ยามเล่อเทียนกำลังกระอักเื ทันใดนั้นสายตาของเขาก็สบเข้ากับริมฝีปากบวมแดงของมู่จื่อหลิง ในตอนแรกเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มแฝงด้วยความหมายอันลึกซึ้งออกมา
เขาคิดในใจว่า ดุเดือด! ช่างดุเดือดยิ่งนัก!
แต่ใช้เวลาเพียงครู่เดียว กลับบวมเปล่งได้ถึงเพียงนี้...ช่างทรงพลัง ไม่มีใครเทียบชั้นได้!
“เล่อเทียน โรคระบาดนั้น...” มู่จื่อหลิงกลับมาสนใจเื่หลัก กำลังจะถามเื่โรคระบาดกับเล่อเทียน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะพูดจนจบ ทันใดนั้น นางก็ััได้ถึงสายตาไม่น่าไว้วางใจของเล่อเทียน ทั้งยังมีรอยยิ้มเ้าเล่ห์ที่มุมปากของเขา
รอยยิ้มงามสง่า แต่ในมุมมองของมู่จื่อหลิงมันกลับชวนให้หงุดหงิด
สายตาของเล่อเทียนที่จับจ้องมายังนางในยามนี้มัน...ทันใดนั้นหน้าของมู่จื่อหลิงก็แดงก่ำ ราวกับนางรู้แล้วว่าเล่อเทียนกำลังมองสิ่งใด
นางรู้สึกได้ถึงความแสบร้อนจากปลายลิ้นของตนในทันที ทันใดนั้นความรู้สึกเสียวซ่านก็กลับมาอีกครั้ง
อับอาย ช่างน่าอายยิ่งนัก
มู่จื่อหลิงยื่นมือมาปิดปากตนโดยไม่รู้ตัว แสร้งทำหน้าสงบนิ่ง จ้องเล่อเทียนอย่างดุดัน พึมพำว่า “มองอะไร? เ้าไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ?”
เล่อเทียนกางพัดด้ามจิ้วเบาๆ โบกไปมาอย่างใจเย็น ชำเลืองมองใบหน้ามู่จื่อหลิงอย่างสบายๆ แล้วพูดช้าๆ “ข้าเคยเห็นหญิงงาม แต่ข้าไม่เห็นปากงดงามที่จู่ๆ ก็กลายเป็...”
“เ้า...อยากตายหรือ? หากเ้าอยากตายก็พูดมา!” มู่จื่อหลิงกัดฟัน หน้าแดงก่ำ เอ่ยขัดเขาอย่างดุร้าย
“ไม่อยาก” เล่อเทียนส่ายหัวโดยไม่ต้องคิด
ท้ายที่สุด เขายังพยักหน้าโดยไม่กลัวความตาย ท่าทางของเขาสื่อถึงความหมายบางอย่าง ทั้งยังพูดช้าๆ “แต่ เ้าก็ช่าง...”
ไอ้เ้าคนหน้าซื่อใจคด [1] ไม่กลัวตายผู้นี้ ยังจะล้อนางอีกหรือ? ใบหน้ามู่จื่อหลิงมืดครึ้มลง
นางรีบหยิบหน้ากากอนามัยจากระบบซิงเฉินขึ้นมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยื่นมือออกมาใช้กำปั้นทุบเล่อเทียนอย่างก้าวร้าว
เล่อเทียนภาคภูมิใจมากเมื่อมู่จื่อหลิงปล่อยหมัดที่แ่เบาราวฝ้ายกระทบ [2] ไม่ต่างจากการเกิดฟ้าร้องเสียงดัง ฝนกลับตกนิดเดียวใส่ตน เขาเบี่ยงตัวเพียงเล็กน้อยก็สามารถหลบพ้นได้อย่างง่ายดาย
ยังกล้าคิดหลบอีก...
ดวงตาของมู่จื่อหลิงหรี่ลงแฝงแววอันตราย น้ำเสียงเริ่มไม่น่าฟัง นางพูดอย่างบูดบึ้ง “เมื่อไม่นานมานี้ข้าปรุงพิษไว้มากมาย มีพิษร้ายแรงที่ส่งผลถึงตายในชั่วพริบตาอยู่ไม่น้อย แต่ยังขาดผู้ทดลองใช้จริงอยู่ อยากลองไหม หืม?”
