชามน้ำต้มดอกหญ้าส่งให้ จางเจิ้นอันมองน้ำสีแดงคล้ายเืในชาม ก็ทำหน้าแหยๆ เอนตัวหนีเล็กน้อย
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นท่าทางนั้นก็หัวเราะออกมา ไม่ได้เซ้าซี้เขาต่อ นางล้างหม้อจนสะอาด แล้วต้มผักป่าอีกชนิด
พอน้ำเดือด ใส่ผักลงไป น้ำในหม้อก็เปลี่ยนเป็สีเขียว อันซิ่วเอ๋อร์ตักกากผักทิ้ง แล้วทำเช่นเดิมคือนำน้ำสีเขียวเก็บไว้
รอจนกระทั่งนางใส่ผักป่าสีม่วงชนิดที่สามลงไปต้ม จางเจิ้นอันจึงเข้าใจในที่สุด “อ้อ เ้าจะเอาสีจากพวกมันนี่เอง?”
“ท่านนี่ฉลาดจริงๆ” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยชม นางล้างหม้ออีกครั้งจนสะอาด ใส่น้ำลงไปราวครึ่งหม้อ แล้วยกแผงไม้ไผ่สานสำหรับนึ่งออกมาวาง ปูทับด้วยผ้าขาวบางสำหรับรองนึ่ง
“อย่างไรเสียคืนนี้ก็ต้องก่อไฟอยู่แล้ว ต้มน้ำไปพลาง ปั้นแป้งไปพลาง ก็ไม่เสียเที่ยว ทั้งยังประหยัดฟืนได้อีกด้วย” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางดึงแป้งที่นวดได้ที่แล้วออกมา นางมีฝีมือคล่องแคล่วอยู่แล้ว พอจับแป้งมาคลึงไม่กี่ที ก็แบ่งแป้งออกเป็ก้อนกลมๆ นำก้อนเล็กก้อนใหญ่มาปั้นประกอบกัน
จางเจิ้นอันมองดูการกระทำของนางอย่างสนอกสนใจ อดไม่ได้ที่จะยกเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้าม ตั้งใจดูนางปั้นตุ๊กตาแป้ง
แม้จะเคยเห็นฝีมือนางมาบ้างแล้ว แต่คราวนี้ดูเหมือนนางจะปั้นได้ประณีตยิ่งกว่าเดิม เพียงเห็นนางใช้ปลายนิ้วคลึงเบาๆ แป้งสองก้อนในมือก็กลายร่างเป็ลูกหมูอ้วนกลมน่าเอ็นดู มีหูใหญ่ๆ สองข้าง หางม้วนงอแนบอยู่บนสะโพก ดูแล้วน่ารักน่าชังยิ่งนัก
ถึงตอนนี้ น้ำสีต่างๆ ที่อันซิ่วเอ๋อร์ต้มเตรียมไว้ก็ได้ใช้ประโยชน์แล้ว นางนำน้ำสีม่วงผสมกับน้ำสีแดง แต้มลงบนตัวลูกหมูแป้ง ทำให้มันกลายเป็สีชมพู แม้สีจะเข้มไปสักหน่อย แต่ก็ยิ่งทำให้ดูเหมือนจริง
เมื่อปั้นตุ๊กตาแป้งตัวแรกเสร็จ นางพลิกดูในมืออย่างพึงพอใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นให้จางเจิ้นอันดู รอจนเขาเอ่ยชม นางจึงค่อยๆ วางตุ๊กตาแป้งลงบนแผงไม้ไผ่อย่างเสียดายเล็กน้อย
“เ้าปั้นได้งดงามถึงเพียงนี้ เดี๋ยวข้าก็คงไม่กล้ากิน” จางเจิ้นอันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม อันที่จริงแล้ว ต่อให้เป็ขนมที่สวยงามปานใด เขาก็ไม่เคยนึกเสียดายที่จะกิน เพียงแต่ของสิ่งนี้อันซิ่วเอ๋อร์เป็คนทำ ความหมายจึงแตกต่างออกไป
“ทำมาก็เพื่อให้กินนี่เ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะ “ท่านอย่าเพิ่งมองว่าตอนนี้มันสวยงามอยู่เลย พอเอาไปนึ่งแล้ว บางทีอาจจะเสียรูปไปก็ได้”
