“ตอนนั้นเสวี่ยเฟยเป็ที่โปรดปรานไม่ด้อยไปกว่าองค์หญิงจาวหยางในตอนนี้”
“ตอนนั้นฝ่าาทรงพระปรีชาสามารถ คิดการใหญ่ เพียงขยับนิ้วก็สำเร็จดั่งใจหวังแล้วจะมีใครไม่ชื่นชมบ้าง? ทว่าตอนนั้นวังหลังมีสตรีสามหมื่นนาง แม้จะทรงโปรดเพียงเล็กน้อยแต่อย่างน้อยก็ยังได้เข้าเฝ้าบ้าง แต่แล้วเมื่อเสวี่ยเฟยปรากฏตัวทุกสิ่งทุกอย่างพลันเปลี่ยนไป” นางสบถเสียงเย็น
สายตาของฮ่องเต้ค่อยๆเหลือเพียงหนึ่งเดียว แม้ไปหาสตรีนางอื่นบ้าง ทว่าล้วนเป็การกระทำตามหน้าที่อันควรเท่านั้น
ตอนนั้นนางเพิ่งถวายตัวเข้าวังเพียงหนึ่งปีเห็นเสวี่ยเฟยเป็ที่โปรดปรานเพียงหนึ่งเดียว นางจึงรู้สึกริษยาจนแทบคลั่งด้วยเช่นกัน เมื่อคิดถึงจุดนี้นางคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เสวี่ยเฟยเป็ที่โปรดปรานเพียงหนึ่งเดียว สตรีในวังหลังต่างอิจฉาริษยานาง แอบลงมือกันอย่างลับๆทว่ากลับล้มเหลวทุกครั้งไป เนื่องจากฝ่าาป้องกันอย่างเข้มงวดรัดกุมพวกนางจึงไม่มีโอกาสทำสำเร็จ”
“ทว่ามีเพียงมารดาของเ้า” ดวงตาของหลิ่วเสียนเฟยมองไประยะไกลราวกับว่าดวงตาของนางค่อยๆ ปรากฏร่างของสตรีนางนั้น หลี่ชิงหัวนางไม่ได้คิดถึงอีกฝ่ายมานานเท่าไรแล้ว? สตรีนางนั้นมักจะอยู่ในชุดสีอ่อน รอยยิ้มอ่อนโยนละมุนละไมร่างของนางแฝงไปด้วยกลิ่นอายของผู้มีความรู้
“เดิมทีมารดาของเ้าก็เป็ที่โปรดปรานเช่นกันต่อมาเป็เพราะเสวี่ยเฟย นางจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้นภายหลังไม่รู้เป็เพราะเหตุใด นางกับเสวี่ยเฟยกลับสนิทสนมกันฝ่าาเห็นว่ากว่าเสวี่ยเฟยจะมีเพื่อนคุยถูกคอเช่นนี้ไม่ง่ายเลย พระองค์จึงไม่ได้ขัดขวางอีกทั้งเพราะเหตุนี้ฝ่าาจึงดูแลมารดาของเ้ามากยิ่งขึ้นทว่าคาดไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงไม่นาน เสวี่ยเฟยกลับเสียชีวิตด้วยโรคที่รักษาไม่หาย”
“ตอนนั้นฝ่าาเศร้าพระทัยอย่างหนักรับสั่งให้สืบหาความจริงจนถึงที่สุด สุดท้ายสืบพบว่าเป็มารดาของเ้าเสวี่ยเฟยผู้น่าสงสาร ก่อนสิ้นใจยังฝากบุตรสาวของนางไว้กับมารดาของเ้าแต่กลับถูกมารดาของเ้าวางยาพิษจนทำให้เสียชีวิตอย่างช้าๆ ”
“สิ่งที่ท่านกล่าวเป็ความจริงหรือ?”
กงเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาส่องประกายราวกับสายฟ้าทำให้หลิ่วเสียนเฟยถึงกับชะงักไปทันที มารดาของเขาอ่อนโยนสง่างามนางไม่ใช่คนเ้าแผนการ วางแผนลอบสังหารผู้อื่นอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวหาอย่างแน่นอน
หลิ่วเสียนเฟยใกับสายตาของกงเจวี๋ยมากจริงๆจากนั้นนางจึงสบถเสียงเย็น
“ต้องเป็ความจริงอย่างแน่นอน มารดาของเ้ารักการอ่านแต่ละครั้งมักหยิบหนังสือบางเล่มติดไปด้วย นางมอบให้เสวี่ยเฟยในขณะเดียวกันนางได้อาบยาพิษไร้สีไร้กลิ่นไว้ภายในหน้าหนังสือช่างสมกับเป็สตรีผู้มากความสามารถเสียจริง แผนการช่างล้ำลึกนักพิษชนิดนั้นเมื่อแห้งถึงระดับหนึ่งแล้วจะไม่เหลือพิษอีกต่อไป หากฝ่าาไม่ได้ปิดพื้นที่สืบหาความจริงอย่างทันท่วงทีขอแค่ผ่านไปอีกวันสองวันเท่านั้น ก็จะไม่มีใครรู้ว่านางเป็ผู้ลงมือ”
ดังนั้นเสด็จพ่อจึงยืมมือหลิ่วเสียนเฟยสังหารเสด็จแม่ของเขาอย่างนั้นหรือ? ภายหลังเมื่อเขาถูกคนอื่นใส่ร้าย เสด็จพ่อจึงตัดสินความผิดของเขาอย่างเด็ดขาดจากนั้นจึงส่งเขาเข้าสู่ตำหนักเย็นอย่างนั้นหรือ? ไม่ ไม่มีทาง เสด็จพ่อไม่จำเป็ต้องยืมมือคนอื่นสังหารคนตรงจุดนี้ไม่สมเหตุสมผลเลย เสด็จแม่ของเขาไม่มีทางเป็คนเช่นนี้และเขาก็ไม่ใช่บุตรชายของศัตรูที่สังหารมารดาของเสด็จพี่ของเขา
อันที่จริงหลิ่วเสียนเฟยก็ปิดบังข้อมูลอยู่บางส่วน
ใช่! ความจริงแล้วตอนนั้นฝ่าาสืบหาไม่เจอว่าใครเป็ผู้ลงมือในครั้งนั้นส่วนนางมีนางกำนัลข้างกายคนหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญด้านยาและการรักษานางกำนัลคนนี้เป็คนสนิทที่บิดาของนางส่งตัวมาให้นาง มีอยู่ครั้งหนึ่งนางกำนัลของนางได้กลิ่นหอมบุปผาพิษบนร่างของหลี่เสียนเฟยโดยบังเอิญกอปรกับหลังจากนั้นเพียงไม่นาน เสวี่ยเฟยก็สิ้นใจตายตอนนั้นนางจึงเริ่มสงสัยในตัวหลี่เสียนเฟยมารดาของกงเจวี๋ย
นางแกล้งทำตัวใกล้ชิดกับหลี่เสียนเฟยจากนั้นจึงสั่งให้คนสนิทของนางไปสืบหาหลักฐานแต่แล้วจึงพบว่ามียาพิษอาบย้อมอยู่ในหน้าหนังสือนางจึงรีบไปทูลฝ่าาในคืนนั้นทันที
ฝ่าากริ้วจัด นางจึงเสนอตัวอย่างกล้าหาญนางกล่าวว่านางยินดีใช้วิธีการเดียวกันเล่นงานบุคคลผู้นั้นนางกำนัลของนางก็สามารถปรุงยาพิษชนิดนี้ได้เช่นกัน นางยินดีวางยาสังหารผู้กระทำความผิดเพื่อเสวี่ยเฟย
