ในดินแดนที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าดงดิบอันเขียวขจี มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมลำธารที่มีน้ำใส เป็ลำธารสาขามาจากบึงใหญ่ระดับทะเลสาบที่แสนอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์น้ำมากมาย งูน้ำมากมี จระเข้ก็มากหลาย...และมักจะเกิดการกระทบกระทั่งกับชาวบ้านที่ทำการประมงอยู่ในพื้นที่นี้อยู่บ่อยครั้ง จนมีคำกล่าวกันว่า คนในพื้นที่แห่งนี้ จะด่าคนที่ลักขโมย หรือ ทำร้ายผู้อื่นว่าเป็ “จระเข้” นั่นเอง นอกจากในเื่ของการประมงแล้ว ชาวบ้านบางส่วนก็ประกอบอาชีพทำไร่ไถนาและเลี้ยงสัตว์อีกด้วย ชีวิตความเป็อยู่ของพวกเขาเรียบง่ายและสงบสุข ณ หมู่บ้านแห่งนี้ มีชายหนุ่มนามว่า “เมียงปล๊ะ” ผู้มีรูปร่างกำยำล่ำสัน มีผิวสีแทน และดวงตาที่ฉายแววแห่งความกล้าหาญ มาั้แ่ครั้งยังเป็เด็ก
เมียงปล๊ะ นั้นเป็ที่รู้จักของชาวบ้านในฐานะนักแสดงศิลปะการต่อสู้ผู้เก่งกาจ เขาชื่นชอบการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาั้แ่เด็ก และมักจะออกเดินทางไปโชว์การแสดงการต่อสู้ที่ปราสาทหินหลังใหญ่ ปราสาทหินหลังนี้นั้นเป็โบราณสถานที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ และเป็สถานที่จัดการแสดงต่างๆ ของผู้คนในดินแดนแห่งนี้มาอย่างยาวนาน เป็พื้นที่ๆผู้คนในท้องถิ่นมักเข้ามาทำมาหากินกันตามวิถีธรรมชาติกันอย่างคึกคัก
ในทุกๆวัน เมียงปล๊ะ จะเดินทางไปยังปราสาทหิน โดยที่เขาจะสวมใส่ชุดนักรบที่ทำจากหนังสัตว์ตากแห้ง และนำมาเย็บเข้าด้วยกันอย่างเรียบง่าย และถือดาบไม้ไผ่ที่ทำขึ้นเอง เมื่อถึงเวลากลางวัน เขาจะเริ่มการแสดง เขาจะะโโลดเต้น เหวี่ยงดาบ และทำท่าทางต่างๆ ที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและว่องไวของนักรบ ผู้ชมที่มาดูการแสดงของเขาส่วนใหญ่เป็เด็กๆ และชาวบ้านในหมู่บ้าน พวกเขาจะส่งเสียงเชียร์และปรบมือให้กับเขาอย่างกึกก้อง จากนั้น เมียงปล๊ะ ก็จะวางขันรับบริจาค เอาไว้ที่ตรงนั้น ซึ่งผู้คนที่ชื่นชอบการแสดงของเขาก็จะให้เบี้ยอัฐบ้าง หรือบางคนมีข้าวปลา อาหาร หรือผลไม้ต่างๆก็จะวางเอาไว้ให้แทนเบี้ยอัฐก็มี ซึ่ง เมียงปล๊ะ ก็จะเก็บเอาไว้ตามสมควรแก่ตัวเอง ถ้ามีเหลือ ก็จะแบ่งให้กับคนยากจนในหมู่บ้านของตัวเองอยู่เสมอ นั่นก็ทำให้ เมียงปล๊ะ นั้นเป็ที่รักใคร่ของผู้คนในหมู่บ้านเป็อย่างมาก
“ข้าคิดว่าดินแดนแห่งนี้นั้นก็ยังเป็ดินแดนที่ยังพอจะหากินได้ง่าย ผู้คนนั้นมีน้ำใจโอบอ้อมอารีเป็อันมาก เหมาะกับการเป็วณิพกเลี้ยงชีพยิ่งนัก หรือแม้แต่หากว่าเ้านั้นเป็ขอทาน ก็ยังพอจะได้ของกินมาพอเลี้ยงตัว...ฮ่า ฮ่า แต่ถ้าพวกเ้าขยันก็ยิ่งดีรับรองว่าไม่มีอดตายแน่นอน...”
