หลังจากความพยายามอย่างไม่ลดละมาหลายวันของสวี่ชิวเยวี่ย ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวคือเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเป็โรคประหลาดบางอย่าง ที่เห็นสวี่ชิวเยวี่ยเมื่อไหร่วิ่งเมื่อนั้น สำหรับสวี่ชิวเยวี่ย ผลลัพธ์เช่นนี้ชัดเจนว่าไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวังไว้ ในทางกลับกันสวี่ชิวเยวี่ยเองก็เป็โรคประหลาดบางอย่างเช่นกัน อาการหลักๆ ของโรคประหลาดชนิดนี้ก็คือ เมื่อเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วต้องรีบไล่ตามอย่างไม่หยุดหย่อน!
เยวี่ยเจาหรานที่วางตัวเป็กลางช่างรื่นรมย์กับความอิสระ ใบหน้าเปี่ยมสุข ชีวิตที่น่าเบื่อจำเจดูจะสนุกสนานและมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ต่อให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะหลบเก่งสักแค่ไหน ก็หลบฮูหยินเยี่ยนไม่พ้น ด้วยการมารายงานผลหลายต่อหลายครั้งของสวี่ชิวเยวี่ย ฮูหยินเยี่ยนเองก็หงุดหงิดขึ้นมาเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สวี่ชิวเยวี่ยมาก่อกวนให้ตนหนักใจอีก ฮูหยินเยี่ยนจึงสั่งห้ามไม่ให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหลบสวี่ชิวเยวี่ยอีก เพื่อความสงบสุขของตน
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหมดหนทาง มีปากแต่แย้งไม่ได้ ได้แต่ทำตามความ้าของมารดาแต่โดยดี และเพื่อแก้แค้นเยวี่ยเจาหรานที่มองเื่นี้อย่างสนุกสนานอยู่วงนอก นางจึงลากเขาเข้ามาวงในด้วยกันเสียเลย
แต่เห็นได้ชัดว่าสวี่ชิวเยวี่ยนั้นไม่ได้ get เหตุผลที่แท้จริงที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วดึงเยวี่ยเจาหรานเข้ามาในเื่นี้ด้วย นางเชื่อปักใจว่าเยี่ยนอวิ๋นเฟยผู้นี้ไม่ยอมแยกจากภรรยาของตนเลยแม้เพียงชั่วครู่เดียว คิดว่าพวกเขาคิดจะจับมือกับโปรยอาหารสุนัขให้ตน [1] ! ยิ่งทำให้ความเจ็บแค้นชิงชังที่สวี่ชิวเยวี่ยมีต่อเยวี่ยเจาหรานเพิ่มมากขึ้นไปอีก...
ทั้งที่เป็ละครของคนสองคนแท้ๆ แต่เยวี่ยเจาหรานผู้โชคร้ายกลับถูกบังคับให้มาร่วมด้วย ทั้งยังเป็ตัวร้ายที่ทำลายความสุขและความปรองดองของครอบครัวในสายตาของแม่นางเอกดอกบัวขาวนั่นอีกด้วย
ทุกครั้งที่ถามใจตัวเอง เยวี่ยเจาหรานก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ากู่ร้องกับท้องฟ้า ข้าไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้?! น่าเสียดายที่พระเ้าไม่ใช่พยาธิในท้อง [2] ของสวี่ชิวเยวี่ย จึงไม่อาจตอบคำถามที่ยากเช่นนี้ได้จริงๆ ได้แต่ปิดปากเงียบแล้วแกล้งเป็ใบ้