สุดท้ายแล้วเล่อเทียนผู้ไม่กลัวความตายก็ถูกคุกคามโดยคำพูดของมู่จื่อหลิง ทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขารีบก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว
เพราะแม้จะไม่เคยััด้วยตนเอง แต่เมื่อหลายวันก่อน ยามที่เขาสอนวรยุทธ์ง่ายๆ ให้หลงเซี่ยวเจ๋อ เขามักจะได้ยินหลงเซี่ยวเจ๋อพูดถึง ‘ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่’ ในการทรมานผู้คนของพี่สะใภ้สามของตนอยู่เสมอ
นอกจากนี้เขายังรู้ว่าการโจมตีของมู่จื่อหลิงนั้นไร้ความปรานีไม่ต่างจากหลงเซี่ยวอวี่ อีกทั้งเขายังได้ยินมาว่าพิษของมู่จื่อหลิงเป็พิษที่ไร้สีไร้กลิ่น
หลงเซี่ยวหลีผู้ปฏิบัติต่อผู้หญิงเหมือนของเล่น จู่ๆ ก็ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคประหลาดสองโรค นั่นไม่ใช่ตัวอย่างที่มีชีวิตหรอกหรือ?
ทำเพียงแค่หยอกล้อเล็กน้อยเป็การปลดปล่อยความโกรธเคืองในใจก็พอ ไม่เช่นนั้นการเล่นกับไฟจนถูกไฟเผาเสียเอง [3] จะได้ไม่คุ้มเสีย
ดังนั้น เมื่อรู้ว่าจะมีอันตรายหากยังพูดคุยเกี่ยวกับเื่นี้ต่อไป เล่อเทียนจึงส่งยิ้มอ่อนโยน รีบเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว
เห็นได้ว่าจู่ๆ ใบหน้าหยอกล้อก็จริงจังขึ้นมาทั้งยังพูดอย่างเป็ทางการมาก “พูดถึงยาพิษ โรคระบาดนี้เกี่ยวข้องกับยาพิษจริงๆ แต่นอกจากยาพิษแล้ว ดูเหมือนจะมีสิ่งอื่นที่แปลกประหลาดอยู่ เพียงแต่ข้าตรวจสอบมานานก็ยังไม่ได้ผลใดๆ เลย”
ทันทีที่คำพูดของเล่อเทียนจบลง ก็มีเสียงฝีเท้าดังกรอบแกรบมาจากในระยะไกล
ไม่ไกลนัก มีร่างหนึ่งกระโจนออกมาจากภายในกำแพงเมือง
เห็นเป็กุ่ยเม่ยที่มีล่วมยาอยู่บนบ่ากำลังะโข้ามกำแพงสูงมาอย่างง่ายดาย หลังจากหยุดยืนอย่างมั่นคง เมื่อหันมาเห็นมู่จื่อหลิงและคนอื่นๆ เขาก็เดินเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพัก
เมื่อเห็นเช่นนี้ หน้าผากของมู่จื่อหลิงก็กระตุกเล็กน้อย เต็มไปด้วยความหดหู่ใจ
คนเหล่านี้เป็อะไรกัน? ไม่คิดจะออกจากประตูมาอย่างปกติ เหตุใดแต่ละคนถึงล้วนะโข้ามกำแพงออกมา?
ะโข้ามกำแพงสนุกหรือ?
ดูเหมือนว่าจะสนุก แต่...จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็เชิดคางเรียวขึ้น
จากนั้นนางก็กัดฟัน เล็งไปที่เล่อเทียนซึ่งอยู่ใกล้นางที่สุด ส่งเสียงเย้ยหยันดังชัดเจนออกมาจากปากที่ปิดด้วยหน้ากาก
ชิ! การมีวรยุทธ์มันน่าทึ่งมากใช่ไหม?