เมียงปล๊ะ มักกล่าวประโยคนี้กับเพื่อนๆของเขา ซึ่งก็อาจจะเป็การมองโลกในแง่ดีของเขา ก็เป็ได้....เพราะแม้ว่าในบางครั้งเขาและเพื่อนๆ จะมี่ที่เป็อยู่อย่างยากลำบากบ้าง แต่ก็จะหยิบยกประโยคเหล่านี้มาพูดให้กำลังใจเพื่อนๆอยู่บ่อยๆ
และแม้ว่าชีวิตของเขาจะนั้นจะไม่สุขสบายนัก แต่เมียงปล๊ะก็ไม่เคยท้อแท้ เขาเชื่อมั่นว่าความสามารถในการแสดงศิลปะการต่อสู้ของเขาจะช่วยให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปแสดงศิลปะการต่อสู้ของเขาที่ปราสาทหินโบราณอยู่อย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆของเขา แต่แล้วเหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มจะเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการที่มีผู้มาแสดงศิลปะการต่อสู้เพื่อขอรับบริจาคนั้นเริ่มมีมากขึ้นทุกๆวัน ตามการขยายตัวของเมืองแห่งปราสาทหินแห่งนี้ เมื่อมีคู่แข่งทางการแสดงมากขึ้น แต่ประชากรจริงๆในพื้นที่ยังมีอยู่เท่าเดิม ทำให้หลังๆมานี้เมียงปล๊ะ และ พรรคพวกนั้น ต้องทำงานกันอย่างหนักขึ้นมากเลยทีเดียว เพื่อให้ได้ยอดบริจาคที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพของตัวเอง
“มีคนมาแสดงความสามารถด้านต่างๆกันมากขึ้นทุกวัน...เ้าว่าในอนาคตหลังจากนี้ไปอีกไม่กี่ปี พวกเราจะยิ่งลำบากกันมากยิ่งขึ้นไปหรือเปล่า ?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน...แต่ข้าก็อดจะคล้อยตามความคิดของเ้าไม่ได้ เพราะแต่ละเ้าที่มาแสดงก็พยายามเรียกร้องความสนใจจากพวกชาวบ้านอย่างเต็มที่ เ้าดูนั่นซิ...อย่างตรงเ้าที่ทำการแสดงอยู่ตรงนั้น ก็ทำท่าทางในการต่อสู้เหมือนนางอัปสร อัปสรา ยกขาข้างหนึ่ง แล้วเอามือฟาดหัวพวกหน้าม้าด้วย ของแบบนั้นมันใช้สู้จริงๆได้ซะทีไหนกันเล่า...?”
“แต่พอท่ามันสวย ถูกใจ คนก็ไปแห่บริจาคกันมากมาย แถมยังมีคนไปกราบกรานขอเรียนวิชาการต่อสู้ด้วย ดูท่าพวกนั้น น่าจะได้อัฐกันคราวนี้ไปอักโขกันเลยทีเดียว...”
“ข้าว่าพวกเราต้องทำใจอยู่เหมือนกันว่ะ...่นี้ก็เป็ยุคข้าวยาก หมากแพง สถานที่ๆขึ้นชื่อลือชาของดินแดนแห่งนี้ และมีพ่อค้าแม่ค้า ผู้คนมากันมาก ก็มีแต่ที่แห่งนี้แหล่ะ...จะให้ไปแสดงในเมืองอื่น ดีไม่ดีโดนเสือขบตายก่อนเดินทางไปถึง ป่ารกชัฏเสียขนาดนั้น...”
“ท่วงท่าในการต่อสู้ของข้านั้น ข้าพยายามถ่ายทอดในสิ่งที่สามารถใช้ในการสู้รบจริงๆได้ จากการที่พ่อของข้าเคยสอนมาให้ มันอาจจะไม่สวยงามอะไร แต่สามารถใช้งานได้จริงๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า มีคนสนใจดูการแสดงของพวกเราน้อยลงทุกวัน...นั่นคงเป็เพราะท่วงท่าในการแสดงของข้าอาจจะยังไม่ดึงดูดใจชาวบ้านมากเพียงพอก็เป็ได้....แต่จะให้ข้านั้นไปทำท่าแปลกๆ หรือพวกท่าตลกๆ ที่เอาไปใช้ในการสู้รบจริงๆไม่ได้นั้น ข้าทำไมได้จริงๆ...แต่เห็นเ้าอื่นเขาแสดงกัน แต่ผู้ชมกับชื่นชอบกันมากมาย ข้าไม่เข้าใจเลย หรือว่าในอนาคต ดินแดนแห่งนี้จะเหลือแต่พวกนักแสดงวิชาการต่อสู้แบบปาหี่พวกนี้หลงเหลือไปในอนาคตสืบไป...ข้านั้นเสียดายจริงๆ...”
เมียงปล๊ะ พูดขึ้นมาอย่างปลงๆกับชีวิต หรืออาจจะถึงคราวที่เขาอาจจะต้องเปลี่ยนอาชีพการแสดงที่เขารักไปทำอาชีพอย่างอื่นกันแล้วนะ...
