น้ำเสียงเหยียดหยามที่มาพร้อมสายตาดูแคลนทำให้หนิงเทียนไม่พอใจอย่างมาก แค่ถือกระบี่ก็คิดว่าตนคือวีรบุรุษหรือ? เห็นทีต้องสั่งสอนเสียแล้ว
“ข้าจะให้โอกาสเ้า วางกระบี่ลงแล้วส่งรากบ่มเพาะมา ข้าจะปล่อยเ้าไปอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่เช่นนั้น...”
หลินเสี่ยวซินกลอกตาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชายผู้นี้ไร้สมองหรือมีจิตใจหยาบกระด้างกันแน่? ถึงกล่าวเื่งี่เง่าเช่นนี้ออกมา
ลั่วซิงหน้าดำคร่ำเครียด บอกให้เขาทิ้งกระบี่ยอมรับความพ่ายแพ้และถอยไปอย่างมีศักดิ์ศรี เ้าหนูนี่คิดว่าตนเป็ใครกัน?
“เ้าเด็กปากพล่อย ข้าจะตีเ้าให้ตาย” ลั่วซิงแสยะยิ้มด้วยความโกรธ เขาตวัดกระบี่ยาวในมืออย่างรวดเร็วราวงูพิษเลื้อยออกจากรู พร้อมเล็งปลายกระบี่ไปที่หน้าอกของหนิงเทียน
“ระวัง!” หลินเสี่ยวซินร้องเตือนให้หนิงเทียนรีบหลบ
“เมื่อไม่ฟัง ข้าก็จะเปลื้องผ้าเ้าแล้วจับเ้าห้อยกับต้นไม้” หนิงเทียนเคลื่อนกายไปด้านข้างก่อนจะเริ่มสะบัดนิ้ว ปลายนิ้วของเขากระทบสันกระบี่ด้วยท่วงท่านุ่มนวล แต่กลับทำให้แขนของอีกฝ่ายชาจนกระบี่เกือบหลุดจากมือ
สีหน้าของลั่วซิงเปลี่ยนไป เขาหันไปด้านข้างเพื่อควบคุมพลังอีกครั้ง เมื่อเขาเริ่มใช้ทักษะคมกระบี่ใบหญ้า การเคลื่อนไหวของกระบี่ก็เปลี่ยนไปในทันที
หลินเสี่ยวซินกังวลเล็กน้อย นางรู้ดีว่าทักษะกระบี่ของลั่วซิงนั้นยากจะคาดเดาทั้งยังป้องกันไม่ง่าย ศิษย์หลายคนก็พ่ายแพ้ทักษะกระบี่นี้
ประสาทััทั้งหกของหนิงเทียนเฉียบคมอย่างมาก อีกทั้งการใช้กระบี่ของลั่วซิงก็ไม่ราบรื่นนัก มันยังแข็งทื่อเกินไปและมีข้อบกพร่องอีกมาก
หนิงเทียนตอบโต้ด้วยทะยานหลงเงาตัดผกา วิชาลึกลับที่ได้ร่ำเรียนมาจากท่านอาจารย์คนงาม ยามนี้เขาสามารถรวมดอกไม้ได้ห้าดอกซึ่งอยู่ในระดับเริ่มต้น
ทะยานหลงเงาตัดผกาเป็การใช้เงาดอกไม้อย่างน้อยสองเงามาตัดกัน จึงต้องควบคุมดอกไม้ให้ได้อย่างน้อยสองดอกเพื่อใช้วิชานี้
หากใช้ดอกไม้สามดอกจะสามารถใช้ท่าหมุนเวียนได้ สี่ดอกสามารถใช้ท่าพลิกแพลง และห้าดอกสามารถดึงดูดสายตา
ตามที่เยี่ยหลิงหลานกล่าวไว้ กระบวนท่าทะยานหลงเงาตัดผกานี้ยิ่งสามารถรวมดอกไม้ได้มากเท่าใด การเคลื่อนไหวก็จะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น
แม้ทักษะกระบี่ของลั่วซิงจะคล่องแคล่วและแปรผันอยู่ตลอด แต่เขากลับไม่สามารถทำอันตรายหนิงเทียนได้ เป็เหตุให้เขาเริ่มแสดงสีหน้าน่าเกลียดออกมา
“รากบ่มเพาะ!” ลั่วซิงคำรามลั่น เขาขว้างรากบ่มเพาะในมือซ้ายทิ้งและปล่อยกระบี่ออกจากมือขวา เมื่อมือทั้งสองข้างว่างเปล่า เขาก็ออกหมัดต่อยหนิงเทียนทันที
แม้หนิงเทียนจะใกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน แต่ความสนใจของเขาก็ถูกรากบ่มเพาะดึงดูดไปตามสัญชาตญาณ
