เพราะว่าเซียวซู่ซู่ฟื้นขึ้นมากะทันหันทำให้จวนสกุลเซียวที่แต่เดิมเงียบสงบนั้นก็ครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่าเซียวซู่ซู่จะสลบไม่ได้สติมาโดยตลอดแต่ว่าที่พักของนางก็ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา หลายปีมานี้ฮูหยินเฒ่าก็ล้วนเอาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้กับเซียวซู่ซู่ไม่ว่าจะเป็อาหารการกิน ที่พักของใช้ก็ล้วนมีคุณภาพเป็เลิศ
เรือนที่นางพักอยู่นั้นเป็เรือนพิงนลินซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในจวนสกุลเซียวอีกทั้งยังพำนักอยู่ในห้องพักหลักของตัวเรือนอีกด้วย
ซึ่งเป็ห้องที่อยู่ติดกับฮูหยินเฒ่า
ทุกวันฮูหยินเฒ่าจะแวะมาดูนางครั้งหนึ่งต่อให้นางจะแค่นั่งนิ่งโง่ๆ อยู่อย่างนั้น ฮูหยินเฒ่าก็ยังคงมาเพื่อพูดคุยกับนางตอนนี้นางฟื้นขึ้นมาแล้ว ฮูหยินเฒ่าก็มาอยู่กับนางตลอดทั้งวันไม่อาจหักห้ามใจที่จะจากไปได้
นางยังคงมีความคุ้นชินที่จะพูดคุยกับเซียวซู่ซู่
แต่นางกลับพบแล้วว่าหลานสาวคนนี้ของตนเมื่อฟื้นขึ้นมาก็เข้าใจในกาพย์กลอนอีกทั้งยังเข้าใจถึงดนตรี ภาพวาด หมากและอักษรพู่กันเป็อย่างดีทุกครั้งที่นางเอ่ยขึ้น เซียวซู่ซู่ก็สามารถตอบกลับได้ไม่มีขาด
“ซู่ซู่...หลายปีมานี้คำพูดที่ยายเอ่ยกับเ้านั้น เ้าล้วนฟังได้ยินใช่หรือไม่?” ทันใดนั้นฮูหยินเฒ่าก็คว้ามือของเซียวซู่ซู่เอาไว้และเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นดวงตาทั้งสองจับจ้องไปที่เซียวซู่ซู่
ความจริงแล้วเซียวซู่ซู่เพียงอยากจะเผยความสามารถของตนเองต่อหน้าฮูหยินเฒ่าเท่านั้นนางอยากให้ตนเองมีวันที่จะสามารถเชิดหน้าชูตาได้
นางไม่อยากจะเป็เหมือนกับอดีตที่คอยแต่หลบอยู่ด้านหลังผู้คนอีกแล้ว
เมื่อได้ยินฮูหยินเฒ่าเอ่ยเช่นนี้เซียวซู่ซู่ก็เป็กังวลอยู่บ้าง ทว่าไม่นานนัก นางก็ยิ้มพลางพยักหน้าตอบกลับไปฮูหยินเฒ่าผู้นี้แม้แต่ข้ออ้างดีๆ ก็ได้หาไว้ให้กับนางแล้ว “ใช่แล้ว ท่านยาย หลายปีมานี้ซู่ซู่แค่เพียงแต่ไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริงเื่ทั้งหมดนั้นซู่ซู่ล้วนรู้และเข้าใจเป็อย่างดี...”
นางได้รู้เื่ราวต่างๆโดยมากของจวนสกุลเซียวมาจากปากของพวกคนใช้แล้วเพราะฉะนั้นจึงไม่กลัวว่าจะแสดงพิรุธออกไป
เพราะถึงอย่างไรเสียร่างกายนี้ก็เป็ของหลานสาวสกุลเซียวของพวกเขาจริงๆ
เมื่อฮูหยินเฒ่าได้ยินเช่นนี้นางก็ดึงเซียวซู่ซู่เข้าไปกอดอย่างแน่น ก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆรินไหลออกมาจากดวงตาของนาง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าิญญาของหน่วนซินนั้นจะต้องคุ้มครองพวกเรารู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งเ้าจะฟื้นขึ้นมา...”
