ยามเช้าที่สดใส หลี่อีเหรินลืมตาขึ้นช้าๆ ข้างเตียงยังคงมีนางกำนัลคอยเฝ้า
สักพักนางก็รู้สึกมึนงงจึงหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นสตรีสองคนในเครื่องแต่งกายแบบนางกำนัลในวังหลวง ดูท่าแล้วอายุคงยังไม่เกินสิบสามปี ร่างของเด็กสาวในชุดกระโปรงหลัวกำลังนั่งคุกเข่ามองมาทางนาง
หลี่อีเหรินในที่สุดก็ตื่นเต็มตา
นางไม่ใช่คนชอบแอบอู้ แม้ว่าตอนนี้นางจะเพียงห้าขวบเท่านั้น
เมื่อลุกขึ้นจากเตียงแล้ว นางกำนัลทั้งสองก็รีบมาช่วยนางล้างหน้าหวีผม
เมื่อในห้องเริ่มมีเสียงการเคลื่อนไหว นอกห้องจึงเริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน คนมากมายเดินสวนกันไปมา
องค์หญิงน้อยพลันปวดเศียรขึ้นมา นางเคยบอกไว้แล้วว่าให้คนเหล่านี้เปลี่ยนมาสวมรองเท้าผ้าแทน ยามเดินจะได้ไม่มีเสียงอึกทึกเช่นนี้
ยามคนเหล่านี้เห็นรองเท้าที่นางประทานให้ ก็พากันซาบซึ้งจนก้มลงไปหมอบราบกับพื้น ทว่าไม่ทันไรผ่านไปเพียงวันที่สองเท่านั้น คนเหล่านี้ก็กลับมาสวมรองเท้าที่เคยสวม
เล่าลือกันว่าพวกเขาล้วนเอารองเท้าที่นางประทานให้ไปซ่อนเสียแล้ว สรุปง่ายๆ ก็คือไม่ยอมสวมกันนั่นเอง
เมื่อก่อนนางเคยเป็โรคหูอื้อ จึงไม่ชอบเสียงดังนัก โดยเฉพาะยามที่กำลังเงียบสงบ ดังนั้นยามที่ต้องลุกขึ้นจากเตียง อารมณ์จึงฉุนเฉียวง่ายไปสักหน่อย
เหล่านางกำนัลก็ล้วนเข้าใจอารมณ์ขององค์หญิงน้อยดี ยามเช้าจึงค่อนข้างระมัดระวังกันเป็พิเศษ หากไม่จำเป็ก็ห้ามมีอะไรผิดพลาดเป็อันขาด
เมื่อช่วยองค์หญิงน้อยล้างหน้าเสร็จแล้ว นางกำนัลปี้หลัวจึงถือชาดจากแคว้นซีที่เพิ่งส่งมาที่วังหลวงเข้ามาในห้อง จากนั้นก็เปิดฝาออก สีชมพูอ่อนๆ ของมันส่งกลิ่นหอมสดชื่นออกมาทันใด
ท้องฟ้าในยามวสันตฤดูเป็สีฟ้าสดใส ทว่าอากาศก็ค่อนข้างแห้งเช่นกัน
ปี้หลัวอยากจะแต้มชาดให้องค์หญิงสักหน่อย ผิวพรรณขององค์หญิงทั้งขาวและอ่อนนุ่ม ย่อมไม่อาจทนความแห้งผากได้แน่
นางจึงบรรจงตักชาดในตลับขึ้นมาก้อนหนึ่ง จากนั้นใช้มือที่เพิ่งล้างสะอาดของนวดชาดก้อนเล็กนั้นให้ละลาย แล้วจึงเตรียมแต้มลงบนแก้มขององค์หญิงน้อย ทว่ามือของนางนั้นกลับโดนองค์หญิงน้อยปัดออก
“ข้าไม่อยากใช้ของไร้สาระพวกนี้ ใครจะรู้ว่ามันใส่อะไรลงไปบ้าง”
ปี้หลัวเมื่อเห็นองค์หญิงน้อยขมวดคิ้ว ทั้งยังเกิดพิโรธขึ้นมาก็รีบคุกเข่าลงทันที