ฝ่าาทรงอนุญาตอย่างพอพระทัยอีกทั้งเมื่อภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้นลงแล้วยังแต่งตั้งนางให้เป็เสียนเฟยต่อมานางวางแผนกำจัดกงเจวี๋ยให้สิ้นซาก ฝ่าายังคงทำเป็ไม่รู้ไม่เห็น
ทว่าข้อมูลเหล่านี้ นางไม่มีทางบอกกงเจวี๋ยอย่างแน่นอน
“จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเ้า ก่อนเสียชีวิตหลี่เสียนเฟยยังมาสอบถามความจริงจากข้าข้าก็กล่าวไปตามความเป็จริงว่านี่คือพระประสงค์ของฝ่าาตอนนั้นนางจึงกลับไปเหมือนคนไร้สติ คืนนั้นนางก็สิ้นใจตายไปเสียแล้วข้าขอสาบานว่าคำกล่าวของข้าล้วนเป็ความจริง”
กงเจวี๋ยมองนางด้วยสายตาเ็าทว่าจิตใจของเขากลับเ็ปดุจถูกมีดกรีด เขาอดคิดถึงคำพูดของเสด็จแม่ก่อนสิ้นใจสองสามประโยคนั้นอย่างอดไม่ได้ที่แท้มันมีความนัยเช่นนี้เอง
สองประโยคกล่าวว่าไม่ต้องแก้แค้น หนึ่งประโยคเป็เพราะนางรู้สึกผิด ดังนั้นนางจึงยอมตายเพื่อเป็การชดใช้ อีกหนึ่งประโยคเป็เพราะแม้นางจำเป็ต้องตายแต่นางยังคงรักบุรุษผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นนางจึงยอมตายอย่างเต็มใจ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสเห็นเ้าเติบโตเป็ผู้ใหญ่
กงเจวี๋ยรู้สึกราวกับร่างของเขากำลังถูกรังไหมั์พันรอบตัวเขารู้สึกอึดอัดจนแทบบ้า
เสด็จแม่สังหารเสวี่ยเฟย จากนั้นนางจึงเสียชีวิตเพราะเสวี่ยเฟยอีกทั้งยังทำให้เสด็จพี่ที่อายุเพียงสามขวบต้องถูกส่งเข้าตำหนักเย็นเสด็จพี่ต้องเจ็บป่วยยาวนานถึงสี่ปีหากนางรู้ว่าเขาเป็บุตรชายของศัตรูที่สังหารมารดาของนางนางจะต้องทอดทิ้งเขาใช่ไหม?
ระหว่างทางกลับตำหนัก กงเจวี๋ยมีสภาพราวกับไร้จิติญญาครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกมึนงง ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำเช่นไร ข้างหูของเขายังคงมีเสียงของหลิ่วเสียนเฟยดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“องค์หญิงจาวหยางให้ความสำคัญกับเ้าเพราะเ้าเป็คนที่นางใช้ชีวิตด้วยกันตอนอยู่ในตำหนักเย็นสามปีทว่าหากนางรู้ว่ามารดาของเ้าเป็ต้นเหตุที่ทำให้นางต้องถูกส่งเข้าตำหนักเย็นก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางจะคิดเช่นไร”
“พี่น้องรักกันลึกซึ้ง? องค์ชายคงต้องหวังว่านางจะไม่รู้เื่นี้ตลอดไป หากนางรู้แล้วมิตรภาพคงกลายเป็ความแค้น ตอนนี้องค์ชายยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย” หลิ่วเสียนเฟยคลี่ยิ้มอย่างพึงใจ
เสด็จพี่จะทอดทิ้งเขาไหม?
ครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่กงเจวี๋ยหยุดชะงักอยู่ด้านหน้าตำหนักไท่จี๋เขามองตำแหน่งที่มีแสงไฟส่องสว่างอย่างเด่นชัดที่สุด ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวเราะของนางอยู่แว่วๆ
นางเป็สตรีที่โดดเด่นยิ่งนัก เมื่ออยู่ข้างกายนางเขาจะรู้สึกมีความสุขอย่างไร้ขีดจำกัด แม้เป็นางกำนัลที่อยู่ข้างกายนางทุกครั้งที่เดินเข้าๆ ออกๆ ในตำหนักก็ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าอยู่เสมอในพระราชวังแห่งนี้ นางเป็หนึ่งเดียวที่ไม่เหมือนใคร
กงเจวี๋ยยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่จากนั้นเขาจึงหันกายมุ่งหน้าเดินไปยังตำหนักไท่เหอของตน
ตำหนักไท่เหออยู่ห่างจากตำหนักไท่จี๋อยู่พอสมควรทว่าแต่ละครั้งกงเจวี๋ยกลับรู้สึกว่าเพียงสิบห้านาทีก็ถึงแล้วเนื่องจากเขาอยากพบหน้าเสด็จพี่โดยเร็วระยะทางเพียงเท่านี้จึงถือว่าเล็กน้อยยิ่งนัก ทว่าครั้งนี้ขณะที่เขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางกลับตำหนักไท่เหอ เขารู้สึกว่าเส้นทางนี้ช่างยาวนานเหลือเกินมันช่างมืดมนยิ่งนัก แสงไฟสองข้างทางกะพริบวิบวับราวกับสามารถกินคนแต่กลับไม่สามารถหลุดพ้นจากความมืดมิดของยามค่ำคืนได้เลย
หลายวันผ่านไป กงอี่โม่จึงเพิ่งพบความผิดปกติ
แต่ไหนแต่ไรนางไม่ใช่คนที่ชอบควบคุมชีวิตผู้อื่น ดังนั้นเมื่อกงเจวี๋ยไม่ได้ปรากฏตัววันสองวันนางจึงคิดว่าอีกฝ่ายโตแล้ว กงเจวี๋ยคง้าพื้นที่ส่วนตัวของตนบ้างทว่าเมื่ออีกฝ่ายหายไปต่อเนื่องถึงห้าวัน กงอี่โม่จึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขณะที่นางคิดจะไปหาอีกฝ่ายนั้น นางกำนัลคนหนึ่งพลันวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“แย่แล้ว แย่แล้วเพคะองค์หญิงองค์ชายเก้าลงมือทำร้ายองค์ชายสิบสี่จนาเ็ในสำนักศึกษาหลวงฝ่าาทรงกำลังสอบถามความผิดอยู่เพคะ”
เมื่อได้ยินแล้ว กงอี่โม่จึงอยู่นิ่งไม่ได้อีกต่อไปนางพลิกกายใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาหลวงอย่างรวดเร็ว
สำนักศึกษาหลวงอยู่ห่างจากตำหนักไท่จี๋ค่อนข้างมากเมื่อกงอี่โม่เดินทางถึงที่นั่นแล้ว ทุกๆ คนกำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น น้ำเสียงกริ้วจัดของฮ่องเต้ดังก้องกังวานนางกำนัลจำนวนนับไม่ถ้วนปิดปากเงียบราวกับจักจั่นในปลายสารทฤดู
ขณะที่กงอี่โม่เดินเข้าไป พลันมีของสิ่งหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาที่นางนางหลบอัตโนมัติโดยไม่ได้มองว่าสิ่งนั้นคืออะไร เสียงตะคอกของฝ่าาดังลอยตามมา
“ดูน้องชายคนดีที่เ้าปกป้องสิ นอกจากแข็งข้อกับข้าแล้วเขายังลงมือทำร้ายน้องชายของตนอย่างรุนแรง เ้ามีอะไรจะกล่าวอีกไหม?”
เวลานี้กงเจวี๋ยกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ ผิวของเขาแดงจัดเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาจึงลืมตาที่เต็มไปด้วยสีโลหิตพร้อมกล่าวค้านด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“เื่นี้ไม่เกี่ยวกับเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ”