“ขอบคุณ แต่ไม่ต้อง คืนนี้ฉันมีนัดกับคนอื่นแล้ว” เจาเยี่ยเอ่ยเสียงเรียบ
“มีนัดกับคนอื่นแล้ว? ” กู้หลานอันขมวดคิ้วถามน้ำเสียงไม่ดี “ใครกัน? ”
“เขา” เจาเยี่ยชี้ไปที่ด้านหลังกู้หลานอันกู้หลานอันหันขวับ มองเห็นหลินเซวียนที่ถือของเต็มไม้เต็มมือมองเขาด้วยท่าทีไร้ความรู้สึก
“กู้หลานอัน? ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่? ” เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่กับเจาเยี่ยหันมามองสายตาของหลินเซวียนเปลี่ยนเป็ดุเดือดชั่วพริบตา
“ฉันเป็แฟนของเจาเยี่ยก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วยสิ คุณนั่นแหละทำไมถึงมาอยู่ที่นี่? ” กู้หลานอันเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมแต่อย่างใด
“แฟน แฟนบ้าบออะไร กู้หลานอัน ถ้านายยังกล้าพูดแบบนี้อีก เชื่อหรือเปล่าว่าฉันจะเล่นงานนายให้ตายตรงนี้เลย? ” หลินเซวียนโมโหจนพ่นคำพูดรุนแรงออกมา
“ฉันเป็แฟนของเจาเยี่ย พูดแล้วจะทำไม? นายมีปัญญาก็เล่นฉันให้ตายตรงนี้เลยสิ? ” กู้หลานอันเงยหน้ามองหลินเซวียนท่าทางอวดดีสุดๆ
“นาย…”
“พอได้แล้ว อย่าทะเลาะกัน” เจาเยี่ยมองดูทั้งสองคนถอนหายใจแล้วเอ่ย “เขาแค่ใช้คำพูดไม่ถูกก็แค่นั้นอย่าใส่ใจขนาดนั้นเลย เขาเป็เพื่อนบ้านฉันเอง”
“เพื่อนบ้าน? ” หลินเซวียนได้ยินก็ยิ่งโกรธ “เมื่อคืนคนที่แข่งประมูลกับฉันก็คือนายงั้นเหรอ? ”
“ใช่ฉันเอง แล้วมันเป็ยังไง? ไม่พอใจเหรอ? ตัวเองไม่อยากออกราคาเอง จะโทษใครได้? ” กู้หลานอันกรอกตาขึ้นบน น้ำเสียงค่อนข้างเศร้าใจ แล้วเอ่ยว่า “เมื่อคืนฉันยังนึกอยู่เลยว่าราคาของห้องนี้จะขึ้นไปถึงเท่าไหร่? เพิ่มมาแค่สองแสนนายก็หยุดแล้ว หลินเซวียน ที่แท้ในสายตาของนายเจาเยี่ยมีราคาถูกแค่นั้นเองเหรอ? ”
“ฉัน...” หลินเซวียนถูกจี้จนพูดไม่ออกมองดูเจาเยี่ยแล้วอธิบาย “เจาเยี่ยนายอย่าฟังเขาพูดพล่ามไปเรื่อยฉันแค่รู้สึกว่าห้องพักอย่างมากสุดก็ควรอยู่ที่ราคาแค่นั้นไม่มีความจำเป็ต้องสิ้นเปลืองกับเื่แบบนี้”
“สิ้นเปลือง? จ่ายบนตัวของเจาเยี่ยยังเรียก...” กู้หลานอันกำลังจะแก้ไขคำที่เขาใช้ แต่ถูกเจาเยี่ยขัดขึ้นเสียก่อน
“พอได้แล้ว หยุดทะเลาะกันเสียที” เจาเยี่ยมองดูหลินเซวียนแล้วมองดูกู้หลานอันแล้วเอ่ย “นอกจากเื่ที่จะชวนฉันทานข้าวยังมีเื่อื่นอีกหรือเปล่า? ”
“อืม” กู้หลานอันตอบรับแต่พอนึกดูก็คิดข้ออ้างไม่ทันจึงได้แต่ส่ายหัวแล้วเอ่ย “ไม่มีแล้ว”
“ไม่มีก็ไปกินข้าวเถอะ สายแล้ว” เจาเยี่ยพูด
“อืม” กู้หลานอันอยากร้องไห้โดยไม่มีน้ำตาหันหลังท่าทางคับอกคับใจ แล้วก็หันขวับกลับมาพร้อมรอยยิ้มร่า เจาเยี่ยยิ้มมุมปากเล็กน้อยเพราะเคยชินกับเขาที่เป็พวกบุคลิกกลับไปกลับมาขึ้นๆ ลง ๆ รู้ว่าเขาคงมีความคิดแผลง ๆ อีกแล้ว เป็ไปตามคาด เมื่อได้ยินเขาเอ่ย “เจาเยี่ย ฉันเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ยังแปลกที่แปลกทางไม่รู้จักใครนายพักอยู่ที่นี่มาตั้งนาน ในฐานะเ้าบ้านควรจะเชิญฉันทานข้าวสักมื้อนะ”
“ฝันไปเถอะ! คืนนี้ฉันเป็...”
