อันเจิงไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปหลังจากล้มเฟิงเซี่ยวซือได้ ก็เดินตรงไปหาเฉินโจวทันที “การประลองยกที่สาม อันเจิงจากนิกายเบิก์ขอท้าประลองกับเ้า!”
เดิมทีเฉินโจวยังรู้สึกผิดหวังคิดว่าเป้าหมายแรกที่ตนตั้งเอาไว้ต่ำเกินไปเขานึกว่าอันเจิงจะแข็งแกร่งมากพอและสามารถเป็คู่ต่อสู้ของตนได้แต่หลังจากที่เจินจวงปี้พิสูจน์ว่าอันเจิงยังไม่ได้เข้าสู่ระดับการบ่มเพาะนั้นในใจของเขาก็ผิดหวังจนถึงที่สุด มันคือความอัปยศอย่างยิ่งที่มีคู่แข่งอ่อนแอ แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เป็อยู่ตอนนี้ช่างแตกต่างกับสิ่งที่คิดไว้มากดังนั้นวินาทีที่อันเจิงเข้ามาหา ความตื่นเต้นก็ได้หวนกลับมาอีกครั้ง
“สมใจข้ายิ่งนัก!”เฉินโจวะโออกมาหนึ่งประโยคพร้อมกับพุ่งออกไป
อันเจิงไม่มั่นใจว่าเฉินโจวแข็งแกร่งมากเพียงใด ดังนั้นเมื่อเริ่มลงมือเขาจึงสู้อย่างเต็มที่แสดงความได้เปรียบด้านความเร็วออกมาอย่างยอดเยี่ยม ทุกคืนวันที่เขาคอยฝึกฝนบ่มเพาะกายเนื้อก็เพื่อรับมือต่อสถานการณ์เช่นในวันนี้โดยเฉพาะ เขาไม่อาจปล่อยให้ตู้โซ่วโซ่วมาเผชิญกับอันตรายเช่นนี้ได้ถึงแม้ว่าตู้โซ่วโซ่วจะเข้าสู่ระดับการบ่มเพาะแล้ว แต่เขายังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้และไม่ได้มีพร์ด้านการต่อสู้ที่เป็เลิศ หากคนของหอสมุดมายาลงมืออย่างโหดร้ายก็มีความเป็ไปได้สูงที่ตู้โซ่วโซ่วจะรับมือไม่ไหว
หมัดของอันเจิงรวดเร็วมากมากจนคนทั่วไปที่มามุงดูอยู่รอบ ๆ มองตามไม่ทันเลยทีเดียวแม้แต่เฟิงเซี่ยวซือผู้มีพลังอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นสองก็ยังทันลงมือเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และหลังจากนั้นก็พ่ายแพ้อันเจิงอย่างรวดเร็วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าอันเจิงรวดเร็วมากเพียงใด
แต่เมื่อกำปั้นของอันเจิงพุ่งเข้าไปหาเฉินโจว เขากลับไม่ได้แสดงท่าทีสนใจแม้แต่น้อย
“เมื่อครู่เ้าบอกว่าเฟิงเซี่ยวซือช้าเกินไปแต่ในสายตาข้า เ้าต่างหากที่ช้าเกินไป”
เฉินโจวขยับหัวหลบหมัดของอันเจิงจากนั้นก็พูดจาเชิงดูิ่ “เดิมทีข้าคิดว่าเ้าเป็คู่ต่อสู้ของข้าเสียอีกแต่คิดไม่ถึงว่าเ้าจะอ่อนแอมากขนาดนี้ ถึงแม้ทักษะทางร่างกายของเ้าจะยอดเยี่ยมแล้วจะมีประโยชน์อะไร? อย่างไรเสียข้าก็นำหน้าเ้ามาตั้งไกลแล้ว”
อันเจิงรู้สึกใจหายทันที...ทำไมเฉินโจวถึงก้าวหน้าได้รวดเร็วเพียงนี้ก่อนหน้านี้ ตอนที่ถูกอันเจิงทำลายแขน เฉินโจวยังอ่อนด้อยกว่าเขามาก ทว่าในตอนนี้ เขากลับรับมือกับความเร็วของอันเจิงได้อย่างง่ายดายเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งได้มากขนาดนี้?