“พ่อของเ้าเป็อดีตนักรบที่แข็งแกร่งของดินแดนแห่งนี้ที่มีไม่กี่คนซินะ...เสียดายที่แกป่วยตายไปก่อน หลังาแย่งชิงปราสาทหินของเหล่าผู้ปกครองสถานที่แห่งนี้จบไปไม่นาน ตอนนี้มีราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาปกครองปราสาทหินแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว...ส่วนแม่ของเ้าก็เสียไปก่อนล่วงหน้านานแล้ว...เอาจริงๆพวกข้าก็คิดถึงพ่อของเอ็งอยู่นะ...แต่ก็ยังดีที่แกได้พักผ่อนรักษาตัวในบั้นปลายของชีวิตไม่ต้องไปรบราฆ่าฟันกับกับใครเขาอีกจนากลางเมืองเมื่อไม่กี่ปีก่อนนั้นจบลง...และแกเสียไปก่อนหน้านั้นไม่นาน ตอนนั้นเ้ากับพวกข้ายังเป็เด็กเล็กๆที่แก้ผ้าเล่นน้ำกันอยู่เลย...พ่อของเ้าเป็คนดีเหลือเกิน...พวกข้าคิดถึงยิ่งนัก...”
“ขอบใจพวกเ้ามาก...ที่ยังคิดถึงน้ำใจของพ่อข้า...”
เมียงปล๊ะกล่าวขอบใจเพื่อนๆ ของเขาสามสี่คน ที่ทำการแสดงอยู่ด้วยกัน ซึ่งในการแสดงการต่อสู้นั้น จะแสดงแต่ผู้เดียวมันก็ไม่น่าสนใจ เขากับเพื่อนของๆเขา จึงต้องรวมกลุ่มกันเพื่อช่วยการแสดง โดย เมียงปล๊ะ นั้นจะเป็ผู้นำแสดงท่วงท่าในการต่อสู้ เพราะเขานั้นมีท่วงท่า และหน้าตารุปร่างดีกว่าเพื่อนๆในกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยว่ามีเชื้อสายของนักรบ และโดยเชื้อชาติก็มีความแตกต่างจากชาวพื้นบ้านแถวๆนี้ ที่เป็ชนเผ่าต่างๆที่บางเผ่าก็มาจากดินแดนอันไกลและอพยพเข้ามาอาศัยอยู่หรือถูกพามาเป็ทาสเพื่อทำงานหนักนั่นเอง ทำให้ เมียงปล๊ะ นั้นมีรูปร่างหน้าตาที่ดีกว่า ผิวพรรณสีทองแดงงดงาม ใบหน้าคมสัน มีคิ้วหนาเข้มใบหน้าสมส่วนอย่างลูกผู้ชาย ส่วนเพื่อนๆ ของเขาก็ต้องแสดงเป็คู่ต่อสู้ ที่ต้องถูกท่าต่อสู้ต่างๆนั้นจัดการลงไป แม้อาจจะได้แสดงการเตะต่อยบ้างก็ตาม หรือจะเรียกแบบบ้านๆได้ว่าเป็ “ตัวประกอบคนรับการโจมตี” หรือ “ตัวประกอบอดทน” ก็ว่าได้...พวกนี้ก็จัดว่าเป็ผู้เสียสละตัวเองเหมือนกัน เพราะตามหลักความเป็จริงแล้ว ทุกๆคน ในชีวิตก็ย่อมอยากแสดงเป็ “ตัวเอก” แต่ถ้าไม่มีตัวประกอบ หรือ ผู้ร้าย การแสดงก็ย่อมจะไม่สมบูรณ์เช่นกัน ซึ่งทางด้านของ เมียงปล๊ะ นั้นก็ก็ได้ให้ความเคารพกับเหล่าเพื่อนๆ พอแสดงเสร็จก็จะยกมือพนมไหว้ ขอโทษ ขอโพยกันอยู่ทุกครั้งไป...