วันหนึ่งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้รับคำสั่งให้ไปกินข้าวกับสวี่ชิวเยวี่ยอีกครั้ง เวลาใกล้เข้ามาแล้ว ขณะที่กำลังลังเลนั้น ก็มีราชโองการส่งมาจากในวังหลวง สั่งให้ ‘เยี่ยนอวิ๋นเฟย’ รีบเข้าวังไปพบฮ่องเต้โดยด่วน บอกว่ามีเื่สำคัญจะสั่ง... เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ยินเช่นนั้นก็ราวกับได้รับการนิรโทษกรรม นางรีบรับราชโองการเข้าวังไปอย่างไม่รอช้า แต่กลับทิ้งเยวี่ยเจาหรานผู้อับโชคให้เผชิญหน้ากับการโจมตีของสวี่ชิวเยวี่ยที่บ้านเพียงผู้เดียว
เยวี่ยเจาหรานอดกลอกตาในใจไม่ได้ แต่เื่ราวก็ยังต้องเป็ไปตามโครงเื่ที่วางไว้ เดิมที่คิดว่าจะกินมื้อเที่ยงให้เสร็จอย่างเงียบเชียบแล้วย่องหนีไป แต่ไปได้ครึ่งทางกลับถูกสวี่ชิวเยวี่ยที่เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายเรียกเอาไว้เสียก่อน
เยวี่ยเจาหรานที่หยุดฝีเท้าลงกำหมัดเล็กๆ ของตนแน่น แผ่นหลังผุดเหงื่อเย็นขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนกอย่างช่วยไม่ได้ เขาหันตัวกลับไปอย่างแข็งทื่อ พยักหน้าให้กับสวี่ชิวเยวี่ยที่อยู่ด้านหลังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “มีอะไรหรือ?”
สวี่ชิวเยวี่ยที่ได้รับรอยยิ้มอันอบอุ่นใจดีบนโต๊ะกินข้าวนั้น ย่างสามขุมมายังเบื้องหน้าของเยวี่ยเจาหราน แววตาเย็นะเืราวพายุหิมะในฤดูหนาว ทำเอาเยวี่ยเจาหรานนึกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลว่าตนน่าจะสวมเสื้อผ้าเพิ่มอีกหลายชั้นหน่อย...
“เยวี่ยเยียนหราน เ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วไปนักเลย!”
เมื่อได้ยินนางเอ่ยออกมาเช่นนั้น ทำให้เยวี่ยเจาหรานพลันลืมไปชั่วขณะว่าตอนนี้ตนก็คือ ‘เยวี่ยเยียนหราน’ ที่ดีใจเร็วไปผู้นั้นในคำพูดของสวี่ชิวเยวี่ย เขาเพียงคำนึงถึงตนเองแล้วเอียงหัวแล้วเอ่ยถามอย่างซื่อตรง “หา?”
สวี่ชิวเยวี่ยนั้นสมกับที่เป็ผู้แข่งขันระดับสูงของศึกหลังบ้าน ทุกอิริยาบถของนางล้วนแผ่รังสีความเย่อหยิ่งเ็าที่จะบดขยี้ฝ่ายตรงข้าม นางเชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มกริ่ม “อย่าแกล้งบื้อไปหน่อยเลย ความประพฤติของเ้าหลายวันมานี้ ข้าเห็นมากับตาแล้ว... เ้าก็แค่อาศัยฐานะภรรยาเอกของตน ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา แต่เ้าอย่าเพิ่งได้ใจไปนัก เปี่ยวเกออวิ๋นเฟย จะต้องเป็หมูในอวย [3] ของข้าแน่นอน!”