ทันใดนั้นคำตอบหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจของอันเจิง...โอสถิญญา
่ที่ผ่านมา เฉินโจวต้องกินโอสถิญญาเข้าไปไม่น้อยแน่พลังของเขาถึงได้เพิ่มขึ้นเร็วขนาดนี้ เฉินโจวได้รับการสนับสนุนอย่างลับ ๆจากตระกูลเฉิน เขาจึงสามารถทำเช่นนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเขาก็มีพร์ที่ไม่เลวอยู่แล้ว บวกกับได้โอสถิญญามาเสริมเข้าไปอีกจึงสามารถเลื่อนขั้นพลังได้รวดเร็วเช่นนี้
“พร้อมรับความอัปยศจากข้าหรือยัง?”
เฉินโจวมองอันเจิงพลางหัวเราะอย่างเหี้ยมเกรียม “ก็เหมือนที่เ้าทำลายแขนข้าวันนั้นอย่างไรเล่า”
“ข้ารู้ั้แ่แรกแล้วว่าเป็เ้า”
“รู้แล้วจะอย่างไร?”
ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมากเฉินโจวกระซิบข้างหูอันเจิงในระยะใกล้ จนปากแทบจะแนบชิดหูเขาเลยทีเดียว “ตอนนี้ข้ามีนับหมื่นวิธีที่จะทำให้เ้าทุกข์ทรมานเหมือนตายทั้งเป็ดูจากภายนอกเ้าอาจเหมือนไม่เป็อะไรคนพวกนั้นคงนึกไม่ถึงว่าอวัยวะภายในของเ้าจะโดนทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้วแต่เมื่อพวกเขาจากไป เ้าก็จะกระอักเืจนตาย ข้าจะควบคุมระดับพลังเอาไว้อย่างดีให้เ้าได้ตายอย่างช้า ๆ”
อันเจิงถอยหลังออกไปจากนั้นก็เหวี่ยงขาไปที่ต้นคอของเฉินโจว “รอทำได้แล้วค่อยมาพูด!”
เฉินโจวถอยกลับออกไปเช่นกันขาของอันเจิงเฉียดผ่านคอของเขาไป เสี้ยววินาทีนั้นเองเฉินโจวก็ยื่นมือออกมาจับขาของอันเจิงเอาไว้ จากนั้นหมุนตัวและเหวี่ยงอันเจิงออกไปอันเจิงพลิกตัวกลางอากาศ ทว่าร่างของเขาก็ยังลอยออกไปอีกหลายสิบเมตรกว่าจะหยุดลงได้ในที่สุด
“โอ้ ์!”