การไม่ได้ฝึกวรยุทธ์นับเป็ข้อบกพร่อง...ทำให้อิจฉาตาร้อน
แต่การไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้นั้นเป็ข้อบกพร่องยิ่งกว่า ไม่เพียงแต่อิจฉาเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความรำคาญใจอีกด้วย
ยามนี้เมื่อมู่จื่อหลิงกลับมาลองคิดดู ก็พบว่าทุกคนที่นางรู้จักล้วนมีวรยุทธ์ แต่ตัวนางเองกลับไม่ได้ถืออาวุธใดๆ [4] บอบบางและอ่อนแอ ทั้งยังมีความเหนื่อยล้าจากเดินทางไกล ทันใดนั้นในใจของนางก็รู้สึกเสียสมดุลไป
ทั้งหมดนี้เป็เพราะ...เมื่อไม่นานมานี้นางคุยกับหลงเซี่ยวอวี่อย่างจริงจัง ซึ่งทำให้นางล้มเลิกความคิดที่จะฝึกวรยุทธ์ไปโดยสิ้นเชิง
เพราะในแง่ของวรยุทธ์ นางเกิดมาพร้อมร่างกายที่ไร้ประโยชน์ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ แต่จะเกิดผลย้อนกลับตามมาด้วย ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงมาก ดังนั้นเขาจึงบอกนางอย่างจริงจังว่าห้ามฝึก
ความหมายของประโยคนี้ชัดเจน นั่นก็คือ...นางไม่อาจฝึกวรยุทธ์ได้ และนางจะเป็เช่นนี้ไปตลอดชีวิต
การเป็เช่นนี้ไปตลอดชีวิตหมายความว่าอย่างไร เมื่อมู่จื่อหลิงคิดถึงเื่นี้ ความผิดหวังและความสูญเสียในใจสามารถจินตนาการได้ว่ามีมากเพียงใด...เป็เช่นนี้ช่างน่าหงุดหงิดชะมัด
ในยามนี้มู่จื่อหลิงยังไม่ทราบว่า ฉีอ๋องผู้ทรงอำนาจทั้งยังมากเล่ห์มักจะจงใจกล่าวถึงความหมายที่แท้จริงของคำเ่าั้อยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อมู่จื่อหลิงค้นพบโดยบังเอิญว่าไม่ได้เป็เช่นนั้น นางนึกอยากจะกัดหลงเซี่ยวอวี่ให้ตายจริงๆ
ในขณะที่เล่อเทียน รู้สึกสับสนกับพฤติกรรมแปลกๆ ของมู่จื่อหลิงอยู่นั้น
หัวใจของเขาก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อคิดว่ามู่จื่อหลิงยังคงคิดถึงสิ่งที่เขากลั่นแกล้งนางเมื่อครู่นี้อยู่ และกำลังเตรียมพร้อมวางยาตน เล่อเทียนก็แอบกลืนน้ำลายแรงๆ อึกหนึ่ง แล้วพูดอย่างระมัดระวัง “ทะ ทำอะไร?”
อย่างไรก็ตามมู่จื่อหลิงไม่ได้ตอบสิ่งใดออกไป นางเพียงยกมือขึ้นกอดอก หัวเราะเยาะอีกครั้ง
...เข่าเล่อเทียนแทบทรุด หมายความว่าอย่างไร?
ในยามนี้กุ่ยเม่ยวิ่งมาถึงแล้ว
เมื่อเห็นกุ่ยเม่ยใกล้เข้ามา หลี่ซินหย่วนซึ่งอยู่ไม่ไกลก็ค่อยๆ เดินมาอย่างเงียบๆ
แม้ว่าในยามนี้รูปลักษณ์ของหลี่ซินหย่วนจะยังเป็ชายตุ้งติ้งน่าทุบตี แต่นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเงียบสนิท ยืนนิ่งไม่พูดอะไรสักคำ
สิ่งนี้ทำให้มู่จื่อหลิงไม่สามารถมองชายตุ้งติ้งออกได้ เพราะเขาโวยวายไม่หยุดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานก็นิ่งเงียบจนนางไม่สามารถเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของเขาได้...ช่างเป็คนที่แปลกเสียจริง
กุ่ยเม่ยถอดหน้ากากออก ก่อนอธิบายสถานการณ์ในเมืองในยามนี้โดยสังเขป
โรคระบาดในเมืองกำลังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง หมอหลวงเกือบทั้งหมดที่ส่งเข้ามาล้วนติดโรคระบาดเช่นกัน อัตราการติดเชื้อของโรคนี้เพิ่มขึ้นทุกวัน