เขาไม่ได้ใส่ใจกับหมัดของลั่วซิง ทว่าสิ่งที่ทำให้หนิงเทียนประหลาดใจก็คือ ท่าสังหารของลั่วซิงไม่ได้อยู่ที่หมัดแต่เป็เท้าขวา
“หลบเร็ว!” หลินเสี่ยวซินกรีดร้อง นางเคยเห็นการเคลื่อนไหวของลั่วซิงมาก่อน
นี่คือท่ากระบี่บาทา เป็การใช้ทักษะคมกระบี่ใบหญ้า โดยควบคุมกระบี่ยาวด้วยเท้าขวา ขณะที่มือขวาก็ออกหมัดเพื่อหลอกให้ศัตรูสับสน
“บ้าเอ๊ย! ร้ายกาจยิ่งนัก” หนิงเทียนพยายามตั้งรับหมัดขวาของลั่วซิง ก่อนจะเผชิญกับกระบี่อันชั่วร้าย
เขาหลบไม่พ้นแล้ว ร่องรอยความอึมครึมแวบขึ้นในดวงตาครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังด้วยมือขวาแล้วบิดเอวไปด้านข้าง แม้จะสามารถหลีกเลี่ยงคมกระบี่ได้อย่างหวุดหวิด แต่เสื้อผ้าก็ยังถูกแทงจนเป็รู
ลั่วซิงเซกลับไป กระบี่พุ่งขึ้นมาจากปลายเท้าอีกครา พร้อมกวัดแกว่งไปมาราวกับงูิญญา เพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของหนิงเทียน
ใบหน้าหนิงเทียนเริ่มมีเหงื่อซึม ขณะที่ใบหน้าของลั่วซิงนั้นน่าเกลียดยิ่งกว่าเก่า ช่างน่าเสียดายที่หนิงเทียนหลบกระบี่นี้ได้
หลินเสี่ยวซินแสดงสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นเขาสามารถหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวแสนร้ายกาจเช่นนี้ได้
ช่างมีพร์จริงๆ
ทว่าหนิงเทียนไม่พอใจอย่างมาก หลังจากนี้เขาจะเลิกประเมินศัตรูต่ำเกินไปและจะไม่ประมาทคู่ต่อสู้ของตนอีก
ดวงตาลั่วซิงเคร่งขรึม หากวันนี้ไม่สามารถเอาชนะหนิงเทียนได้ ก็คงยากที่จะหลบหนี ดังนั้น เขาต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้
“กระบี่ซ้าย!”
นี่เป็หนึ่งในทักษะเฉพาะของลั่วซิง ท่ากระบี่ซ้ายและกระบี่ขวานั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว และคนส่วนใหญ่ก็ไม่อาจตั้งรับได้ทัน
“ทะยานหลงเงาตัดผกา!” เสียงของหนิงเทียนเต็มไปด้วยความโมโห พลังิญญาเบ่งบานขึ้นบนปลายนิ้วอีกครา ดอกไม้บินห้าดอกหมุนวนอย่างอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะบอกได้ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จ
ลั่วซิงเหวี่ยงกระบี่เพื่อสกัดกั้น ทว่า กระบี่จากการควบแน่นพลังิญญาของหนิงเทียนนั้นหนักราวกับูเา แค่ััเพียงปลายนิ้วก็ทำให้ลั่วซิงถอยกลับไปอย่างแรง ทั้งยังมีเืพุ่งออกจากปาก และได้รับาเ็สาหัสทันที
“ปะ...เป็ไปไม่ได้ เ้า...โอ๊ย!” ลั่วซิงร้องโหยหวน เขาถูกหนิงเทียนเตะออกไปไกลหลายจั้งจนร่างกระแทกต้นไม้ใหญ่
หลังจากนั้นหนิงเทียนก็หยิบรากบ่มเพาะขึ้นมาโดยไม่สนใจเขา เมล็ดพันธุ์นี้เต็มไปด้วยแสงแห่งจิติญญา และมีความผันผวนที่ไม่อาจอธิบายได้
เขาปล่อยพลังิญญาพันรอบฝ่ามือ รากบ่มเพาะในกายแผ่คลื่นตรวจจับเพื่อพิจารณารากบ่มเพาะชิ้นนี้
“ระดับสุวรรณขั้นสูง ฮ่าๆ ข้ารวยแล้ว!” หนิงเทียนเปิดกำไลหยกหยวนเก็บรากบ่มเพาะไว้อย่างดี จากนั้นก็เดินมาหยุดข้างกายลั่วซิง
“เ้าจะทำอะไร? เฮ้ย! เอาคืนมา โอ๊ย!”