เสียงอุทานของใครบางคนดังออกมาจากฝูงชน “คนที่ชื่อเฉินโจวแข็งแกร่งจริงๆ ขนาดอันเจิงมีร่างกายที่แข็งแกร่งและความเร็วมากขนาดนั้นแล้วยังสู้ไม่ได้เลยข้าว่านะ ระดับการบ่มเพาะของเฉินโจว อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นห้าขึ้นไปแน่”
“หอสมุดมายายังไม่เคยมีศิษย์ที่มีพร์เช่นนี้มาก่อนอายุยังน้อยก็สามารถไต่ขึ้นไปถึงระดับนี้แล้ว จริงอยู่เมื่อฝึกทักษะทางด้านร่างกายจนถึงขั้นสูงสุดแล้วก็จะรับมือกับผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติ์ได้ แต่มีข้อแม้ว่า คู่ต่อสู้ต้องมีทักษะทางด้านร่างกายที่ด้อยกว่าตนเท่านั้นแต่พวกเ้าดูสิ เฉินโจวก็มีทักษะทางด้านร่างกายที่ไม่ด้อยไปกว่าอันเจิงเลย ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนเขาจะเร็วกว่าอันเจิงด้วยซ้ำไป”
“ใช่ ทีนี้นิกายเบิก์ก็หมดกันดูเหมือนจะไร้ทางสู้เสียแล้ว”
“เฉินโจวแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ต่อให้ถูกอันเจิงชกสักยี่สิบหมัดก็คงไม่สะทกสะท้านทว่าหากอันเจิงถูกเขาชกเข้าเพียงหนึ่งหมัดก็คงจบเห่แน่ ด้วยพลังในขอบเขตจุติ์ขั้นห้าเพียงหมัดเดียวก็ะเิร่างอันเจิงจนกลายเป็เสี่ยง ๆ ได้แล้ว”
เฉินโจวพอใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มคนรอบด้านเป็อย่างมากนาทีนี้ ความอัปยศที่ได้รับเมื่อครั้งที่ตนถูกทำลายแขนได้สลายหายไปแล้วเขารู้ว่าตนเองกำลังจะได้ชำระแค้นและทำให้อันเจิงได้รับความอัปยศนี้กลับไปมากกว่าเป็สิบเท่า ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของผู้คนนับหมื่นการชำระแค้นในครั้งนี้จะต้องเป็ไปอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
“อันเจิงต่อให้เ้าจะคุกเข่าอ้อนวอนไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ”
เฉินโจวพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไม่มีวันอภัยให้เ้า”
อันเจิงพลิกตัวไปด้านข้างเพื่อหลบหมัดของเฉินโจวจากนั้นก็เหวี่ยงมือไปยังท้ายทอยของเขา เฉินโจวหลบได้อย่างง่ายดายยืนด้วยเท้าข้างเดียวพลางหมุนตัวไปเผชิญหน้าแล้วปล่อยหมัดไปยังรักแร้ของอันเจิงกึก! กระดูกแขนของอันเจิงเคลื่อนเสียแล้ว เฉินโจวมีเจตนาทำให้อันเจิงอับอายขายหน้าดังนั้นหลังจากปล่อยหมัดนี้แล้ว เขาก็ยื่นเท้าเตะเข้าไปที่ข้อพับขาของอันเจิงจนอันเจิงเซถลาและล้มลงในที่สุด
กระดูกแขนขวาของอันเจิงเคลื่อนหลุดออกจากหัวไหล่ในขณะที่ร่างกายกำลังล้มลงนั้น เขาก็ใช้มือซ้ายยันพื้นจากนั้นก็ตีลังกากลับมายืนตัวตรง
ทว่าเฉินโจวกลับพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ด้วยความเร็วระดับที่คนธรรมดาไม่อาจมองตามได้ทันเขากระทืบเท้าอย่างแรง ทำให้พื้นหินแตกออกเป็เสี่ยง ๆ จากนั้นพุ่งตัวเข้าไปหาอันเจิงเพียงพริบตาเดียว ไหล่ของเฉินโจวก็กระแทกไปที่แผ่นหลังของอันเจิงแล้ว อันเจิงกระเด็นออกไปทางด้านหน้าในสภาพที่ร่างกายหักโค้งไปด้านหลังอย่างน่าหวาดเสียว