หลี่อีเหรินเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งขมวดคิ้วของตนหนักขึ้น
“ข้าเคยบอกพวกเ้าแล้วว่าอย่าคุกเข่าส่งเดช”
เหล่าขันทีและนางกำนัลเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พากันคุกเข่าลงอย่างระแวดระวัง
เมื่อก่อนองค์หญิงน้อยก็เคยตรัสไว้เช่นนี้ ทว่ามีนางกำนัลที่แสนไร้เดียงสานางหนึ่งไม่คุกเข่าตามที่พระองค์สั่งไว้จริงๆ ผลลัพธ์คือวันต่อมานางก็ถูกฮองเฮาลงโทษปะาเสียแล้ว องค์หญิงน้อยเมื่อรู้เข้าก็เศร้าใจอยู่หนึ่งวัน วันต่อมาก็เบิกบานเช่นยามปกติ
บัดนี้เมื่อได้ยินองค์หญิงน้อยตรัสเช่นนี้ ทุกคนก็ต้องระมัดระวังไม่กล้าทำตามพระประสงค์ขององค์หญิง
หลี่อีเหรินเมื่อเห็นคนเหล่านี้เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ก็อยากจะอาละวาดขึ้นมา
ทว่าแม้องค์หญิงน้อยจะปฏิเสธชาดของปี้หลัว แต่นางยังคงยินยอมให้ปี้หลัวหวีผมให้อยู่ดี
ปี้หลัวนั้นชำนาญนัก มือไม้ก็จัดการทุกสิ่งอย่างคล่องแคล่ว เส้นผมขององค์หญิงน้อยยาวจรดบั้นเอว ทั้งยังเรียงตัวสลวยเป็มันเงา
บนหน้าผากก็ถักเปียเล็กๆ ห้อยลงมา อีกเส้นก็พันรอบศีรษะ ผิวพรรณขาวเนียน ผนวกกับจอนผมแบบหญิงงาม รอบๆ ยังมีเปียเล็กๆ ้าประดับด้วยจี้หยกสีฟ้าชิ้นเล็ก มองแล้วช่างงดงามเหนือสามัญ
กระโปรงขององค์หญิงน้อยก็ตัดเย็บพิเศษ
วันนี้เป็ผ้าสีดำเข้มปักดิ้นท้องบริสุทธิ์ ยามยืนนิ่งๆ จึงทำให้ดูน่าเกรงขามนัก ทว่ายามเคลื่อนไหวดิ้นทองเ่าั้ก็เกิดประกาย ดูหรูหรานัก
หลี่อีเหรินโปรดปรานกระโปรงตัวนี้มาก ทว่าก็รู้สึกว่ามันออกจะหนักไปสักหน่อย
ทั้งยังใกล้จะเข้าฤดูเหมันต์แล้ว กระโปรงตัวนี้กลับไม่ให้ความอบอุ่นเลยสักนิด ยิ่งทำให้รู้สึกหนาวขึ้นด้วยซ้ำ
เสด็จแม่ตรัสว่า วันนี้จะให้นางเลือกผ้าไว้ตัดชุดสำหรับฤดูเหมันต์
นางรู้สึกหน่ายเหนื่อยกับเื่เช่นนี้นัก
วังหลวงแห่งนี้ช่างน่าเบื่อนัก สตรีกลุ่มหนึ่งเลือกผ้าแต่ละครั้งก็ยังต้องสู้กันแทบตาย ทว่าเสด็จแม่ทรงโปรดปรานยิ่ง นางจึงได้แต่ให้ความร่วมมือ ถึงอย่างไรนางก็เป็พระธิดาที่เสด็จแม่ทรงคลอดออกมา
องค์หญิงน้อยหลี่อีเหรินเมื่อแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางไปทักทายเสด็จแม่ของตน
วังหลวงช่างใหญ่โต
ตำหนักของนางและเสด็จแม่นั้นนับว่าไม่ไกลกัน แต่แม้จะกล่าวเช่นนั้น ความจริงแล้วระยะทางก็ไม่ได้ใกล้นัก