“ถ้าเช่นนั้นแล้วเ้าจะตั้งใจปั้นให้สวยงามเช่นนี้ทำไมกัน? ไม่เสียแรงเปล่าหรือ?” จางเจิ้นอันสงสัย
“จะเสียแรงเปล่าได้อย่างไรเ้าคะ ในเมื่อคืนนี้ก็ว่างๆ อยู่แล้ว อีกอย่าง ต่อให้มันเสียทรงไปบ้าง ก็คงไม่ต่างจากเดิมมากนักหรอก อย่างไรก็พอใช้หลอกเด็กได้สบายๆ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางยิ้ม มือก็ยังคงปั้นแป้งต่อไปไม่หยุด
“ถึงจะทำพลาดไปบ้างหนึ่งหรือสองครั้งก็ไม่เป็ไร หากวันหน้าข้าฝึกฝีมือจนชำนาญแล้ว ก็อาจจะไปตั้งแผงขายตุ๊กตาแป้งในตลาดได้นะเ้าคะ”
“เหตุใดเ้าถึงคิดแต่เื่จะไปตั้งแผงขายของอยู่เรื่อย หรือว่ากลัวข้าจะเลี้ยงเ้าไม่ได้กัน?” จางเจิ้นอันเงยหน้ามองนางอย่างอ่อนใจ แม่นางน้อยผู้น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ควรจะได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ที่บ้าน คอยทำอาหาร ซักเสื้อผ้าให้เขา เหตุใดในหัวนางจึงคิดแต่เื่หาเงินอยู่ร่ำไป?
“ท่านอย่าเข้าใจผิดนะเ้าคะ ข้ารู้ดีว่าท่านเลี้ยงข้าได้แน่นอน ข้าเพียงแต่อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระท่านบ้างเท่านั้น” พอเห็นสีหน้าของจางเจิ้นอันดูไม่สู้ดี อันซิ่วเอ๋อร์ก็รีบก้มหน้าอธิบาย กลัวว่าเขาจะไม่พอใจ
เพียงเขาเอ่ยประโยคเดียว แววตาคาดหวังในดวงตาของนางก็พลันเลือนหาย แปรเปลี่ยนเป็ความกังวลเล็กๆ ซึ่งทำให้จางเจิ้นอันรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ เขาข่มความรู้สึกขุ่นมัวนั้นไว้ พยายามปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง
“ข้าไม่ได้ตำหนิเ้า เพียงแต่ไม่อยากให้เ้าต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบเพียงเพราะ้าหาเงิน ข้าหวังว่าที่เ้าปั้นตุ๊กตาแป้งนี้ เป็เพราะเ้าชอบมันจริงๆ ไม่ใช่เพราะอยากจะนำไปขายเพื่อหาเงิน”
“ข้าชอบแน่นอนสิเ้าคะ!” อันซิ่วเอ๋อร์รีบเงยหน้าขึ้นตอบ “หากข้าไม่ชอบ ข้าจะมานั่งปั้นตุ๊กตาแป้งทำไมกัน ถ้าอย่างนั้น สู้ไปปั้นตุ๊กตาน้ำตาล หรือพับตุ๊กตากระดาษไม่ดีกว่าหรือ แต่นั่นก็เพราะข้าไม่ชอบสิ่งเ่าั้นั่นแหละ ข้าถึงได้มาปั้นตุ๊กตาแป้งนี่อย่างไร”
“พูดไปเรื่อยเถอะ เ้าไม่ได้ทำสิ่งเ่าั้... เพราะทำไม่เป็ใช่ไหมล่ะ?” จางเจิ้นอันมองนางอย่างนึกขันปนเอ็นดู
อันซิ่วเอ๋อร์ราวกับถูกมองทะลุปรุโปร่ง แก้มพลันร้อนผ่าวขึ้นมา เอ่ยแก้ว่า “ทำไม่เป็ข้าก็เรียนรู้ได้นี่เ้าคะ ไม่มีอะไรที่ข้าจะเรียนรู้ไม่ได้เสียหน่อย!”
