โลงของฉินไท่เฟยค่อยๆ หย่อนลงไปในหลุม ขันทีลู่ที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ซีิ หันมองมาที่ฉู่ลี่กับมู่อวิ๋นจิ่น
ก้าวเดินเข้ามา ทำความเคารพทั้งสองคน “ฝ่าามีราชโองการ เชิญองค์ชายและทุกท่านไปพระที่นั่งจิ่งิ”
สิ้นเสียง ขันทีลู่ก้เดินนำทาง
มู่อวิ๋นจิ่นที่ยืนอยู่ด้านข้าง เม้มปากมองฉู่ลี่และฉู่เย่
พระที่นั่งจิ่งิเคยเป็ท้องพระโรงในยุคก่อนหน้านี้
……
เมื่อไปถึงมู่อวิ๋นจิ่นยืนรออยู่ยนอกพระที่นั่ง พบขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันเดินเข้าไปด้านใน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และรีบเร่ง
“ฉู่ลี่ เ้าเข้าไปเถอะ” มู่อวิ๋นจิ่นหันไปบอก
ฉู่ลี่เห็นนางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงอมยิ้ม “รอเปิ่นหวงจื่ออยู่ที่นี่”
“อืม” มู่อวิ๋นจิ่นยืนมือไปจับแขนเสื้อฉู่ลี่ให้เรียบร้อย ก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่เป็อะไรหรอก”
ฉู่ลี่ยกมือลูบหน้านาง และเดินเข้าไปในพระที่นั่งจิ่งิ
มู่อวิ๋นจิ่นยืดกุมมือทั้งสองข้างมองฉู่ลี่อยู่ด้านหลัง พยายามตั้งสติและหวังว่าจุดที่ยืนจะได้ยินเื่ด้านใน
อัครเสนาบดีมู่ที่เปลี่ยนทางการก็รีบสาวเท้าด้วยความเร่งรีบ บังเอิญเหลือบเห็นมู่อวิ๋นจิ่นหลบมุม จึงเดินเข้าไปสอบถาม “อวิ๋นจิ่น เ้ามาอยู่อะไรที่นี่?”
“ลูกมารอฉู่ลี่” มู่อวิ๋นจิ่นตอบหน้าตาเฉย
อัครเสนาบดีมู่สีหน้าดูเคร่งขรึม เอ่ยให้สติ “อย่างนั้นเ้าอยู่ที่นี่คนเดียว ระวังตัวด้วย!”
กล่าวจบเขาก็เข้าไปด้านในทันที
……
ในเวลานี้ ในพระที่นั่งจิ่งิ เต้มไปด้วยบรรยากาศที่อึดอัดอึมครึม
ฝ่าาที่สวมอาภรณ์ลายัเสด็จเข้ามาด้านใน นั่งบนบัลลังก์ั ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฝ่าาอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี” ทุกคนต่างคุกเข่าคำนับลงกับพื้น
“ทุกคนลุกขึ้นได้” ฮ่องเต้ซีิตรัส
ฮ่องเต้ซีิยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างวางลงที่ท้าวเเขน ทอดพระเนตรมาที่บรรดาองค์ชาย ตรัสเสียงเรียบ “หลายวันมานี้ไท่เฟยจากไปแล้ว เจิ่นรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง และคิดเื่ขึ้นได้มากมาย”
“ในใต้หล้าไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน เจิ่นรู้ว่าวันหนึ่งวันใดก็ต้องจากไปเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเรียกองค์ชายและขุนนางทุกคน เพื่อประกาศเื่สำคัญบางอย่าง”
ทุกคนในที่นั่นต่างเงียบสงัดไม่มีใครเอ่ยแม้แต่คำเดียว ทุกสายตาจับจ้องไปที่ฮ่องเต้ซีิ พร้อมกับคาดเดาเื่ที่จะทรงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
“เวลาล่วงเลยไปวันแล้ววันเล่า หลายวันมานี้เจิ่นพบว่า โอรสของเจิ่นแต่ละคนเติบโตขึ้นแล้ว……”
ฮ่องเต้ซีิหยุดตรัสลง กำพระหัตถ์ทั้งสองข้างแน่น ทรงจ้องไปที่อัครเสนาบดีมู่ที่ยืนอยู่ทางขวา “มู่อ้ายชิง[1]ออกมาประกาศราชโองการแล้วกัน”