โรคระบาดครั้งนี้ไม่อาจหาทางป้องกันและควบคุมได้ ดังนั้นจึงแพร่กระจายในเมืองหลงอันอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว
ยามนี้คนทั้งเมือง ทุกคนล้วนติดเชื้อ แทบไม่มีข้อยกเว้น ด้วยเหตุนี้ ภายในเมืองจึงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย และเนื่องจากประตูเมืองถูกปิดตาย เสียงร้องและความคับข้องใจของผู้คนในเมืองก็ยิ่งมากขึ้นไม่หยุด
ยามได้ยินเช่นนี้ มู่จื่อหลิงจึงรู้แล้วว่าเหตุใดคนเหล่านี้ถึงไม่ออกมาทางประตู แต่เลือกที่จะะโหรือข้ามกำแพง
เนื่องจากยามนี้ทั้งเมืองกำลังวุ่นวาย โรคระบาดนั้นน่ากลัว แต่เหยื่อที่ติดโรคระบาดจนใกล้ตายนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า
ดังนั้นการเปิดประตูเมืองเดินวางมาดเข้าไปโดยตรงจึงไม่ใช่หนทางที่ฉลาดนัก ยิ่งในยามนี้พวกเขามีกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น พวกเขาอาจถูกเหยียบย่ำจนกลายเป็ก้อนเนื้อไปเสียก่อน
เพียงแต่ คนเหล่านี้สามารถะโข้ามกำแพงได้ แต่นางทำไม่ได้ ยามมู่จื่อหลิงคิดว่านางจะถูกพาเข้าไปในภายหลัง นางก็ขมวดคิ้วอย่างขมขื่น พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบว่า “แม้ว่าข้าจะเข้าใจสถานการณ์ในเมือง แต่ยามนี้ข้ายังไม่เข้าใจสภาพของโรคนี้ ฟ้ามืดแล้ว เข้าไปดูในเมืองกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน!” เล่อเทียนหยุดมู่จื่อหลิงที่กำลังจะจากไป
ขณะที่พูด เขาก็หยิบขวดบรรจุน้ำเืที่ปิดสนิทออกมาจากช่องเก็บของตรงแขน ส่งให้มู่จื่อหลิง “หลิงเอ๋อร์ เ้าดูนี่ก่อน นี่คือตัวอย่างเืที่ข้านำมาจากผู้ป่วย”
เล่อเทียนคิดกับตนเองว่าสำหรับความสัมพันธ์ในยามนี้ของเขากับมู่จื่อหลิง การเรียกนางว่าหวางเฟยนั้นดูจะห่างเหินเกินไป ไม่ต้องพูดถึงว่าเขายัง้าผลประโยชน์อยู่ ยามนี้เขาต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก่อน จากนั้นเขาถึงจะสามารถหน้าด้านเอาเปรียบเพื่อผลประโยชน์ได้
หากในยามนี้พวกเขาสามารถตรวจสอบปัญหาจากตัวอย่างเืนี้ได้โดยตรง แล้วหาวิธีควบคุมโรคระบาดได้ พวกเขาก็ไม่ต้องเข้าไปในเมืองด้วยตนเอง
ท้ายที่สุดนี่ไม่ใช่โรคธรรมดา เป็โรคระบาดร้ายแรง เขารู้ว่าในยามนี้เกิดอะไรขึ้นในเมือง
แม้ว่าตัวอย่างเืขวดเล็กๆ จะมีความเสี่ยงที่อาจทำให้ติดเชื้อได้เช่นกัน แต่ก็ยังดีกว่าเข้าไปในเมืองที่ยุ่งเหยิงนั้น ไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับบรรพบุรุษตัวน้อย [5] ผู้นี้ เช่นนั้นทุกคนคงสูญสิ้นแล้ว
คราวนี้มู่จื่อหลิงไม่ได้สังเกตนามของตนที่เล่อเทียนใช้เรียก ยิ่งเล่อเทียนให้ตัวอย่างเืกับนางยิ่งไม่จำเป็ต้องถามหาเหตุให้วุ่นวาย
เพราะหลังจากเล่อเทียนหยิบขวดออกมามอบให้นาง นางก็เอาแต่จ้องมอง ไม่หยิบขวดขึ้นมา มู่จื่อหลิงขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แต่นางกลับไม่รู้ว่าเป็เล่อเทียนที่ประหลาดใจมากกว่า เพราะเมื่อเขาเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของมู่จื่อหลิง เขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง?
