สิ่งที่ฉินมู่เยว่เอ่ยขึ้นส่งผลให้ทุกสายตาของคนในตำหนัก หันมาจับจ้องที่มู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นสนใจมองฉินไท่เฟยที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนหันมาแสยะยิ้ม “มันเป็ความลับ!”
ฉินมู่เยว่เบะปากด้วยรู้สึกไม่พอใจ ส่งสายตาไปที่พระชายาหรง
ด้านไทเฮาเจิ้งเดินเข้าไปข้างเตียงฉินไท่เฟย เปรยขึ้นอย่างเสียดาย “เซียงเสียน เ้าวางใจได้ อายเจียจะช่วยดูแลลูกหลานแทนเ้าเป็อย่างดี”
ไทเฮาเจิ้งกลั้นยหัวเราะ เอาแต่มองดูเหตุการณ์ด้วยความดีใจ
มู่อวิ๋นจิ่นี้เีให้ความสนใจกับคนพวกนี้ จึงเดินกลับไปข้างกายและส่งสายตาให้ฉู่ลี่ “เ้าจะเข้าไปพูดคุยหน่อยไหม?”
“ไปกันเถอะ” ฉู่ลี่ปฏิเสธแล้วเดินออกไป
มู่อวิ๋นจิ่นเดินตามมาติดๆ
ฉินมู่เยว่ที่เห็นทั้งสองเดินออกไป ก็มองตามด้วยมีความคิดบางอย่างผุดขึ้น
……
ระหว่างที่เดินกลับ มู่อวิ๋นจิ่นมิได้เอ่ยประโยคแรกที่ฉินไท่เฟยถาม แต่เลือกจะพูดประโยคที่สองถามฉู่ลี่ “ที่วัดสุ่ยอวิ๋นมีต้นถาว[1]ด้วยไหม?”
ฉู่ลี่พยักหน้าแทนคำตอบ
“เมื่อครู่ฉินไท่เฟยบอกกับข้าว่า หากมีเวลาให้ไปดูต้นถาวที่วัดสุ่ยอวิ๋น ที่นั่นมีบางอย่างซ่อนอยู่อย่างนั้น?” มู่อวิ๋นจิ่นถามด้วยความใคร่รู้
“เื่นี้ค่อยว่ากันทีหลัง” ฉู่ลี่ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจเื่นี้
มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ย “อืม” ตอบรับ จากนั้นเดินตามฉู่ลี่โดยไม่เอ่ยคำใดอีกตลอดทาง
นางััได้ว่าอารมณ์ของฉู่ลี่ผิดปกติ ไม่ค่อยเต็มใจพูด ดังนั้นนางเลือกปิดปาก เพื่อจะได้ไม่ต้องมีเื่เข้าตัว
ทั้งสองคนเดินออกมาวังก้าวขึ้นรถม้า มู่อวิ๋นจิ่นท้าวแขนอยู่ริมหน้าต่าง ครุ่นคิดสิ่งที่ฉินไท่เฟยกระซิบเมื่อครู่ ว่าจะไม่ให้นางอยู่อย่างเป็สุข… หรือว่าจะมีเื่ไม่ดีกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้พวกเขา?
มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจยืดยาว สายตาละห้อยด้วยความเหนื่อยหน่าย
เมื่อรถม้าเดินทางกลับมาถึงจวน มู่อวิ๋นจิ่นรีบะโลงเดินเข้าไป พบว่าฉู่ลี่มิได้ตามลงมา
ติงเซี่ยนที่นั่งอยู่ด้านนอกก็ไม่มีท่าทีจะลงจากรถม้าแต่อย่างใด
“พวกเ้าจะไปที่อื่นกันอีกใช่ไหม?” มู่อวิ๋นจิ่นถามขึ้น
ติงเซี่ยนพยักหน้ารับ “องค์ชายจะออกไปนอกเมืองสองสามวัน แต่ถูกเื่เข้าวังเยี่ยมฉินไท่เฟยทำให้ล่าช้าไป มิอย่างนั้นคงน่าจะถึงที่เป้าหมายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อ่อ” มู่อวิ๋นจิ่นเดินต่อไป โโยไม่เซ้าซี้ถามสองคนนั้นว่าจะไปที่ไหน
ติงเซี่ยนรู้สึกไม่ดีที่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นเดินไป แต่ไม่นานนักเสียงในรถม้าดังขึ้นด้วยความโมโห “ออกเดินทางได้!”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเสียงรถม้าเคลื่อนจึงหันกลับไปมอง พอไม่พบก็กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
“พระชายาเป็อะไรไปเ้าคะ? ฉินไท่เฟยเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?” แม่นมเสิ่นเดินเข้ามา พบมู่อวิ๋นจิ่นสีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย พลันคิดว่าอาจเป็เพราะห่วงใยฉินไท่เฟยมากเกินไป
มู่อวิ๋นจิ่นตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ “่นี้ยังไม่ตายหรอก นางยังหายใจได้อยู่!”