และข้าวของที่ได้มา รวมทั้งเบี้ยอัฐบริจาคจากผู้มีจิตเมตตานั้น ทางด้านของตัว เมียงปล๊ะ ก็ได้เฉลี่ยให้เพื่อนๆ ทั้งหมด มากกว่าส่วนที่ตัวเองได้รับเสียอีก...แต่เมื่อรายได้จากการแสดงนั้นเริ่มลดน้อยลงไปนั่นก็ทำให้ เมียงปล๊ะ ต้องคิดหนักกว่าเดิม เพราะมันไม่ใช่เป็เื่ของปากท้องของเขาเพียงคนเดียว...แต่มันยังรวมไปถึงของเพื่อนๆด้วย...ถ้าต้องเปลี่ยนอาชีพเพื่อเลี้ยงตัวเอง พวกเขาก็อาจจะต้องเปลี่ยนด้วยกันทั้งหมด และในขณะที่ เมียงปล๊ะ นั้นกำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรดีกับอนาคตของตัวเองอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากเื้ั เมื่อเขาหันกลับไปทางต้นเสียงนั้น เขาก็พบว่า มีบุคคลสองคนกำลังยืนตั้งท่าอย่างสง่างามเหมือนตัวโขนตัวละครอยู่ ซึ่งคนหนึ่งก็เอาสีทาหน้าซะเป็สีเขียวปั๊ดเหมือนสีเคลือบหม้อสำหรับใส่แกงในงานวัด ส่วนอีกคนก็เอาขมิ้นทาจนตัวเหลืองอ๋อยไปทั้งตัว กลิ่นนี้หอมฟุ้งจรุงใจกันไปเลยทีเดียว
“อ้าว...ราตนะ และ โสภณ นี่นา...พวกเ้าทำอะไรกันน่ะ...อยู่ดีๆ ทำไมลุกขึ้นมาแต่งตัวทาหน้าทาตาอะไรแปลกๆ...อย่างนั้นเล่า...ไม่ได้ไปเตรียมการแสดงระบำ “ปลวกและมดแดงร่ายรำ” ที่พวกเ้าใช้แสดงทำมาหากินขอเบี้ยจากชาวบ้านเช่นทุกๆวันรือ...”
“จากนี้ไปพวกข้าทั้งสองคนนั้น จะขอทุ่มเทชีวิตและจิตใจ ในการเรียนรู้ การเต้นละครโขนให้เข้าลึกถึงจิติญญา...เพราะเมื่อวันก่อนนั้น ข้ามีโอกาสได้ไปติดตามดูการแสดงอันนี้จากทางราชสำนักชาว เสียม...ที่มาเจริญสัมพันธไมตรีในดินแดนแห่งนี้ มันช่างงดงาม และแสนประทับจิตประทับใจของพวกข้าเป็ยิ่งนัก ท่านพี่ เมียงปล๊ะ พวกเราต่างก็เป็นักแสดงเช่นเดียวกัน ท่านคงเข้าใจถึงจิติญญานักแสดง ที่้าสวมบทบาทเป็ตัวละครอยู่ตลอดเวลาเพื่อความสมจริงอยู่ซินะ...ชะเอิงเงยยยย....ข้าจะฝึกฝนศิลปะแขนงนี้ให้เข้าถึงแก่นแห่งจิติญญาของมันเท่าที่ตัวของข้ากับพรรคพวกนั้นได้จดจำได้เลยทีเดียว...”
“นับจากนี้ขอให้ท่านพี่ เมียงปล๊ะ เรียก ข้าว่า ราม และเรียกน้องชายร่วมอุทรณ์ของข้านั้นว่า ลักษณ์ เถิด...เพื่อให้พวกข้าได้เข้าถึงบทบาทในการแสดงที่สมจริงอย่างที่สุด...ชะเอิงเงย...”
“เอ้า...ได้เวลาแล้ว...พวกเ้าเหล่าพลวานร...อีกทั้งเหล่าอำมาตย์ในบวรมหาสถาน...เพลานี้ได้เวลาเคลื่อนทัพไปยังปราสาทเทพพิมาน...จงหมั่นซักซ้อมขบวณรณรงค์ให้ชำนิชำนาญ...หาพวกไพรีราชศัตรูพานพบผ่าน...จักได้สั่นสะท้านหวาดกลัวเอย...”
ว่าแล้วสองพี่น้องผู้มีความเพียรพยายามในการที่จะเข้าถึงบทบาทตัวละครสำคัญในละครโขนก็ชักชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงต่างๆ ขึ้นเกวียนที่เป็เป็เสมือนราชรถของตัวเอง เดินจากไปเป็หมู่คณะอย่างมีระเบียบ...ทิ้งให้ เมียงปล๊ะ และพรรคพวกนั้นมองตามความเคลื่อนไหวของพวกกลุ่มของเพื่อนสนิทนักแสดงด้วยกัน เดินทางไปสู่ปราสาทหินอย่างเงียบๆ ก่อนที่ เมียงปล๊ะ จะถอนหายใจขึ้นมาหนักๆครั้งหนึ่งแล้วก็พูดกับเพื่อนๆว่า...
“มันอาจจะถึงเวลาที่พวกเราจะต้องหาอะไรทำเพิ่มเติมกันแล้วล่ะ...ลำพังแค่การแสดงศิลปะการต่อสู้ที่พวกเราทำกันนั้น มันคงไม่พอเลี้ยงชีพพวกเราเสียแล้ว...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้