เมื่อเห็นท่าทีเฉินจิ้งเจีย เผยฉางชิงจึงเอ่ย “คงเป็ผ้าเช็ดหน้าของน้องสาวผู้เป็ลูกอี๋เหนียง หล่นมาจากตัวนาง เดิมทีข้าคิดจะคืนให้ ทว่านางเดินเร็วเกินไป”
ผ้าเช็ดหน้าของเฉินจิ้งโหรว...
นางพลิกกลับอีกด้าน เป็อย่างที่คิด ตรงปลายมุมผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มีอักษร ‘โหรว’ ปักไว้
เผยฉางชิงมองเฉินจิ้งเจียที่เผยยิ้มบนหน้าอย่างไม่แปลกใจมากนัก กระนั้นไม่ช้าท่าทีดังกล่าวก็หายไป แทนที่ด้วยความสงสัย
“เหตุใดท่านถึงเอาสิ่งนี้มาให้ข้า?”
เฉินจิ้งเจียเอ่ยปากถาม “ท่านบอกเองว่าลูกฮูหยินกับลูกอนุนั้นยากจะปรับเข้าหากันได้ ท่านคงมิได้คิดจะให้ข้าเอาผ้าเช็ดหน้าไปคืนนางใช่หรือไม่?”
การที่นางถามเช่นนี้ถือเป็เื่ปกติ อย่างไรเสียเขาก็เติบโตมาจากครอบครัวชาวนา ในบ้านมีลูกชายอย่างเขาเพียงคนเดียว ย่อมต่างไปจากบ้านนางอยู่แล้ว
เฉินจิ้งเจียหาได้วาดหวังว่าเผยฉางชิงจะเข้าใจสถานการณ์อันย่ำแย่ของนาง หรือเข้าใจในความคิดของนางแต่อย่างใด
เมื่อได้ยินเฉินจิ้งเจียถามเช่นนั้น เผยฉางชิงจึงก้มหน้า มุมปากคลับคล้ายจะยกขึ้นแต่ก็ไม่
ดูเหมือนมิได้มีแค่ตนเท่านั้นที่คอยตั้งรับเฉินจิ้งเจีย แต่แม่นางน้อยผู้นี้ก็ยังคอยตั้งรับตนด้วยเช่นกัน
ครั้นเงยหน้าอีกครั้ง เขาก็กลายเป็เผยฉางชิงผู้สุขุมเยือกเย็น “ในเมื่อคุณหนูเฉินไม่เข้ากันกับน้องสาวลูกอี๋เหนียง เช่นนั้นสำหรับคุณหนูเฉินแล้ว ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ย่อมมีประโยชน์อย่างแน่นอน”
มีประโยชน์นั้นเป็เื่แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งยังมีประโยชน์อย่างมหาศาลอีกด้วย
เพียงแต่เฉินจิ้งเจียมิอาจบอกเผยฉางชิงได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ได้
นางพับผ้าเช็ดหน้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเก็บไว้ในแขนเสื้อ มองเผยฉางชิงด้วยสีหน้าเ็ากลับไปเช่นกัน
“ท่านไม่ถามหรือว่าข้าจะเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไปทำอย่างไร?” เสียงเฉินจิ้งเจียราบเรียบเช่นกัน เหมือนกับคืนนั้นที่โรงเตี๊ยมที่เจรจากับเผยฉางชิง
นางเอ่ยพลางจิบชาบนโต๊ะ การกระทำทรงสง่า ทุกมุมมองล้วนงดงามน่ามองไปเสียหมด
“ในเมื่อข้าน้อยเผยมอบของให้คุณหนูแล้ว เช่นนั้นจึงยกให้คุณหนูจัดการ คุณหนูจะใช้มันทำสิ่งใด ก็ตามประสงค์คุณหนูขอรับ” เผยฉางชิงตอบเลี่ยงๆ ทำเอาเฉินจิ้งเจียมองความคิดในใจเขาไม่ออก
นางค่อยๆ ช้อนสายตามองเผยฉางชิง “ท่านไม่ถามหรือว่าข้าทำผิดหรือถูก?”
ผิดหรือถูก?