อัครเสนาบดีมู่ตระหนกใ รีบโค้งคำนับแล้วก้าวออกมา โดยที่ขันทีลู่ที่ยืนข้างกายฮ่องเต้ซีิ ได้ยื่นราชโอกการให้
อัครเสนาบดีมู่น้อมรับราชโองการ พลันเกิดความรู้สึกหนักอึ้งภายในใจ และสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะเปิดออก
เมื่ออ่านข้อความด้านใน สีหน้ากลับนิ่งสนิท ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับ จากนั้นเริ่มอ่านราชโองการด้วยเสียงที่ดังไปทั่ว เพื่อให้มู่อวิ๋นจิ่นที่ยืนด้านนอกได้ยินไปพร้อมกัน
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา นับั้แ่เจิ่นขึ้นครองราชย์ ล้วนให้ความสำคัญกับใต้หล้าเป็ใหญ่ มิเคยละเลยเพิกเฉย บัดนี้รัชศกซีิปีที่สามสิบห้า พระวรกายของเจิ่นไม่แข็งแรงดังเดิม เจิ่นเล็งเห็นโอรสมีความรู้ความสามารถที่พร้อมแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ เจิ่นใคร่ครวญเป็อย่างดี องค์ชายสี่ฉู่เย่มีความคิดความอ่านอันยาวไกล และจิตใจเป็ธรรม เหมาะสมที่จะรับตำแหน่งปกครองใต้หล้ามากที่สุด บัดนี้ขอแต่งตั้งองค์ชายสี่ฉู่เย่เป็องค์รัชทายาท พระราชทานอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในตำหนักตงกง หวังว่ารัชทายาทฉู่เย่จะรักใคร่ราษฎร ไม่ทำให้เจิ่นต้องผิดหวัง……”
หลังจากอัครเสนาบดีมู่ประกาศราชโองการเรียบร้อย ตั้งใจหยุดยืนมองปฏิกิริยาขุนนางน้อยใหญ่กำลังพูดคุยกัน ส่วนองค์ชายาที่เหลือ สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา
มู่อวิ๋นจิ่นที่ยืนอยู่ด้านนอกพระที่นั่งจิ่งิ ได้ยินเนื้อความในราชโองการทั้งหมดแล้ว แม้จะล่วงรู้จากปากฉินไท่เฟยมาก่อนแล้ว แต่พอได้ยินราชโองการฉบับจริง ก็อดไม่ได้ที่จะกำมือแน่น
ภายในตำหนักจิ่งิ มู่อวิ๋นจิ่นก้มหน้าประกาศราชโองการต่อ “องค์ชายสามฉู่ชิง ให้ดำรงตำแหน่งชินหวาง พระราชทานนามว่า ‘เฉิน’ นับจากนี้ต้องเข้าท้องพระโรงปรึกษาราชการ”
อัครเสนาบดีมู่ชำเลืองมองฉู่ลี่ จับพระราชโองการด้วยมือสั่นสะเทิ้ม ประกาศต่อไปว่า “องค์ชายหกฉู่ลี่ ให้ดำรงตำแหน่งชินหวาง พระราชทานนามว่า ‘หนิง’ เพื่อช่วยองค์รัชทายาทผนึกใต้หล้าให้แข็งแกร่งเป็ปึกแผ่น”
“จบราชโองการ”
“ฝ่าาอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
เมื่ออัครเสนาบดีมู่ประกาศเสร็จสิ้นเดินกลับเข้าแถว ฉู่เย่ที่ยืนอยู่นำหน้า คุกเข่าลงกับพื้นคำนับสามครั้ง “เอ๋อร์เฉิน[2]จะทำเต็มกำลังความสามารถ ให้ใต้หล้ารุ่งเรือง ไม่ให้เสด็จพ่อต้องผิดหวัง พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี” ฮ่องเต้ซีิพยักหน้ารับอย่างพอพระทัย หันไปมองราชครูจ้วง “จ้วงอ้ายชิง นับแต่วันพรุ่งนี้เป็ต้นไป ให้เข้าไปสอนเื่การปกครองที่ตำหนักตงกง”
“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชา” ราชครูจ้วงยกมือประสานโค้งคำนับ
จากนั้นฮ่องเต้ซีิทอดพระเนตรไปที่ฉู่ชิงกับฉู่ลี่ และขุนนางน้อยใหญ่ “หลายวันมานี้ยุ่งอยู่กับพิธีฝังศพ ใครมีเื่ทูลถวายบ้าง?”
ขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งเดินออกมา “ทูลฝ่าา หลายวันก่อนเ้าเมืองหยางว่านซานที่ชิงโจวส่งจดหมายมา รายงานว่ามีพายุฝนโหมกระหน่ำมิหยุดหย่อนมาตลอดสองเดือน จนเกิดอุทกภัยสร้างความเสียหายใหญ่ บัดนี้ชาวบ้านที่นั่นกว่าครึ่งล้มตายเกินครึ่ง เส้นทางถูกตัดขาด มิสามารถลำเอียงอาหารและน้ำส่งไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
“มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ? ในเมื่อฝนกระหน่ำมาสองเดือน ทำไมเพิ่งแจ้งมาตอนนี้?” ฮ่องเต้ซีิกริ้วหนัก
ขุนนางผู้นั้นสะดุ้งโหยง ก้มหน้าทูลตอบแทบไม่ทัน “จดหมายฉบับนี้เขียนไว้เมื่อหนึ่งเดือนกว่าที่แล้ว ระยะทางจากเมืองชิงโจวห่างมาสุสานฮ่องเต้ห่างไกลกันลิบลับ ยังประสบอุทกภัยอีก คาดว่ากว่าจดหมายฉบับนี้จะส่งมาถึงต้องพบเจออุปสรรคมิน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
พระพักตร์ฮ่องเต้ซีิดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เมืองชิงโจวถึงแม้อยู่ห่างไกล แต่ยังนับเป็ราษฎรของเจิ่น เื่อุทกภัยต้องเร่งจัดการให้เร็วที่สุด”
สายพระเนตรของฮ่องเต้ซีิจ้องไปที่ฉู่ลี่ที่เงียบมาตลอด “ลี่เอ๋อร์ ในเมื่อเ้าได้แต่งตั้งเป็หนิงหวาง เื่นี้ยกให้เ้าจัดการแล้วกัน”
ทุกคนในพระที่นั่งต่างตกอกใกันใหญ่
เมืองชิงโจวติดกับชายแดน พื้นที่แห้งแล้งอัตคัตขัดสน มิหนำซ้ำบังเกิดอุทกภัยซ้ำเติมขึ้นอีก ฝ่าาแค่ส่งขุนนางน้อยใหญ่ไปจัดการก็เรียบร้อย ไม่รู้เหตุใดทรงเจาะจงเลือกฉู่ลี่ ดูแล้วใช้คนไม่ถูกกับงานเท่าไหร่
แต่เมื่อคิดๆ ดู ฝ่าาแต่งตั้งฉู่เย่เป็รัชทายาท แต่งตั้งฉู่ลี่ที่เ็าเป็หนิงหวาง
คำว่า “หนิง” ที่แปลว่า สงบนิ่ง เกรงว่าจะมีนัยยะแฝงไว้นี่เอง
“เอ๋อร์เฉินน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่ลี่ตอบรับอย่างว่าง่าย
ฮ่องเต้ซีิพยักหน้าด้วยความพอพระทัย ก่อนมองอย่างมีความนัยแฝงไว้ “ในเมื่ออุกภัยมิอาจรอช้าได้ พรุ่งนี้ก็ออกเดินทางไปที่เมืองชิงโจวทันที”
ฉู่ลี่พยักหน้ารับทราบ
……
มู่อวิ๋นจิ่นที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกพระที่นั่งจิ่งิชัดเจนทุกถ้อยความ ทว่าไม่เคยได้ยินชื่อเมืองชิงโจวที่เกิดอุทกภัยมาก่อน จากนั้นขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันเดินออกมา โดยที่นางชะเง้อหน้ามองหาฉู่ลี่
ไม่นานนักฉู่ลี่เดินก้มหน้าออกมา โดยที่ขุนนางต่างแสดงความยินดีที่ได้ รับพระราชทานนามใหม่ว่า ‘หนิงหวาง’ แต่ดูเขากลับไม่แยแสกับตำแหน่งนี้เท่าไหร่
“ฉู่ลี่…” มู่อวิ๋นจิ่นะโเรียก
ฉู่ลี่ยิ้มน้อยๆ ส่งให้มู่อวิ๋นจิ่นที่ยกมือกวักเรียกเขา “เ้ายืนรอที่นี่นานแล้ว เหนื่อยหรือไม่?”
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้า และทำความเคารพ “คารวะองค์ชายหนิงหวาง”
“ซื่อบื้อเสียจริง” ฉู่ลี่คว้านางเดินออกไป
มู่อวิ๋นจิ่นไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับคำว่าซื่อบื้อแม้แต่น้อย ตลอดทางนางชำเลืองสังเกตท่าทางฉู่ลี่อยู่ตลอด
เขาเหมือนรู้ตัวจึงหันหน้ามาถาม “มองอะไร?”