เพราะนางคือองค์หญิงองค์แรกของแคว้นเชิน นางจึงมีตำหนักเป็ของตัวเองแล้ว แต่แท้จริงแล้วนางชอบตำหนักที่มีต้นอู๋ถงที่เหี่ยวเฉาแห่งนั้น ทว่าเสด็จแม่กล่าวว่ามันคือสถานที่อัปมงคล จึงให้นางเลือกตำหนักอื่น ดังนั้นจากตำหนักของนางไปจนถึงตำหนักของเสด็จแม่ จึงต้องเดินผ่านตำหนักใหญ่โตแสนวิจิตรที่ปลูกต้นอู๋ถงต้นมหึมาที่เหี่ยวเฉาตายไปแล้วต้นหนึ่งอยู่
หลี่อีเหรินรู้ว่าในตำหนักนั้นมีใครอยู่
คนในตำหนักนั้นคือฮองเฮาองค์ก่อน
ว่ากันว่าตระกูลของอดีตฮองเฮาสมรู้ร่วมคิดกับข้าศึกทรยศแคว้นจึงได้ถูกกวาดล้างจนสิ้น ทว่าเสด็จพ่อยังคำนึงถึงความรักระหว่างตนและอดีตฮองเฮาในวันวานจึงได้ไว้ชีวิตนาง
ประตูตำหนักแห่งนี้จึงปิดอยู่เสมอ ทั้งยังไม่เคยส่งเสียงอันใดให้ได้ยิน ทว่าหลี่อีเหรินก็ยังมั่นใจว่าคนข้างในยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน
นางเกลียดชายที่มีสามภรรยาสี่อนุเป็ที่สุด ทั้งยังไม่อาจยอมรับได้ว่าก่อนที่จะมีเสด็จแม่ เสด็จพ่อก็เคยมีสตรีนางอื่นมาก่อน
ทว่าเสด็จแม่ก็ไม่ได้สนใจอันใด ทั้งยังเฝ้าย้ำให้นางทำใจยอมรับเื่นี้ให้ได้ ยิ่งกว่านั้นเสด็จพ่อยังมีสตรีอีกมากมาย นางสามารถทำใจยอมรับกับเื่ราวมากมายได้ แต่กับเื่นี้เพียงเื่เดียวที่นางไม่อาจทำได้
ถึงอย่างไรก็ตามในอนาคตนางไม่มีทางยอมรับเื่นี้
ล่วงเข้าสู่ปลายวสันตฤดูแล้ว
ต้นอู๋ถงเริ่มไม่มีใบั้แ่ฤดูใบไม้ผลิ ยามนี้ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้วแน่นอนว่าย่อมไม่มีเช่นกัน
องค์หญิงน้อยพลันรู้สึกเสียดายขึ้นมา หากว่าต้นอู๋ถงมีใบ ยามถึงฤดูใบไม้ร่วงใบของมันก็จะต้องร่วงโรย หากได้เหยียบย่ำลงไปบนถนนที่ปูด้วยใบอู๋ถงจะต้องงดงามไม่หยอก
ทว่านางก็จำต้องส่ายหัวไล่ความคิดนั้นไป
ในวังหลวงมีทั้งขันทีและนางกำนัลมากมาย คนเหล่านี้ไม่มีทางจะยอมให้นางได้เดินเหยียบใบอู๋ถงอย่างแน่นอน
“ลูกรัก มากินข้าวเร็วเข้า อย่ามัวแต่เล่นซน หากยังเล่นซนแม่จะตีมือเ้าเสีย” เสียงเข้มงวดของสตรีดังแว่วมาจากหลังกำแพง
ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียง “แปะ แปะ แปะ” ดังตามมา
อีเหรินรู้ว่าหญิงสติวิปลาสหลังกำแพงคงจะกำลังตีฝ่ามือของลูกน้อยของตนอยู่ เพียงแต่ลูกของนางนั้นไม่ใช่คน แต่เป็หุ่นกระบอกตัวหนึ่ง
เมื่อคิดถึงภาพสตรีนางหนึ่งกำลังใช้ช้อนตีหุ่นกระบอก ภาพนั้นช่าง...
ครั้งที่แล้วที่นางนึกซนอยากจะแอบเข้าไปดูด้านใน จึงได้ใช่เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ แสร้งว่าเป็ลมอยู่หน้าตำหนักนี้
ภาพที่เห็นคือภาพที่นางคิดอยู่ในตอนนี้ ภาพนั้นช่างทำให้นางในัก โดยเฉพาะเ้าหุ่นกระบอกตัวนั้น แม้จะมีดวงตาแต่กลับไร้แววตา สตรีสติวิปลาสกอดหุ่นกระบอกไว้แนบอก ปฏิบัติกับหุ่นตัวนั้นราวกับลูกสาวแท้ๆ ทั้งยังดูแลมันเป็อย่างดี
หลี่อีเหรินออกเดินต่อ
ปกติแล้วนางมักจะนั่งเกี้ยว ทว่าวันนี้ยังเช้านักจึงถือโอกาสเดินไปเพื่อเป็การยืดเส้นยืดสาย ดังนั้นจึงได้ยืนหยัดว่าจะเดินต่อ ทั้งด้วยเพราะเหตุนี้เช่นกัน นางจึงได้รับการยกย่องว่าเป็ยอดกตัญญู
แต่ก็เอาเถิด คนพวกนี้ดีแต่กล่าวไปเรื่อย
ในที่สุดก็ถึงตำหนักจ้าวเหอ ทันใดเด็กหญิงก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา เสด็จแม่นับวันก็ยิ่งเข้มงวดกับนาง
“ถวายบังคมเสด็จแม่เพคะ” หลี่อีเหรินมองเสด็จแม่ของตนที่นั่งอยู่ลำพังบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ท่าทางเต็มไปด้วยความเคร่งครัดในมารยาท
เมื่อเสด็จแม่ประทานอนุญาตให้นางลุกขึ้น นางก็ค่อยๆ ยืดกายขึ้นช้าๆ จากนั้นจึงมานั่งอยู่ข้างกายเสด็จแม่อย่างเชื่องช้า
“เมื่อคืนคงจะหลับสบายดีกระมัง เพียงแต่อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว จงระวังอย่าให้ร่างกายป่วยไข้”ฮองเฮาจ้าวค่อยๆ พินิจใบหน้าของพระธิดา แม้จะเห็นว่าสีหน้านางดูไม่เลว แต่ก็ชินกับการกำชับนางเช่นนี้เสียแล้ว
“ลูกทราบแล้วเ้าค่ะ” องค์หญิงน้อยฟังเสด็จแม่ตรัสอยู่ทุกวันจนมีภูมิต้านทานเสียแล้ว
“เสด็จแม่ วันนี้ลูกอยู่เป็เพื่อนเสด็จแม่เสวยนะเพคะ” ในเมื่อเสด็จพ่อไม่อยู่ นางก็ได้แต่รับหน้าที่นี้แทน
ทว่าวันนี้นางกลับสังเกตเห็นว่าฉลองพระองค์ของเสด็จแม่ดูประณีตกว่าทุกวัน หน้าผากยังทาแป้งขาวไว้เรียบร้อย ทั้งที่นางก็เคยเตือนแล้วว่าอย่าได้ใช้แป้งตะกั่วพวกนั้นอีก นางเองก็จนปัญญา ทำได้เพียงค่อยๆเกลี้ยกล่อมไป ด้วยนางนั้นยังเป็เพียงเด็กน้อย ยังทำอะไรไม่ได้มากนัก สิ่งที่นางรู้มาก็มีเพียงเท่านี้
น่าจะเพราะอีกประเดี๋ยวจะต้องเลือกผ้าผืนใหม่แล้ว คงอีกไม่นานเสด็จพ่อของนางก็คงจะเสด็จมา
ถ้าหากอ้างอิงในเื่ความงามแล้ว นางรู้สึกว่าเสด็จแม่ของนางนับว่าเป็สตรีที่งดงามอย่างถึงที่สุดนางหนึ่ง ทว่าเสด็จพ่อผู้แสนจะหลายใจของนางนั้น แม้จะกล่าวว่าความงามมีหลายรูปแบบ แต่สตรีของเสด็จพ่อกลับไม่มีใครสักคนที่ดูขี้ริ้ว