หากเป็คนธรรมดาทั่วไป เกรงว่ากระดูก่เอวและหลังคงจะแตกละเอียดไปแล้ว
อันเจิงข่มกลั้นความเ็ปแล้วหมุนตัวกลับมาจากนั้นก็ยกมือซ้ายไปจับที่แขนขวา ก่อนจะดันให้กระดูกกลับเข้าที่
เขาถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยเืออกมาเืนักสู้ที่อยู่ในใจเปรียบดั่งไฟที่ลุกโชนอยู่ในอก สถานการณ์ในครั้งนี้ทำให้เขานึกถึง่เวลาที่เพิ่งเริ่มฝึกพลังวัตร ต้องผ่านการประลองครั้งแล้วครั้งเล่าต้องฟาดฟันซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงมีพลังอยู่ในขอบเขตแห่ง์ได้ในที่สุด และในตอนนี้ไฟในการต่อสู้เช่นในอดีตได้กลับมาแล้วมันกำลังลุกโชนอยู่ในดวงตาของเขา
“โอ้โห ร่างกายเ้าไม่เลวเลยนี่ถึงยังลุกขึ้นมาได้”
เฉินโจวมองอันเจิงด้วยสายตาเหยียดหยาม “ตัวไร้ค่าที่ไม่สามารถฝึกพลังวัตรได้อย่างเ้าน่ะต่อให้บ่มเพาะกายเนื้อจนถึงขั้นสูงสุดแล้วจะอย่างไร? เ้ามันก็เป็ได้แค่เศษสวะหากเ้าไปหางานเป็พวกผู้คุ้มกันหรือยามเฝ้าบ้านก็ยังพอหาเงินเลี้ยงชีพได้แต่เ้ากลับเสนอหน้าเข้ามาในโลกของผู้ฝึกพลังวัตรเสียนี่ เ้าคิดว่าตัวเองมีปัญญาเข้ามาหรือ?โลกใบนี้ยุติธรรมเสมอ คนที่ไม่สามารถฝึกพลังวัตรก็ต้องอยู่ในฐานะของผู้อ่อนแอตลอดไป!”
อันเจิงแกว่งแขนตัวเองแล้วเช็ดเืที่มุมปาก“เ้ายังไม่ได้ชนะการประลองครั้งนี้”
เฉินโจวหัวเราะเสียงดัง “เ้ายังไม่ยอมแพ้อีกหรือ?ข้าจะคอยดูว่าเ้าจะทนได้นานสักแค่ไหน!”
เฉินโจวเริ่มขยับร่างกายอีกครั้ง ร่างของเขาหายไปเหลือเพียงเงาที่เลือนรางเท่านั้น อันเจิงพุ่งหลบไปด้านข้างแต่นั่นก็ไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริงของเฉินโจว กลับเป็เพียงภาพลวงตาที่เกิดจากความเร็วเท่านั้นเขาต้องมีความเร็วถึงขั้นสุดยอด จึงจะสามารถสร้างภาพลวงตาเช่นนี้ขึ้นมาได้
เฉินโจวตัวจริงรออยู่ในทิศทางที่อันเจิงกำลังพุ่งไปจากนั้นเขาก็ชกไปที่ท้องน้อยของอันเจิงอย่างแรง
แรงหมัดทำให้อันเจิงตัวงอลงในพริบตาความเ็ปตรงท้องน้อยทำให้เขารู้สึกหน้ามืดไปชั่วขณะ
“ข้าเคยบอกเ้าแล้วคนที่อ่อนแอก็ย่อมอ่อนแอวันยังค่ำผู้ที่ไม่สามารถฝึกพลังวัตรได้ก็เป็ได้แค่คนไร้ค่าตลอดไป อันเจิง สิ่งที่เ้าทำพลาดที่สุดในชีวิตก็คือมาท้าประลองกับข้าหากเ้าไม่ทำเช่นนี้ เ้าก็อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหลายวัน”
เขายกอันเจิงขึ้นด้วยแขนเพียงข้างเดียวจากนั้นก็ทุ่มลงบนพื้นอย่างแรง
“พอได้แล้ว!”
เกาซานตัวลุกขึ้นยืน “เขาแพ้แล้ว”
“เขายังไม่แพ้!”
เฉินโจวหมุนตัวกลับไปมองเกาซานตัวพลางคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว“เขายังไม่ได้ยอมแพ้สักหน่อย!”
อันเจิงตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มพร้อมเืที่เต็มปาก “ใช่ ข้ายังไม่ได้ยอมแพ้เลย”
เฉินโจวหมุนตัวและหายวับไปอีกคราจากนั้นก็ไปปรากฏอยู่ด้านหลังแล้วชกไปที่หลังหัวของอันเจิง “ครั้งนี้ข้าจะทำให้เ้าทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก”
หากถูกโจมตีที่หลังหัวละก็ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าผลจะเป็อย่างไร
อันเจิงหลับตาลง เขาในตอนนี้อ่อนแอเกินไปสายตาของเขาก็ช้าเกินไปเมื่อเทียบกับความเร็วของเฉินโจว ดังนั้นเขาจึงต้องอาศัยความรู้สึกเพราะความรู้สึกมักเร็วกว่าสายตาเสมอ
ในจังหวะที่หมัดของเฉินโจวกำลังจะชกลงที่หลังหัวอันเจิงก็โค้งตัวไปด้านหน้าแล้วใช้เท้าถีบไปที่ด้านหลัง หมัดของเฉินโจวพลาดเป้าเขาโน้มตัวไปด้านหน้าโดยมีเท้าของอันเจิงประทับอยู่ที่หน้าท้องเฉินโจวเจ็บจนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที นั่นทำให้เฉินโจวรู้สึกโมโหมากขึ้นกว่าเดิมเขากำหมัดแน่นและเหวี่ยงมันไปที่แผ่นหลังของอันเจิง
อันเจิงใช้เท้าคล้องขาเฉินโจวแล้วออกแรงดึงให้เฉินโจวเสียสมดุล จากนั้นก็ถือโอกาสนี้ถอยไปทางด้านหลังวินาทีก่อนหน้านี้เขายังยืนอยู่ด้านหน้าเฉินโจว แต่เพียงหนึ่งวินาทีผ่านไป เท้าของเขากลับยันอยู่บนแผ่นหลังของเฉินโจวแล้วเขาออกแรงที่เท้าอย่างสุดกำลัง ทำให้ร่างของเฉินโจวเซไปด้านหน้าสองก้าว เปลวไฟแห่งความโกรธในแววตาของเฉินโจวลุกโชนขึ้นจนแทบจะพุ่งออกมาข้างนอก
แม้จะถูกอันเจิงโจมตีเพียงสองครั้งแต่สำหรับเขา นั่นถือเป็การพ่ายแพ้ที่ไม่น่าให้อภัยเลยทีเดียว
เวลานี้ไม่มีเสียงใด ๆ อีกต่อไป ผู้คนที่อยู่รายรอบต่างก็จมอยู่ในความเงียบสงัดทุกคนชมการประลองนี้อย่างใจจดใจจ่อ ไม่ว่าผู้ที่พนันว่าหอสมุดมายาจะชนะก็ดี หรือผู้ที่พนันว่านิกายเบิก์จะชนะก็ดีทุกคนล้วนกำหมัดแน่นอย่างลืมตัว นี่ไม่ใช่การประลองของเด็ก ๆ อีกต่อไปแล้วแต่มันคือการต่อสู้ระหว่างลูกผู้ชายต่างหากจิติญญาที่ไม่ยอมแพ้และเืนักสู้ของอันเจิงทำให้พวกเขารู้สึกเืพล่านไปตาม ๆกัน
หากไม่ใช่เพราะมีคนห้ามอยู่ป่านนี้ชวีหลิวซีกับตู้โซ่วโซ่วคงจะพุ่งออกไปแล้ว
สีหน้าของเกาซานตัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังไม่ได้คาดหวังอะไรกับอันเจิงอยู่ดี “เขาทำเต็มที่แล้วแต่พลังที่มีแตกต่างกันเกินไป”
เฉินโจววิ่งโซซัดโซเซไปข้างหน้าสองก้าวจากนั้นก็หมุนกลับมาด้วยความรวดเร็ว ทันใดนั้น แขนของเขาก็เปลี่ยนมาอ่อนระทวยแล้วกลายเป็งูั์ในเสี้ยววินาที
“เปลี่ยนร่าง!”
“์! วิชาเปลี่ยนร่างระดับกลาง!”