ฐานะภรรยาเอก? อยู่ในสายตา? หมูในอวย? ทั้งหมดนั่นมันอะไรกันล่ะ? เยวี่ยเจาหรานใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงวยในลำคอก็ราวกับมีก้อนเืจุกอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังคิดคำพูดตอบโต้กลับไม่ออก แต่ระหว่างที่กำลังสับสน ทันใดนั้นในสมองก็มีคำสอนหนึ่งผุดขึ้นมา เสียงทุ้มต่ำของสตรีผู้นั้นที่เคยสอนเขาไว้คือ… แสร้งอ่อนแอ
แสร้งอ่อนแอ? อ๋อ… นึกออกแล้ว เยวี่ยเจาหรานพลันรู้แจ้ง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงตอนที่ตนเข้าวังไปพบกับฮองเฮาเป็ครั้งแรก ยามนั้นฮองเฮาเคยชี้แนะเขาไว้ ทรงบอกว่าระหว่างผู้หญิงนั้น ใครอ่อนแอย่อมได้มากกว่า ผู้นั้นจะไม่พ่าย
เยวี่ยเจาหรานที่ได้เคล็ดลับมาดังนั้นจึงขมวดคิ้ว คิ้วเรียวโค้งดั่งใบหลิวหงิกงอ เผยความอยุติธรรมออกมาอย่างชัดเจน แม้แต่เสียงก็ยังมีความน้อยเนื้อต่ำใจโดยไร้ร่องรอยของการเสแสร้ง “น้องสาวพูดอะไรน่ะ? เหตุใดข้าจึงฟังไม่เข้าใจเลย... เปี่ยวเม่ยเป็แขกจากแดนไกล ทั้งยังเป็เหมยเขียวม้าไผ่กับอวิ๋น… เฟย พวกเราต่างก็ยินดีต้อนรับเ้ายิ่ง จะไม่เห็นเ้าอยู่ในสายตาได้อย่างไร?”
สิ้นเสียงพูด แม้แต่เยวี่ยเจาหรานเองยังอดยกนิ้วให้ตัวเองไม่ได้ รู้สึกว่าตนนั้นช่างมีความสามารถและพร์ในด้านการแสร้งอ่อนแอราวกับฟ้าประทานจริงๆ
สวี่ชิวเยวี่ยเห็นดังนั้น ในใจกลับคิดว่าเยวี่ยเจาหรานเบื้องหน้านี้ไม่ใช่คนที่ยั่วได้ง่ายๆ ตามคาด เป็คนร้ายกาจทีเดียว ดวงตาของนางจึงยิ่งเย็นเยือก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นางจิ้งจอกด้วยกันทั้งนั้น เ้ายังจะเล่าเื่หลอกใครกัน [4] คุณหนูเยวี่ย กับข้าเ้าก็อย่าเสแสร้งไปเลย”
ไม่ทันที่เยวี่ยเจาหรานจะเอ่ยปากตอบอีกครั้ง ไม่ไกลออกไปกลับมีเสียงสุขุมดังขึ้นมา “ชิวเยวี่ย เยียนหราน พวกเ้าคุยอะไรกัน?”
ทั้งสองพลันนิ่งค้าง ก่อนหันมองไปทางนั้นพร้อมกัน เมื่อมองชัดแล้วจึงพบว่าผู้ที่กำลังเดินตรงมายังทั้งสองนั้นคือฮูหยินเยี่ยน สวี่ชิวเยวี่ยเห็นท่าไม่ดี จึงรีบเก็บสีหน้าร้ายกาจเมื่อครู่ไปทันที คิ้วขมวดคลายลง แย้มยิ้มเอ่ยกับฮูหยินเยี่ยนด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม “ท่านป้า~ ชิวเยวี่ยล้อเล่นกับพี่เยียนหรานเ้าค่ะ พี่เยียนหรานเพิ่งบอกว่าเคยอ่านเื่ปรัมปราที่เรียกว่า ‘เื่เล่าประหลาดจากห้องหนังสือ’ [5] เนื้อเื่ช่างละเอียดและแปลกประหลาดมาก พี่เยียนหรานคิดเช่นเดียวกันหรือไม่เ้าคะ?”
แม่เ้าโว้ย สีหน้าของเยวี่ยเจาหรานอดแข็งขึ้นไม่ได้ ในใจชื่นชมทักษะการแสดงของสวี่ชิวเยวี่ยยิ่งนัก เพียงคิดว่าระหว่างที่สวี่ชิวเยวี่ยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมานั้น ยังเดินเหินได้อย่างราบรื่น ไม่เพียงต้องเป็คนร้ายกาจอย่างเดียวเท่านั้น ยังต้องเป็นักแสดงดีเด่นระดับรางวัลออสการ์ด้วย!