เผยฉางชิงยกยิ้ม “คุณหนูเฉินน่าจะเข้าใจกว่าข้าน้อยเผยถึงจะถูกขอรับ”
เขาตอบ มือเรียวยาวยกถ้วยชาบนโต๊ะ ก้มหน้าจิบเล็กน้อย ท่วงท่าไม่ต่างไปจากคุณชายสกุลผู้ดีที่เฉินจิ้งเจียเคยพบมาแม้แต่น้อย
“ถูกผิดดีชั่วมีสิ่งไหนไม่เปลี่ยนแปลงบ้าง? ต้องดูว่าท่านยืนอยู่จุดไหน หากมองจากมุมของทายาทสายตรง ผู้เป็คุณหนูใหญ่อย่างท่าน เช่นนั้นน้องสาวลูกอี๋เหนียงของท่านย่อมผิดเป็แน่ แต่หากมองจากมุมของนาง คุณหนูใหญ่ย่อมเป็ฝ่ายผิดขอรับ”
เขาพูดจบจึงวางถ้วยชาลง มองดวงตาคู่งามของเฉินจิ้งเจียอย่างตั้งใจ “ใครดีใครเลวนั้น อย่างไรเสียก็ดูว่าใครหัวเราะได้จนถึงตอนสุดท้าย และหนังสือประวัติศาสตร์จะจารึกโดยใครเท่านั้น คุณหนูเฉินคิดว่าข้าน้อยเผยพูดถูกหรือไม่ขอรับ?”
ใครดีใครเลว ต้องดูว่าใครเป็ผู้เขียนประวัติศาสตร์
เฉินจิ้งเจียมองเผยฉางชิงด้วยความตกตะลึง ทั้งที่เป็ลูกครอบครัวชาวนาแท้ๆ แล้วเหตุใดถึงมีสายตาเฉียบแหลมขนาดนี้?
หรือเป็เพราะสายเืฮ่องเต้ที่ไหลเวียนในตัวเขาอย่างนั้นหรือ?
มิอาจปฏิเสธได้ว่าแม้แต่ตัวเฉินจิ้งเจียเองยังไม่มีความคิดเช่นนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของเผยฉางชิง นางก็อดคิดไม่ได้ว่าชาติก่อน ยามนางถูกคว้านท้องพรากลูก ตายไปทั้งที่ไม่เห็นสิ่งใด เช่นนั้นในหน้าประวัติศาสตร์จะเขียนไว้อย่างไร?
โอรสในครรภ์ไท่จื่อเฟยคือตัวอัปมงคลกลับชาติมาเกิด เกรงว่าไท่จื่อเฟยอย่างนางคงกลายเป็คนชั่วช้าสามานย์ เป็บ่อเกิดหายนะที่เรียกตัวอัปมงคลมา เพื่อทำลายชะตากรรมของชาติ
เฉินจิ้งเจียแค่นยิ้ม ตนได้เกิดใหม่อีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าความคิดความเข้าใจจะยังสู้เผยฉางชิง เด็กหนุ่มลูกชาวนาที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาสอบไม่ได้ด้วยซ้ำ
เห็นอยู่ตำตาว่าเฉินจิ้งเจียเพิ่งยกยิ้มราบเรียบ ไฉนเพียงครู่เดียวสีหน้าถึงเปลี่ยนไปกัน? ไฉนจู่ๆ ถึงทำให้เขาปวดใจเช่นนี้ได้เล่า?
“คุณหนูเฉิน...” ขณะเขาคิดจะถามไถ่ ก็ถูกเฉินจิ้งเจียเอ่ยตัดบทไป
“ขอบคุณคุณชายเผย ฟังคำพูดท่านครู่เดียวยังเรียนรู้ได้มากกว่าอ่านตำราสิบปี คำคนโบราณไม่เคยหลอกลวง” เฉินจิ้งเจียพูด สายตามองไปทางเผยฉางชิง รอยยิ้มขมขื่นจางๆ เมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ดวงตาเต็มเปี่ยมด้วยความสดใส ราวกับว่าถือกำเนิดใหม่อย่างไรอย่างนั้น
เห็นนางไม่ยอมพูดไปมากกว่านี้ เผยฉางชิงจึงไม่ถามต่อ หยัดกายยืนก่อนทำความเคารพเฉินจิ้งเจีย “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าน้อยเผยก็ไม่รบกวนคุณหนูแล้วขอรับ”
พูดจบก็หันตัวสาวเท้าออกไปข้างนอกทันที
เฉินอี้เหอที่นั่งในสวนเห็นความเคลื่อนไหวของเผยฉางชิงแล้วก็ลุกขึ้นตาม ขยับไหล่ที่เริ่มแข็ง ข้อความว่าไม่พอใจเขียนติดไว้บนใบหน้าชัดเจน
ไม่รู้ว่ามีอะไรให้คุยนักหนา ถึงได้คุยกันครึ่งค่อนวันขนาดนี้!
“เผยฉางชิง!”