“ข้าจะทำอะไรหรือ? ข้าจะห้อยเ้าไว้กับต้นไม้ให้ทุกคนเห็นก้นเปลือยของเ้าอย่างไรเล่า” หนิงเทียนปล้นทุกสิ่งจากลั่วซิง แม้แต่กระบี่ก็ถูกพรากไป
“บังอาจนัก! อ๊าก! หยุด! อย่าทำเช่นนี้ อะ...ออกไป ฮือๆ สหาย ข้าผิดไปแล้ว อย่าถอดอีกเลย ข้าเหลือเพียงชั้นในตัวเดียวแล้ว”
หนิงเทียนถอดเสื้อผ้าของลั่วซิงออกเกือบหมด ถอดกระทั่งกางเกง ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สาวน้อยหลินมานี่เร็ว ช่วยข้ากดเท้าเขาไว้หน่อย”
หลินเสี่ยวซินละอายใจยิ่งนัก เ้าคนต่ำช้านี่น่าฆ่าทิ้งเสีย
ลั่วซิงะโด้วยความวิตก “พี่ใหญ่! โอ้ท่านบรรพชน! โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย”
“กลัวความอัปยศหรือ? เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสเ้า มอบหินิญญามาสิบก้อนแล้วข้าจะเหลือชุดชั้นในไว้ให้ ไม่เช่นนั้นข้าจะถอดออกให้หมด”
ลั่วซิงกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าใจ “ท่านปล้นข้าไปหมดแล้ว จะยังมีหินิญญาเหลืออีกได้อย่างไร?”
“ถ้าไม่มีก็ติดไว้ก่อน ว่าอย่างไร? จะให้ถอดต่อหรือเหลือไว้ดี?” หนิงเทียนค่อยๆ ดึงกางเกงของลั่วซิงด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์
“อย่า! แล้วหินิญญาที่ให้ไปก่อนหน้ายังไม่พอหรือ?”
“เป็เด็กดีนะ แนบเท้าให้ชิดกัน ข้าจะห้อยเ้าแล้ว”
“ไม่! อ๊ะ! หยุด!”
“ไม่อยากอยู่บนต้นไม้? ย่อมได้ มอบหินิญญาให้ข้าสิบก้อน”
“พะ...พี่ใหญ่ ท่านกำลังปล้นคนอยู่นะ”
“ถ้าไม่ส่งมาก็ห้อยอยู่้า”
“ข้าตกลง!”
“เด็กดี ข้าไม่ห้อยเ้ากับต้นไม้แล้ว แต่การวิ่งเปลือยไปรอบๆ เช่นนี้คงส่งผลต่อภาพลักษณ์แสนฉลาดและทรงพลังของเ้าใช่หรือไม่? เหตุใดเ้าไม่ซื้อชุดมาใส่สักหน่อยเล่า? ราคาเพียงหินิญญาสิบก้อน ถูกยิ่งนัก”
ลั่วซิงได้ยินดังนั้นก็แทบอาเจียนเป็สายเื นี่เขากำลังรีดไถคนไม่ใช่หรือ? และหลินเสี่ยวซินเองก็ตกตะลึงราวกับเห็นผีเช่นกัน
“เป็ความจริงที่พระพุทธรูปต้องมีทองหุ้ม คนก็ต้องมีเสื้อห่อ[1] เสื้อผ้าเหล่านี้ไม่ต่างจากต้นหยกเล่นลม[2] หากรวมกับกระบี่ด้วยแล้วนับว่ายังไม่คุ้ม แต่ข้าจะยอมแลกกระบี่ชั้นดีกับหินิญญายี่สิบก้อน เช่นนี้ย่อมเป็เ้าที่ได้กำไร”
ลั่วซิงล้มลงพร้อมพูดทั้งน้ำตา “พี่ใหญ่ แต่นั่นคือกระบี่ของข้า”
“ทำไม? เ้าไม่ชอบกระบี่เล่มนี้หรือ? คิดว่ามันราคาถูกเกินไปใช่หรือไม่? เช่นนั้น...”