มองแล้วก็รู้สึกขวางตานัก
หลังจากมื้ออาหารที่แสนจะคร่ำเคร่งผ่านพ้นไป เหล่าสตรีในตำหนักต่างๆ ก็พากันมาถวายบังคมฮองเฮา
ฮองเฮาจึงให้นางกำนัลนำผ้าที่เพิ่งจะได้รับบรรณาการออกมา จากนั้นจึงให้ทุกคนลองเลือกดู
ในตอนนั้นเองพระสนมฉีที่ฮ่องเต้กำลังโปรดปรานที่สุดก็ยังไม่กล้าออกมาเลือกผ้า นางยังคงรู้มารยาท และหลีกทางให้องค์หญิงได้เป็คนเลือกก่อน
หลี่อีเหรินเคยชินแล้วที่สิ่งที่ดีที่สุดในวังแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ต้องตกเป็ของนาง แต่นั่นก็เพราะว่าทุกคนไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อของนางหลายใจนัก ก็คงนับได้ว่าเป็ผลกรรมที่ทำให้เหล่าสตรีในวังหลวงแห่งนี้มีบุตรยาก จึงได้มีนางเพียงแค่คนเดียว
เสด็จแม่กล่าวว่าก่อนที่นางจะเกิดยังมีพระธิดาอีกพระองค์หนึ่ง แต่ก็จากไปั้แ่เพิ่งจะประสูติ ย่อมต้องเป็เพราะความหลายใจของเสด็จพ่ออย่างแน่นอนจึงได้เกิดโรคเช่นนี้ขึ้น
หลี่อีเหรินเองก็ไม่ได้ปฏิเสธพระสนมฉี เพียงเดินไปเลือกอย่างไม่ยี่หระอันใด
ฮองเฮายิ้มน้อยๆ แล้วเหลือบมองพระสนมฉีคราหนึ่ง
นางเดินหมากเก่งแล้วอย่างไร สามารถเดินได้ทั้งชาติหรือ เื่นี้ก็เป็แค่เื่น่าขันเื่หนึ่งเท่านั้น
จากนั้นสายตาคู่นั้นจึงหันไปจับจ้องที่พระธิดาของตนอย่างภาคภูมิ
องค์หญิงเพียงองค์เดียวของแคว้นเชิน
เพื่อความสะดวกในการเลือกผ้า ผ้าเ่าั้จึงถูกนำมาจัดเรียงเป็พับๆ ทุกพับมีโคมไฟจุดสว่างไว้้า จึงทำให้ผ้าเหล่านี้ดูงดงามอย่างน่าประหลาด
องค์หญิงน้อยไม่โปรดผ้าเหล่านี้นัก สืบเนื่องจากต้องนำผ้าเหล่านี้มาตัดเป็ชุดฤดูหนาว เนื้อผ้าจึงทั้งหนาและหนัก
นางเดินวนรอบหนึ่ง จึงถูกใจผ้าพับหนึ่งตรงมุมห้องขึ้นมา ผ้าผืนนั้นดูเหมือนว่าจะทอขึ้นมาจากขนแกะ เนื้อััทั้งนุ่มและบางเบา
หลี่อีเหรินพลันรู้สึกใ รู้สึกว่าไม่อาจดูแคลนคนโบราณเหล่านี้ได้จริงๆ
“เสด็จแม่ ลูกเลือกผ้าพับนี้เพคะ”
ฮองเฮาจ้าวมองตำแหน่งไกลๆ ที่ผ้าพับนั้นวางอยู่ ดูก็รู้ว่าผ้าผืนนี้ไม่ใช่สิ่งที่พ่อค้าหลวงเป็คนถวายมา คาดว่าคงจะเป็พ่อค้าที่เพิ่งทำการค้าในเส้นทางสายใหม่ ทว่าไม่ว่าจะเป็ใครก็ไม่สำคัญ ขอเพียงพระธิดาของนางชอบก็ย่อมดีทั้งสิ้น
“อนุญาต” ฮองเฮาจ้าวตอบขึ้นพร้อมรอยยิ้ม