เมื่อเผชิญหน้ากับฮูหยินเฒ่าที่มีท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้หัวใจของเซียวซู่ซู่ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นความอ้างว้างโดดเดี่ยวในอดีตก็ได้มลายหายไปในทันที ในที่สุดนางก็สามารถรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัวแล้ว
แม้ว่าเซียวเหยียนและเซียวจู๋จะมีอคติกับนางเป็อย่างมากแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างชัดเจน ต่อหน้านั้นพวกเขาก็ยังคงเป็มิตรและดีกับนางมากนักสิ่งนี้ล้วนเป็สิ่งที่นางไม่มีวันได้รับยามอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดี
ตอนนั้นต่อให้เป็ความห่วงใยรักใคร่ที่จอมปลอม พวกเขาก็ยังไม่มีให้กับนาง
สรุปแล้วจวนสกุลเซียวนั้นถือว่าเป็ครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่นครอบครัวหนึ่ง
เซียวซู่ซู่เองก็กำลังซึมซับความรู้สึกอบอุ่นนี้อยู่เช่นกัน
“ฮูหยินเฒ่า คนของแคว้นอ้าวอวิ๋นมาถึงแล้ว” ขณะที่ฮูหยินเฒ่าและเซียวซู่ซู่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นผู้เป็พ่อบ้านก็ได้เดินเข้ามาและเอ่ยรายงานด้วยสีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย
แคว้นอ้าวอวิ๋นและแคว้นป่ายฮวานั้นอยู่ติดกันหนึ่งร้อยปีมานี้ แคว้นทั้งสองได้มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ความจริงแล้วแคว้นนี้อยู่ในเขตแดนหนานเจียงซึ่งอยู่ทางแถบใต้ และต้าเยียนก็อยู่ในเขตแดนเป่ยม่อซึ่งอยู่ทางแถบเหนือ
ฝั่งเหนือและฝั่งใต้นั้นมีสำนักเหลยเป็เขตแบ่งแดน
ทางเป่ยม่อนั้นมีราชวงศ์ม่อแห่งต้าเยียนเป็ผู้คุมทั้งหมดแต่ทางหนานเจียงกลับถูกแบ่งออกเป็สามแคว้นเล็ก ซึ่งได้แก่แคว้นป่ายฮวาแคว้นอ้าวอวิ๋นและแคว้นโยวเจิ้น
แคว้นป่ายฮวาแคว้นอ้าวอวิ๋นและแคว้นโยวเจิ้นอยู่เรียงขนานกัน อำนาจของทั้งสามแคว้นนั้นต่างไม่มีใครด้อยไปกว่ากันอีกทั้งเหนือแคว้นทั้งสามยังมีวังคลื่นจันทรา เรียกได้ว่ามี่เพียงมหาปุโรหิตของวังคลื่นจันทราเท่านั้นถึงจะเป็ผู้ที่ควบคุมหนานเจียงอย่างแท้จริง
และผู้ที่จะมาเป็มหาปุโรหิตนั้นจะมีการเปลี่ยนทุกๆสิบปี โดยมีแคว้นทั้งสามเวียนกันส่งรายชื่อผู้เข้าร่วมที่เหมาะสมจากนั้นก็มีมหาปุโรหิตคนก่อนเป็คนทำการเลือกผู้สืบทอด
อำนาจของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่มากเพียงแค่ประโยคเดียวก็สามารถทำลายหนานเจียงทั้งหมดเลยก็ว่าได้
แน่นอนว่าอำนาจของพวกเขาก็ได้รับมาจากแคว้นทั้งสามนี้
และที่สำคัญยิ่งกว่าคือการที่วังคลื่นจันทรานั้นมีธนูจันทรภพที่สามารถผนึกแคว้นทั้งสามได้
แต่ว่าพันปีมานี้ไม่มีผู้ใดดึงธนูคันนั้นได้เพราะฉะนั้นความลึกลับของวังคลื่นจันทราจึงได้หยุดไว้เพียงเท่านี้อำนาจของพวกเขาก็ค่อยๆ น้อยลงไปทุกวัน