“ไม่! ข้าชอบกระบี่เล่มนี้ ข้าจะซื้อด้วยหินิญญายี่สิบก้อน” ลั่วซิงซื้อกระบี่ของตนคืนด้วยน้ำตาและความพลุ่งพล่าน
“เด็กดี เรามาเขียนสัญญากู้ยืมกันเถอะ หินิญญาห้าสิบก้อน หลินเสี่ยวซินเป็พยาน”
ลั่วซิงแสดงท่าทีสิ้นหวัง ในขณะที่หลินเสี่ยวซินกำลังกลั้นยิ้ม นางรู้สึกว่าชายผู้นี้ช่างน่าขันเหลือเกิน
“อืม ลายมือชื่อไม่เลวเลย ค่อยๆ เดินนะ ไว้เจอกันเมื่อข้ามีเวลา”
แต่ลั่วซิงจะกล้าเดินช้าๆ ได้อย่างไร เขาวิ่งอย่างบ้าระห่ำไปตลอดทาง แทบรอไม่ไหวที่จะหนีให้ไกลจากโจรใจร้ายผู้นี้
หนิงเทียนอารมณ์ดีอย่างยิ่งและจัดการกับถุงมิติที่ปล้นมา เมื่อรวมกับหินิญญาของพรรคพวกหลินเสี่ยวซินแล้ว ตอนนี้เขามีหินิญญาทั้งหมดสิบแปดก้อน ทั้งยังมีรากบ่มเพาะระดับสุวรรณขั้นสูงอีกหนึ่งชิ้น
“สาวน้อย หลังจากลั่วซิงนำหินิญญามาให้ข้าแล้ว ข้าจะคืนหินิญญาให้เ้าห้าเท่า”
หลินเสี่ยวซินพูดไม่ออก ชายผู้นี้ไร้ยางอายยิ่งนัก
“เอาละ ข้าต้องไปแล้ว เ้าไปดูแลสหายของเ้าเถิด ไม่ต้องส่งข้าหรอก”
หนิงเทียนโบกมือก่อนจะหันหลังกลับแล้วจากไป ซึ่งทำให้หลินเสี่ยวซินขบฟันด้วยความไม่พอใจ
“พวกเขาไม่้าให้ข้าดูแล บังเอิญว่าข้ากำลังจะขึ้นไปตามหารากบ่มเพาะเช่นกัน เราแค่อยู่บนทางสายเดียวกันเท่านั้น”
หลินเสี่ยวซินตามหนิงเทียนไป และมองเขาอย่างขุ่นเคือง
...
ภายใต้แสงตะวัน ทั้งสองคนเดินพูดคุยเคียงข้างกัน
“จื๋อซิวมาที่นี่เพื่อหารากบ่มเพาะ แล้วเหตุใดหยวนซิวถึงมาที่นี่ด้วยเล่า?” หนิงเทียนยังคงคาใจเื่นี้
หลินเสี่ยวซินกลอกตาใส่เขาแล้วพูดพึมพำ “ประการแรกหยวนซิวมาที่นี่เพื่อเสาะหารากบ่มเพาะ ประการที่สองก็เพื่อมองหาโอกาส แม้ว่าหยวนซิวจะไม่ต้องใช้รากบ่มเพาะ แต่ก็สามารถนำไปแลกหินิญญาได้”
หนิงเทียนพูดอย่างประหลาดใจ “ไม่ใช่ว่าหยวนซิวดูแคลนจื๋อซิว ทั้งยังมองว่าเราเป็พวกนอกรีตหรือ? เหตุใดถึงให้บรรดาลูกศิษย์ออกมาเสาะหารากบ่มเพาะเพื่อขายแลกหินิญญาเล่า?”