“ได้” หลินเซวียนพูดได้เพียงครึ่งเดียวเจาเยี่ยก็ตอบตกลงไปแล้ว เขาได้แต่มองเจาเยี่ยด้วยท่าทีไม่เต็มใจเจาเยี่ยไม่ได้มองเขา เพียงแต่เอ่ยกับกู้หลานอันต่อ “นายกลับไปเถอะกินข้าวเมื่อไรฉันจะมาเรียกนาย”
“ทำไมต้องกลับไปด้วย? กับข้าวที่เขาเอามาก็ปรุงเสร็จหมดแล้วแค่เปิดมาวางก็กินได้แล้ว ฉันรออยู่ตรงนี้ไม่ได้หรือไง? ”พูดจบ กลัวเจาเยี่ยไม่เห็นด้วย รีบปิดปาก “ฉันไม่พูดแล้ว”
เจาเยี่ยมองเขาปราดหนึ่ง นิ้วมือบีบถุงข้าวของแน่น เม้มปากแน่นเอ่ยถาม “นายไม่อยากมากินข้าวแล้วเหรอ? ”
“รู้แล้ว ฉันไปก็ได้ โอเคหรือยัง? ” กู้หลานอันได้ยินเช่นนี้ จึงจำต้องอ่อนข้อก่อนจะจากไปไม่วายกำชับกับเขาว่า “งั้นถ้านายกินข้าวเมื่อไรก็มาเรียกฉันนะอย่าลืมนะ”
“รู้แล้ว”
เมื่อได้ยินเจาเยี่ยรับปากเป็มั่นเป็เหมาะ กู้หลานอันจึงรุดหน้าเข้าห้องพอเข้าห้องก็ล้มตัวลงบนโซฟา หยิบหมอนมาต่อย “เจาเยี่ยซื่อบื้อรอวันไหนพวกเราได้อยู่ด้วยกันฉันต้องให้นายชดเชยความรู้สึกคับอกคับใจที่ฉันได้รับวันนี้ (กระนั้นวันหนึ่งที่เจาเยี่ยกับกู้หลานอันได้อยู่ด้วยกัน กู้หลานอัน : เจาเยี่ย จำได้ว่าแรก ๆ ตอนที่ฉันย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ฉันชวนฉันกินข้าวนายไม่ยอมให้ฉันเข้าไปรอในห้อง ทำให้ฉันเสียใจที่ต้องทนดูนายอยู่กับศัตรูหัวใจนายพูดมา ว่าจะชดเชยฉันยังไงดี ? เจาเยี่ย: ถ้าอย่างนั้นอีกหน่อยก็ลดลงมาเป็หกครั้งต่อคืน ลดการทำงานไปหนึ่งครั้งกู้หลานอัน: …)”
“เจาเยี่ย ทำไมนายถึงรับปากให้กู้หลานอันมากินข้าวด้วยล่ะ? นายน่าจะรู้ว่าเขาคิดไม่ซื่อกับนายใช่ไหม? ” เข้าห้องนั่งลงบนโซฟา หลินเซวียนมองดูเจาเยี่ยที่เดินไปทางตู้เย็นไม่พูดไม่จา
“เขาเพิ่งย้ายมาที่นี่ อีกหน่อยก็ต้องเป็เพื่อนบ้านกันช้าเร็วต้องเชิญเขาอยู่ดี” เจาเยี่ยพูดด้วยถ้อยคำเรียบง่ายแต่ไม่อาจปฏิเสธได้
“งั้นก็ได้ เชิญตอนนี้ก็ดี อีกหน่อยฉันจะได้ไม่เปิดช่องให้เขาได้ฉวยโอกาส” หลินเซวียนเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ พูดจบก็เอ่ยกับเจาเยี่ยด้วยท่าทีตักเตือน “เพียงแต่ว่าเจาเยี่ย นายอย่าลืมนะนายตอบรับอันนาแล้วว่าจะอยู่ให้ห่างจากกู้หลานอันไม่ให้เขามีความเป็ไปได้ที่จะรักนาย” (อันนา: อันที่จริงตอนนั้นฉันเพียงแต่กำลังโมโหจนขึ้นสมอง)
“ไม่ลืม” เจาเยี่ยที่กำลังล้วงกล่องนมออกจากถุงชะงักไปชั่วครู่ไม่นานนักก็หยิบกล่องนมเข้าตู้เย็นต่อ “เขาเป็คนเข้าใกล้ฉันเองอีกอย่าง ฉันไม่ใช่เขา ไปควบคุมตัวเขาไม่ได้หรอก”