ไม่มีทาง? ยังไม่ได้ตรวจสอบเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแค่...ต้องรู้ว่านี่เป็ขวดที่ปิดสนิท แม้ว่าจะมีข้อสันนิษฐาน แต่เล่อเทียนก็ยังไม่เชื่อ เขาถามอย่างไม่แน่ใจ “มีอะไรผิดปกติหรือ? มีปัญหาหรือไม่?”
ดูเหมือนมู่จื่อหลิงจะยังไม่หายประหลาดใจ นางโพล่งออกมาโดยไม่คิดว่า “นี่...ภายในมีพิษศพ [6]?”
แม้จะเป็การกล่าวด้วยความสงสัย แต่นางก็กล่าวออกมาอย่างมั่นใจ
เนื่องจากสิ่งนี้ถูกตรวจพบโดยระบบซิงเฉิน เหตุที่นางใไม่ใช่เพียงเพราะมันคือพิษศพ
ด้วยพิษศพนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของซากสัตว์ แต่เป็สิ่งที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของร่างกายมนุษย์
“เ้า เ้ายังไม่ได้ดูเลย เ้า...” เล่อเทียนเบิกตากว้าง ร้องอุทานทันที ก่อนจะพูดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง ในใจรู้สึกยากจะเชื่อ
แววตาที่บ่งบอกถึงความทึ่งนั้นจับจ้องมู่จื่อหลิงราวกับกำลังมองดูเทพเซียน
มู่จื่อหลิงตระหนักได้ทันทีว่า เพียงเพราะนางใกับสิ่งที่อยู่ในขวดนี้ นางจึงเผลอโพล่งออกมาโดยไม่คิด
ขวดนี้ปิดสนิท ทั้งยังเป็สีทึบ ขั้นตอนทางการแพทย์ยังมีอีกมาก จำเป็อย่างยิ่งที่จะต้องดู ฟัง และถาม แต่นางไม่แม้แต่จะมองอะไรเลย ไม่แปลกใจเลยที่เล่อเทียนจะมองนางด้วยสายตาเช่นนี้
มู่จื่อหลิงชำเลืองมองอีกสองคนอย่างใจเย็น พบว่ากุ่ยเม่ยก็กำลังจ้องมองนางด้วยความไม่เชื่อสายตาเช่นกัน
แม้แต่หลี่ซินหย่วนที่กำลังลอบลูบไล้คนก็ไม่ต่างกัน ภายในดวงตาดอกท้อมีความตกตะลึง ดูเหมือนเขาจะอยากรู้ว่ามู่จื่อหลิงพบพิษภายในโดยไม่แม้แต่จะมองได้อย่างไร
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] คนหน้าซื่อใจคด (伪君子) เป็คำเรียกคนที่มักเสแสร้ง หลอกลวง ไม่จริงใจ
[2] ราวฝ้ายกระทบ (打棉花) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า การโจมตีที่เบามากจนไม่รู้สึกเจ็บ
[3] เล่นกับไฟจนถูกไฟเผาเสียเอง (玩火自焚) เป็สำนวน มีความหมายว่า ผู้ที่เสี่ยงทำสิ่งไม่ดีหรือสิ่งที่อันตรายย่อมได้รับผลที่ตามมาหรือเป็ทุกข์ในท้ายที่สุด
[4] ไม่ได้ถืออาวุธใดๆ (手无寸铁) เป็สำนวน มีความหมายว่า ไม่มีสิ่งที่สามารถใช้ทำร้ายคนได้อยู่เลย
[5] บรรพบุรุษตัวน้อย (小祖宗) เป็คำเรียกคนอายุน้อยที่อาจก่อเื่ให้ต้องปวดหัวได้ หรือใช้เรียกคนที่มีความสำคัญมากๆ ในยามที่เขาก่อเื่
[6] พิษศพ (尸毒) เป็ไวรัสที่ผลิตขึ้นหลังจากศพเริ่มเน่า ส่วนมากจะนำมาใช้ในนิยายเกี่ยวกับซอมบี้ ผลของพิษคือมีแผลที่ิั สูญเสียความรู้สึก ในกรณีรุนแรง กล้ามเนื้อจะแข็งเกร็งและกลายเป็ซากศพที่มีชีวิต