มู่อวิ๋นจิ่นหยุดยืน กวาดสายตาไปรอบข้าง เห็นไม่มีอยู่ใครอื่น ถึงเอื้อมไปคว้ามือของฉู่ลี่มากุมไว้ “อันที่จริงได้เป็ถึงตำแหน่งหนิงหวางก็ไม่เลวแล้ว อย่างน้อยไม่ต้องมีเื่มากมายมารบกวนจิตใจ ตำแหน่งรัชทายาทต้องเรียนรู้เื่การปกครอง ทั้งยังต้องคิดคำนึงถึงราษฎรว่าใช้ชีวิตอย่างไร……”
จู่ๆ มือฉู่ลี่ได้เขกไปที่หัวของนาง พร้อมกับหัวเราะชอบใจ “เ้าคิดว่าเปิ่นหวงจื่ออยากได้ตำแหน่งรัชทายาทั้แ่เมื่อใดกัน?”
มู่อวิ๋นจิ่นตาค้างกับการได้เห็นรอยยิ้มของฉู่ลี่ที่ช่างล้ำค่ายากจะพบเห็น ไม่นึกว่าตอนนี้เขายังมีกะจิตกะใจยิ้มออกมาได้
“เ้าไม่สนใจตำแหน่งรัชทายาท?” มู่อวิ๋นจิ่นถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“อืม” ฉู่ลี่ตอบแล้วจับมือนางเดินออกไป
……
เมื่อเดินทางกลับมาถึงจวน คนในวังได้เชิญแผ่นป้ายนามใหม่ของฉู่ลี่ขึ้นติดอยู่หน้าประตูใหญ่
ชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างพากันยืนดูแผ่นป้ายใหม่ ที่ชื่อว่า “จวนหนิงหวาง”
พอก้าวเข้าไปด้านใน บ่าวใช้ทุกคนต่างมาคุกเข่าต้อนรับ “คารวะองค์ชายหนิงหวาง คารวะพระชายาหนิงหวาง”
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้ว ผายมือให้ทุกคนลุกขึ้น
ถึงตอนนี้นางยังไม่เข้าใจความรู้สึกฉู่ลี่ที่ต้องอยู่ในตำแหน่งหวาง บ่าวใช้พวกนี้กลับมาต้อนรับเอิกเกริก
เมื่อหมายเดินกลับไปที่เรือนลี่เฉวียน ฉู่ลี่เรียกให้มู่อวิ๋นจิ่นหยุดลงก่อน “พรุ่งนี้เปิ่นหวงจื่อต้องเดินทางไกล ่นี้อาจไม่ได้กลับมา”
มู่อวิ๋นจิ่นรีบหันเข้าไปยืนหน้าเขา “เ้าหมายความว่ายังไง? จะไม่พาข้าไปด้วย?”
ฉู่ลี่พยักหน้า “เปิ่นหวงจื่อไปช่วยอุทกภัยที่เมืองชิงโจว เส้นทางเต้มไปด้วยความอันตรายรอบด้าน ขอให้เ้าอยู่ในจวนช่วยดูแลจวนแทนแล้วกัน”
มู่อวิ๋นจิ่นทำท่าตะลึงที่ได้ยินคำว่า อุทกภัย
ฝ่าาก็ช่างทรมานคน ฉู่ชิงก็เป็ตำแหน่งหวางเหมือนกัน ทำไมต้องจงใจเลือกฉู่ลี่ไปจัดการอุทกภัยด้วย
ครุ่นคิดไปมา มู่อวิ๋นจิ่นจึงรวบรวมความกล้า เปล่งออกไป “ไม่ได้ ข้าจะไปด้วย!”
“ไม่ได้” ฉู่ลี่ปฏิเสธเสียงแข็ง “เ้าอยู่ที่จวน รอข้ากลับมา!”
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นสีหน้าขึงขังของฉู่ลี่ รู้ว่าเขากำลังจะะเิความโกรธขึ้นมา ดังนั้นนางจึงยู่ปาก พึมพำว่า “ไม่ไปก็ไม่ไป อยู่เสพสุขสบายๆ ที่จวนก็ได้”
[1] อ้ายชิง สรรพนามที่ฮ่องเต้หรือฝ่าา ให้เรียกขุนนาง
[2] เอ๋อร์เฉิน สรรพนามที่องค์ชายใช้เรียกแทนตนเอง เวลาสนทนากับฮ่องเต้หรือฝ่าา