“งั้นความหมายของนายก็คือนายกำลังบอกว่าชอบเขางั้นเหรอ? ” หลินเซวียนถูกกระตุ้นจนลุกขึ้นยืน
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ชอบเขา” เจาเยี่ยลังเลอยู่เสี้ยววินาทีแล้วตอบคำถามเขา
“งั้นก็ดี” หลินเซวียนถอนหายใจนึกถึงเื่ที่ก่อนหน้านี้ที่ตัวเองหาข้อมูลเื่ราวของกู้หลานอันแล้วเล่าให้เจาเยี่ยฟัง “เจาเยี่ยฉันจะบอกนายให้ว่ากู้หลานอันน่ะมีคู่หมั้นคู่หมายมาั้แ่เด็กแล้วหากนายชอบเขาก็มีแต่จะถูกทอดทิ้งเปล่า ๆ ”
“อืม” เจาเยี่ยตอบรับคำเดียวแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก ไร้ซึ่งคำพูดไปชั่วขณะ หลินเซวียนมองดูเจาเยี่ยที่สีหน้าไร้ความรู้สึกหยิบกล่องนมวางอยู่ซ้ำๆ ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วยิ้มแย้มเอ่ยถามเจาเยี่ยว่า “เจาเยี่ยนายซื้อนมมาเยอะแยะขนาดนั้นทำไม? นายไม่ชอบดื่มนมไม่ใช่เหรอ? ”
“อืม” เจาเยี่ยมองดูนมเต็มตู้เย็นแล้วยิ้มปิดประตูตู้เย็น แล้วพับเก็บถุงที่ใส่นมมา โยนมันลงถังขยะมองดูหลินเซวียนแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “่นี้คงต้องเลี้ยงแมวสักตัวแล้ว”
หลินเซวียนตะลึงกับท่าทีที่แปลกไปจากปกติของเจาเยี่ย จ้องมองเจาเยี่ยที่ใบหน้าอ่อนโยนแถมมีเสน่ห์ด้วยท่าทีตกตะลึงแล้วเอ่ยถามว่า “ทำไมจู่ ๆ นึกอยากจะเลี้ยงแมว? ”
“เพราะว่า่นี้มักจะเห็นแมวตัวหนึ่งมาเพ่นพ่านแถวนี้” เจาเยี่ยหิ้วกับข้าวที่หลินเซวียนซื้อมา จัดไปพลาง พูดไปพลาง
“แมว? แถวนี้มีแมวด้วยเหรอ? ” หลินเซวียนไม่เข้าใจเขามาที่นี่ตั้งหลายครั้งไม่ยักกะรู้ว่าที่นี่มีแมวด้วย “มันเป็แมวแบบไหนเหรอ? ”
“อืม” เจาเยี่ยคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ย “หน้าตาดูน่ารัก สีเทา เป็แมวหูสั้น”
“อืม ดูท่าจะไม่เลว แล้วมันก้าวร้าวหรือเปล่า? ” หลินเซวียนเอ่ยถามอีก
“มีมั้ง” เจาเยี่ยยิ้มร่าอีกครั้ง “มีบางครั้งที่ดุบ้าง แต่ว่าต่อหน้าฉันกลับเชื่อฟังอย่างว่าง่ายเพียงแต่จะเป็โรคจิตเภทอยู่บ้าง”
“โรคจิตเภท!” หลินเซวียนตกตะลึงเดินไปหน้าเจาเยี่ยแล้วถาม “แมวตัวนี้มันเป็พวกแปลกประหลาดเหรอ? ยังเป็โรคจิตเภทด้วย!!!”
“คงใช่มั้ง” เจาเยี่ยผงกหัวและเอ่ยกับหลินเซวียนขณะเดินไปหยิบตะเกียบในห้องครัวจากนั้นก็ออกไปเรียกกู้หลานอัน
มองเห็นเจาเยี่ยเดินออกไป หลินเซวียนที่นั่งบนโซฟาอย่างกระวนกระวายใจใช้มือปิดหน้าเจาเยี่ยยิ้มเป็แล้ว เขาควรจะดีใจสิ เพียงแต่ว่าท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันกลับทำให้เขารู้สึกว่าช่องว่างระหว่างพวกเขายิ่งห่างออกไป