จู่ๆ เฉินจิ้งเจียพลันะโเรียกเขาไว้
“คุณหนูเฉินยังมีอะไรอีกหรือขอรับ?” เผยฉางชิงหันกลับมา มองเด็กสาวด้วยความสงสัย
คนที่ยืนในห้องเผยยิ้มสดใส “เผยฉางชิง ในเมื่อข้ากับท่านหมั้นหมายกันแล้ว คำเรียกขานอย่างคุณหนูเฉินและคุณชายเผยนี้ ดูจะห่างเหินเกินไปหรือไม่?”
เื่นี้เป็ปัญหาด้วยหรือ?
เผยฉางชิงชะงักงัน เขาต้องตอบอันใดเล่า?
“มิสู้ให้ข้าเรียกท่านว่าพี่ฉางชิงดีกว่า แล้วท่านเรียกข้าว่าเจียเอ๋อร์เป็อย่างไร?” เฉินจิ้งเจียยิ้มไม่หุบ ดวงตาใสแจ๋วดั่งลูกกวางกะพริบปริบๆ ราวกับในดวงตามีดวงดาราอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เผยฉางชิงเกือบถูกสายตาคู่นั้นมอมเมาเข้าแล้ว เขาตั้งสติมองเฉินจิ้งเจียล้ำลึก ก่อนเผยยิ้มบางเบา
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าน้อยเผยขอไม่เกรงใจแล้ว”
คนหนึ่งยืนในประตู อีกคนยืนนอกประตู สบตากันและกันอยู่อย่างนี้
ราวกับว่ากำแพงสกัดกั้นระหว่างทั้งสองที่เคยมี พลันถูกพังทลายจนสิ้น ไม่เพียงสรรพนามเรียกขาน แต่อย่างอื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
เฉินอี้เหอในสวนเห็นเผยฉางชิงเพิ่งออกมา แต่ไฉนถึงยังยืนนิ่งหน้าประตู จึงเริ่มร้อนรนขึ้นทันใด
“มิใช่ว่าคุยกันจบแล้วหรือ? ไฉนยังรั้งรอไม่ยอมไปอีก?” ท้ายที่สุดเฉินอี้เหอก็เอ่ยปากขึ้นด้วยความไม่พอใจอยู่ดี
หนานจือที่อยู่ข้างๆ มองตามไปยังหน้าประตูเช่นกัน “คุยกันเื่ภูมิหลังครอบครัวแล้ว คุณหนูกับว่าที่ลูกเขยนี้นับว่าเข้ากันได้ดีทีเดียว”
จำต้องบอกว่าเผยฉางชิงและเฉินจิ้งเจียรูปโฉมงดงามยิ่ง การที่ทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้น นับว่าเป็ทัศนียภาพที่งดงามที่สุด
ทว่าหนานจือยังไม่ทันมองจนหนำใจ ร่างใครคนหนึ่งพลันสอดแทรกเข้ามา ทำลายภาพวาดเบื้องหน้าผืนนี้ไม่มีชิ้นดี
เฉินอี้เหอเดินเข้าไปถึงประตู มองเฉินจิ้งเจียครู่หนึ่ง จากนั้นมองเผยฉางชิง ก่อนเอ่ยปากถาม “พวกเ้าคุยกันเสร็จแล้วหรือ?”
เฉินจิ้งเจียพยักหน้า “อืม คุยเสร็จแล้วเ้าค่ะ”
“คุยเสร็จแล้วก็แยกย้าย ไฉนยังยืนนิ่งอยู่ตรงนี้อีก?” เห็นสายตาเผยฉางชิงที่มองเฉินจิ้งเจียแล้ว เฉินอี้เหอก็หงุดหงิดเต็มทน
ทว่าทั้งสองกลับไม่มีใครเห็นความหงุดหงิดนี้สักคน
“เช่นนั้นพี่ฉางชิงกลับก่อนเถิด” เฉินจิ้งเจียพูด
เผยฉางชิงส่งเสียงอืมรับในลำคอ “ได้ เจียเอ๋อร์”
ชั่ววินาทีที่เฉินอี้เหอได้ยินคำว่า ‘พี่ฉางชิง’ และ ‘เจียเอ๋อร์’ ก็สะท้านค้างแน่นิ่งไปในบัดดล
เขามองฝั่งซ้าย ก่อนมองฝั่งขวา ราวกับว่าตนพลาดอะไรไปหลายสิ่งเหลือเกิน หากแต่ก็มิกล้าเอ่ยถาม
เขาเกาหัวยิกๆ พยายามคิดแล้วคิดอีก ก่อนเดินตามรอยเท้าเผยฉางชิงออกนอกเรือนพักไป