ทว่าเมื่อสายตาของเยวี่ยเจาหรานสบกับสีหน้าสงสัยอย่างจริงจังของฮูหยินเยี่ยน ก็พลันเก็บความยกย่องชื่นชมในใจเอาไว้ แล้วพยักหน้าอย่างงุนงง “อา ใช่แล้ว… เื่เล่าจากห้องหนังสือนั่นเอง ไม่เลวๆ ... ปีศาจสาวทุกตนล้วน...” นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดเยวี่ยเจาหรานก็หาคำบรรยายที่เหมาะสมได้ “งดงามมาก”
ถุย! งดงามกับผีน่ะสิ! งดงามบ้านเ้าหรือ! เยวี่ยเจาหรานกลอกตาในใจไม่หยุด แต่ยังฝืนอดกลั้นมองไปยังสีหน้าอึดอัดของฮูหยินเยี่ยน ทั้งสามแสร้งหัวเราะ ช่างน่าขบขันสิ้นดี
“อ๋อ...” อารมณ์บนใบหน้าของฮูหยินเยี่ยนเองก็เริ่มข่มไว้ไม่อยู่ แต่ก็ไม่อาจทำลาย ‘ความอบอุ่นกลมเกลียว’ ที่หาได้ยากนี้ลงได้ จึงได้แต่ทนแล้วทนอีก นางพยักหน้าเอ่ยตามน้ำ “เห็นพวกเ้าเข้ากันได้ดีเช่นนี้ข้าเองก็วางใจ”
เยวี่ยเจาหรานได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะทรุดลงกับพื้น กู่ร้องอยู่ในใจ แค่นี้ก็วางใจแล้วหรือ? หัวใจของฮูหยินเยี่ยนผู้นี้ช่างกว้างขวาง แต่ดวงตาหามีแววไม่เสียจริงๆ !!!
ฮูหยินเยี่ยนพูดจบ อาจเพราะตนเองก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงสะบัดแขนเสื้อหนีไปจากสถานการณ์น่าอึดอัดนี้ แล้วทิ้งให้สวี่ชิวเยวี่ยและเยวี่ยเจาหรานสองคนมองตากันไปมา
เชิงอรรถ
[1] โปรยอาหารสุนัข (撒狗粮) หมายถึง การอวดความรักอย่างหวานชื่นต่อหน้าคนอื่น
[2] พยาธิในท้อง (肚子里的蛔虫) หมายถึง คนที่รู้ความคิดและการกระทำของอีกฝ่ายได้อย่างปรุโปร่ง
[3] หมูในอวย (囊中之物) หากแปลตามตัวหมายถึง ของที่อยู่ในกระเป๋าแล้ว อุปมาว่าเป็สิ่งของที่ไม่ต้องเสียแรงหรือเสียเวลาก็ได้มาง่ายๆ
[4] เป็จิ้งจอกพันปีด้วยกันทั้งนั้น เ้าจะเล่าเื่ปรัมปราหลอกข้าไปทำไม (都是千年的狐狸,你跟我玩什么聊斋啊) หมายถึง ต่างก็รู้ไส้รู้พุงกัน ไม่จำเป็ต้องใช้ลูกไม้เล่นกลอะไร เพราะรู้กลอุบายของกันและกันเป็อย่างดี
[5] เื่เล่าประหลาดจากห้องหนังสือ 《聊斋志异》หรือที่ได้ยินกันบ่อยในชื่อ โปเยโปโลเย เป็ผลงานประพันธ์โดย ผูซงหลิง (蒲松龄) แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง (1644 – 1912) จากเื่เล่าจีนปรัมปรา รวบรวมเื่สั้นที่เกี่ยวกับคน ผี ปีศาจ และเทพ มากมายเอาไว้ในที่เดียว