ผู้คนส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกันนั้นยังมีเสียงอุทานมากมายดังขึ้นด้วย
นั่นเป็ถึงวิชาเปลี่ยนร่างระดับกลางเชียวนะมันเป็วิชาที่ล้ำค่ามากเหลือเกิน เพราะผู้ฝึกตนที่อยู่ในขอบเขตจุติ์ไม่สามารถนำพลังภายในออกมาใช้ด้านนอกได้ดังนั้นวิชาเปลี่ยนร่างจึงสามารถเพิ่มพลังในการต่อสู้ให้แก่ผู้ฝึกได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียวเฉินโจวเปลี่ยนแขนตัวเองเป็งูั์ ทำให้รัศมีในการโจมตีของเขากว้างขึ้นอย่างมาก
เวลานี้ แม้แต่อันเจิงก็ยังตั้งตัวไม่ทันจึงพลาดท่าโดนงูกัดเข้าให้
ข้อมือของเฉินโจวเปลี่ยนเป็หัวงูนิ้วทั้งห้ากลายเป็ปากงู งูตัวนั้นกัดเข้าที่หน้าท้องของอันเจิงอย่างจัง ฝังเขี้ยวลึกลงไปในนั้นอย่างน่าหวาดเสียว
“ไสหัวมานี่!”
เฉินโจวคำรามออกมาจากนั้นก็ออกแรงดึงร่างของอันเจิงเข้าหาตัว
ทว่าวินาทีนั้น เขาก็รู้สึกราวกับได้ยินเสียงเปิดประตูบานหนักดังขึ้นที่ข้างหูเหมือนเป็เสียงเสียดสีระหว่างประตูเหล็กขนาดใหญ่กับพื้นดินในขณะที่ประตูถูกเปิดออก
เฉินโจวนึกว่าตัวเองหูแว่วไปจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เขาใช้แขนซ้ายที่กลายเป็งูดึงร่างของอันเจิงเข้ามาหา แล้วเปลี่ยนมือขวาให้กลายเป็อุ้งเท้าหมีจากนั้นก็เหวี่ยงมือไปที่ใบหน้าของอันเจิงอย่างแรง ฝ่ามือนี้เพียงพอที่จะทำให้ใบหน้าของอันเจิงแหลกเละได้อย่างง่ายดาย!
“หยุดได้แล้ว!”
“อย่าขยับ!”
เกาซานตัวะโออกมาเพื่อห้ามการต่อสู้แต่เจินจวงปี้ก็ะโขึ้นแล้วพุ่งมาขวางเกาซานตัวเอาไว้
เวลานี้ ไม่มีใครช่วยอันเจิงได้อีกแล้ว
แต่อันเจิงกลับแสยะยิ้มที่มุมปากอย่างกะทันหัน “ขอบใจเ้ามาก”
เขาพูดว่าขอบใจงั้นหรือ?
ทันใดนั้น ฟองอากาศฟองหนึ่งก็พองตัวออกมาจากร่างของอันเจิงตูม! ฟองอากาศะเิออกไปรอบด้าน พวกคนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่รอบ ๆถูกแรงะเิกระแทกจนล้มระเนระนาดไปตาม ๆ กัน แต่นั่นยังไม่จบ ฟองอากาศอีกลูกปรากฏขึ้นตามมา...ะเิครั้งแรกผู้คนล้มลง ะเิครั้งที่สอง กำแพงพังถล่ม ะเิครั้งที่สาม ต้นไม้หักโค่น!
นอกจากจะทำให้ผู้คนที่ยืนอยู่รอบ ๆ ถูกกระแทกจนล้มลงแล้วแรงะเิจากฟองอากาศที่เกิดขึ้นติดต่อกันถึงสามครั้งยังทำให้กำแพงพังถล่มต้นไม้หักโค่น ทั้งยังทำให้เฉินโจวเซถลาออกไปอีกด้วย
ส่วนอันเจิง เขายืนเืนองอยู่กับที่ปานอสูรร้ายที่เพิ่งตื่นจากนิทรา...