ความสงบของแคว้นทั้งสามก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง
ทางแคว้นป่ายฮวาและแคว้นอ้าวอวิ๋นก็ได้เขียนสัญญาสงบศึกกันเป็เวลาหนึ่งร้อยปีโดยข้อแม้ก็คือการที่แคว้นป่ายฮวาจะต้องส่งคนไปอภิเษกกับแคว้นอ้าวอวิ๋น
ปีนั้นก็ได้กำหนดแล้วว่าให้คุณหนูสามแห่งสกุลเซียวแต่งงานกับองค์ชายเก้าแห่งแคว้นอ้าวอวิ๋นแต่คาดไม่ถึงว่าคุณหนูสามจะมีนิสัยดื้อรั้น ไม่ยินยอมต่อข้อตกลงอีกทั้งยังได้ขัดราชโองการของฮ่องเต้หญิงและแต่งงานให้กับคุณชายใหญ่แห่งสกุลหลี่ที่มีอำนาจเทียบเท่ากับสกุลเซียวในตอนนั้น
และเพราะว่าสกุลหลี่และสกุลเซียวเกี่ยวดองกันทำให้ฮ่องเต้หญิงมิกล้าที่จะออกราชโองการลงโทษ
จากนั้นคุณหนูสามแห่งสกุลเซียวก็ได้ให้กำเนิดธิดาแล้วก็จากโลกนี้ไปคุณชายใหญ่แห่งสกุลหลี่เองก็ได้เสียชีวิตลงในสมรภูมิรบ ทำให้ฐานอำนาจของสกุลหลี่และสกุลเซียวนั้นลดน้อยลงฮ่องเต้หญิงเห็นดังนั้นจึงได้ออกราชโองการอีกฉบับหนึ่งให้ธิดาที่พึ่งถือกำเนิดจากคุณหนูสกุลเซียวนั้นเป็ตัวแทนในการอภิเษกกับองค์ชายเก้าแห่งแคว้นอ้าวอวิ๋น
ตอนนี้สกุลเซียวก็ไม่มีอำนาจพอที่จะขัดราชโองการได้อีก
การที่คนของแคว้นอ้าวอวิ๋นเดินทางมาถึงก็ทำให้บรรยากาศในสกุลเซียวตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด
สำหรับเื่นี้ เซียวซู่ซู่เองก็รู้วินาทีนี้นางเองก็ลุกขึ้นเช่นกัน ก่อนจะมองไปที่พ่อบ้านและเอ่ยเน้นย้ำออกมาทีละคำ “ข้ายังมิได้ผ่านพิธีปักปิ่น”
นางยังไม่เคยคิดถึงเื่แต่งงาน ที่นี่ยังคงมีสิ่งที่นางไม่อาจตัดใจได้
ฮูหยินเฒ่ารีบยกมือขึ้นกดลงบนไหล่ของเซียวซู่ซู่ “เด็กน้อย อย่าพึ่งตื่นใไป ให้ยายไปพบกับพวกเขาก่อนเถิด”
จะร้ายหรือจะดีนั้นก็ล้วนหนีไม่พ้นหลายปีมานี้ฮูหยินเฒ่าได้เผชิญกับเื่ราวมานับไม่ถ้วนนางนั้นรู้สึกเฉยชากับเื่ทั้งหมดแล้วจึงมีท่าทีนิ่งสงบขณะรับมือกับทุกสิ่งอยู่เสมอ
เมื่อเซียวซู่ซู่รู้สึกได้ถึงแรงกดของฮูหยินเฒ่านางเองก็มีท่าทีสงบลง ชาติก่อนนางมักจะสงบนิ่งอยู่เสมอสำหรับทุกเื่ที่เกิดขึ้นนางก็มักจะยอมรับมันด้วยท่าทีนิ่งเฉย
ตอนนี้กลับเป็เพราะสภาพแวดล้อมผู้คนและเื่ราวต่างๆ ทำให้นางได้รับการดูแลเป็อย่างดีแต่กลับสูญเสียความสงบนิ่งของตนไป
เมื่อเห็นฮูหยินเฒ่าหายออกไปจากเรือนเซียวซู่ซู่จึงค่อยๆ ก้าวเท้ากลับห้องของตน ความเยือกเย็นในดวงตาปรากฏขึ้นอีกครั้งนิสัยของนางไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงไว้ซึ่งความเ็า
ห้องโถง หน้าจวน
องค์ชายเก้าแห่งแคว้นอ้าวอวิ๋นป๋ายหลี่ม่อนั่งนิ่งอยู่ตรงกลางห้อง เมื่อเห็นฮูหยินเฒ่าก้าวเข้ามาแล้วเขาก็ยืนขึ้นแสดงความเคารพ ท่าทางของเขานั้นนอบน้อมมากใบหน้าที่ผอมซูบเล็กน้อยประกอบกับโครงหน้าที่งดงามราวกับงานแกะสลักชั้นเลิศทำให้เขาดูน่าเคารพและน่าเกรงขามเป็อย่างมาก
“คารวะฮูหยินเฒ่า”