“ศิษย์ที่เป็หยวนซิวมีมากมาย ผู้ที่โดดเด่นย่อมได้รับทรัพยากรที่เพียงพอ แต่ศิษย์ทั่วไปก็ต้องหาหนทางอื่น แม้การหารากบ่มเพาะมาแลกหินิญญาจะค่อนข้างลำบาก แต่พวกเขาก็ยังใช้ทรัพยากรในการบำเพ็ญของจื๋อซิวได้ นอกจากนี้ไม่ว่าจะในแง่จำนวนคนหรือระดับโดยรวม จื๋อซิวย่อมไม่มีวันตามหยวนซิวทัน ดังนั้น พวกหยวนซิวจึงไม่กังวลเื่นี้เลย”
หนิงเทียนเลิกคิ้ว “ไม่มีวัน? พวกเขามั่นใจเกินไปแล้ว”
“จำนวนรากบ่มเพาะส่งผลต่อจำนวนศิษย์จื๋อซิว ทั้งยังเป็เื่ยากที่จะเติบโต ยิ่งไปกว่านั้น โอกาสสำเร็จของจื๋อซิวผู้มีรากบ่มเพาะระดับต่ำก็ไม่สูงนัก ศิษย์ที่เหนือระดับแปดของสำนักผู้บำเพ็ญจื๋อซิวส่วนมากก็จะหยุดอยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึก ทั้งชีวิตไม่มีหวังที่จะก้าวหน้าขึ้นอีก ขณะที่ผู้อยู่เหนือระดับเก้าของหยวนซิวทุกคนสามารถข้ามขอบเขตจิตหยั่งลึก และเข้าสู่ขอบเขตผนึกดาราได้ จากการเปรียบเทียบนี้เราจึงรู้ถึงช่องว่างระหว่างจื๋อซิวและหยวนซิว”
“โอ้โห! ช่องว่างช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก!” หนิงเทียนเดาะลิ้น ไม่แปลกเลยที่หยวนซิวจะดูถูกดูแคลนจื๋อซิวอยู่เสมอ นั่นก็เพราะพลังของพวกเขาแข็งแกร่งกว่ามาก
หลินเสี่ยวซินถอนหายใจเบาๆ “ในบรรดาผู้ฝึกตนทั้งสามประเภท จื๋อซิวนับว่าเป็กลุ่มที่มีความหวังน้อยที่สุด แต่สำหรับคนธรรมดาอย่างเราที่ไม่สามารถปลุกสายเืได้ นี่ก็เป็หนทางเดียวที่เราทำได้แล้ว”
หนิงเทียนมีประสบการณ์ฝังใจกับเื่นี้ ตัวเขาเองก็เคยมาทีู่เาเฮยเสวียนเพื่อหาหนทางให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น เขาพยายามเสาะหารากบ่มเพาะแต่กลับถูกพิษไฟ และสุดท้ายครอบครัวก็ถูกทำลายสิ้น...
หากไม่ได้พบกับอาจารย์ เขาก็ไม่รู้ว่ายามนี้สถานการณ์จะเป็อย่างไร
“เมื่อครู่เ้าบอกว่าหยวนซิวมาที่นี่เพื่อหาโอกาส โอกาสที่เ้าว่าหมายถึงอะไร?”
“ในยอดเขาิเฟิงมีซากโบราณอยู่ ว่ากันว่ามีทั้งอาวุธและสมบัติล้ำค่า มีแม้กระทั่งวิชาการต่อสู้”
ดวงตาของหนิงเทียนสว่างวาบทันที คำพูดของท่านอาจารย์ที่ว่า “หากพบอาวุธิญญาจื๋อซิว จะได้รับผลตอบแทนมหาศาล” ก็ดังก้องอยู่ในโสตประสาท
“ไป เราออกตามหากันเถอะ”
---------------------------------------
[1] พระพุทธรูปต้องมีทองหุ้ม คนก็ต้องมีเสื้อห่อ (佛要金装,人要衣装) หมายถึง คนจะสวย หล่อ ดูดีได้ ต้องรู้จักการปรุงแต่งด้วยเครื่องสำอางและเสื้อผ้า เหมือนสุภาษิตไทยว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง”
[2] ต้นหยกเล่นลม (玉树临风) หมายถึง ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา อ่อนโยน และงามสง่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้