ฮูหยินเฒ่าเองก็เงยหน้าขึ้นน้อยๆพลางส่งยิ้มบางๆ ให้ “องค์ชายเก้ามากพิธีแล้ว” จากนั้นจึงเดินไปนั่งที่ตำแหน่งประธาน
หนานกงม่อที่เป็ผู้ติดตามข้างกายองค์ชายเก้านั้นก็จ้องไปที่ฮูหยินเฒ่าแวบหนึ่งสายตาเหมือนจะแฝงด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง
แต่องค์ชายเก้าก็ได้ส่งสัญญาณผ่านทางสายตาไปให้กับเขาเพื่อสื่อว่าอย่าทำอะไรวู่วาม
“มิทราบว่าองค์ชายเก้าเดินทางมาไกลเช่นนี้มีเื่อันใดหรือ?” ฮูหยินเฒ่าเองก็เอ่ยออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเพราะว่าการที่เซียวหน่วนซินได้ปฏิเสธการอภิเษกไปในตอนนั้น ทำให้สกุลเซียวไม่กล้ามีปากเสียงกับราชสำนักของแคว้นอ้าวอวิ๋นมาโดยตลอด
อีกทั้งยังได้รับการกดขี่ข่มเหงจากฮ่องเต้หญิงทำให้สกุลเซียวในตอนนี้เรียกได้ว่าไร้ผู้สนับสนุนแล้ว
แต่เพราะว่าฮูหยินเฒ่านั้นมีทหารจำนวนมากในมือเสมือนว่าอำนาจทหารกว่าครึ่งของแคว้นป่ายฮวานั้นอยู่ในมือของนาง ทำให้ราชสำนักของแคว้นป่ายฮวาไม่กล้าทำตัวเป็ศัตรูกับสกุลเซียวโดยตรง
องค์ชายเก้ารู้ว่าฮูหยินเฒ่าเป็คนที่ชอบทำอะไรให้เสร็จโดยเร็วด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อ้อมค้อมอีกเขารับเอาหยกสลักรูปัมาจากมือขององครักษ์คนหนึ่งจากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินไปข้างหน้าสามก้าว ก้มศีรษะของตนเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าสกุลเซียวไม่ค่อยพอใจถึงการอภิเษกระหว่างสองแคว้นเท่าใดนักแคว้นอ้าวอวิ๋นของพวกเราก็จะไม่บีบบังคับผู้ที่ไม่ยินยอมวันนี้ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะถอนการหมั้นครั้งนี้ เสด็จพ่อของข้าก็ได้แจ้งเื่ไปให้กับราชสำนักของแคว้นป่ายฮวาแล้วเช่นกัน”
หยกสลักรูปันี้เป็ของหมั้นที่สกุลเซียวมอบให้กับองค์ชายเก้า ตอนนี้ถูกส่งคืนกลับมาทำให้สกุลเซียวเสียหน้าไม่น้อย
สีหน้าของฮูหยินเฒ่าคล้ำลงไปในทันที นางรู้ว่าปีนั้นที่สกุลเซียวปฏิเสธการอภิเษกทำให้องค์ชายเก้านึกแค้นอยู่ในใจตอนนี้จะต้องมีข่าวว่าเซียวซู่ซู่นั้นเคยมีสติปัญญาฟั่นเฟืองกระจายไปถึงแคว้นอ้าวอวิ๋นแล้วเป็แน่
ถ้าหากเื่นี้เกิดขึ้นเมื่อสิบวันก่อนฮูหยินเฒ่าจะต้องะเิโทสะออกมาแน่ แต่ว่าตอนนี้นางแค่มีสีหน้าคล้ำขึ้นเท่านั้น
เซียวซู่ซู่ที่ไม่อาจวางใจอยู่ในห้องพักต่อไปได้ก็ตัดสินใจไปพบองค์ชายเก้าด้วยตนเองสักครั้ง เมื่อเข้าไปที่ห้องโถงก็ได้ยินคำพูดเมื่อครู่ขององค์ชายเก้า
ความไม่สงบในใจก็ได้หายไปทันทีนางรีบก้าวเท้าไปด้านหน้าก่อนจะดึงเอาหยกสลักรูปหงส์ที่แขวนไว้บนเอวของตนออกมาจากนั้นก็ยกมันขึ้นเหนือหัวด้วยมือทั้งสองเพื่อเป็การแสดงความเคารพ “ในเมื่อองค์ชายเก้าพูดเช่นนี้แล้ว ท่านยาย สกุลเซียวของเราก็ไม่สะดวกที่จะเอ่ยค้านอะไรอีก สิ่งนี้เป็ของหมั้นที่ทางราชสำนักอ้าวอวิ๋นมอบให้แก่หม่อมฉันตอนนี้จะขอส่งคืนให้แก่พระองค์”