แม่นมเสิ่นหน้าชาไปชั่วขณะ รีบหัวเราะกลบเกลื่อน เดินไปที่อื่นทันที
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นเดินไปที่สวนบุปผาด้านหลังจวน เงยหน้ามองท้องนภาครุ่นคิดอยู่ในศาลา มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาขูดเสาไปมา พลางพึมพำไปเรื่อยเปื่อย
จื่อเซียงยกจานผลไม้มาวางไว้ที่โต๊ะ พอเห็นท่าทางของมู่อวิ๋นจิ่นก็รีบหดหัวทันที “คุณหนู คนเรามีความตายเป็ธรรมดา คุณหนูอย่าได้ปริวิตกจนจิตเศร้าหมองเกินไปเลยเ้าค่ะ”
“อืม” มู่อวิ๋นจิ่นเห็นจื่อเซียงคิดว่านางเศร้าใจกับเื่ฉินไท่เฟย จึงพยักหน้าตามน้ำ ี้เีอธิบาย
จากนั้นไม่นาน มู่อวิ๋นจิ่นเมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาเต็มที่ นางจึงเลิกขูดเสา เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะออกไปข้างหน่อย ตอนเย็นจะกลับมา”
จื่อเซียงผงกหน้ารับ
มู่อวิ๋นจิ่นใช้ประตูหลังจวนออกไป พร้อมกับจูงม้าขนแดงขี่ไปที่วัดสุ่ยอวิ๋น
……
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม มู่อวิ๋นจิ่นก็มาหยุดที่หน้าประตูวัดสุ่ยอวิ๋น
นางะโลงจากหลังม้า มองดูวัดที่กว้างใหญ่แห่งนี้ มีผู้คนมากราบไหว้มากมาย ที่สำคัญมีความลับเก็บซ่อนไว้อยู่มิน้อย
มู่อวิ๋นจิ่นจ้ำเท้าเข้าไปทีู่เาด้านหลังวัดสุ่ยอวิ๋น หากจำไม่ผิด ด้านหลังูเาจะมีสวนต้นถาวอยู่
ทันทีที่นางก้าวเข้าไปทีู่เาด้านหลัง มู่อวิ๋นจิ่นเข้าใจในทันทีว่าคนที่ความแค้นต่อกัน ต้องเอาคืนเข้าสักวัน
เห็นด้านหน้าเป็เหวินหย่วนกับิหย่วน ศิษย์พี่ศิษย์น้องกำลังหาบน้ำใส่ถัง ทั้งสองคนส่งสายตาให้กันและกันทันทีที่เห็นมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าเดินต่อไป ทำเหมือนไม่เห็นพระสองรูปนี้
เหวินหย่วนกับิหย่วนรอจนมู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้ามาใกล้ เหวินหย่วนอดใจไม่ไหวพลั้งปากขึ้น “คัมภีร์เฉวียนหลิงเล่มนั้นคงไม่มีประโยชน์สำหรับเ้า เหตุใด้าแย่งไปด้วย?”
“อย่างนั้นมันมีประโยชน์อะไรกับเ้าด้วย?” มู่อวิ๋นจิ่นย้อนถามกลับ
“มีอย่างแน่นอน!” เหวินหย่วนพูดอย่างตื่นเต้น “หลังจากที่ท่านอาจารย์คงซื่อสิ้นไปแล้ว ยังไม่มีเ้าอาวาสคนใหม่ แม้ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนจะได้ใจพระในวัด ถึงแม้ข้าจะเรียกเขาว่าศิษย์พี่ แต่ความเป็จริงแล้ว ข้ามาที่วัดสุ่ยอวิ๋นก่อนตั้งนานแล้ว!”
“เ้าอยากเป็เ้าอาวาส?” มู่อวิ๋นจิ่นจับประเด็นที่เขา้าสื่อได้ชัดเจน
เหวินหย่วนพยักหน้ารับ
“หึ……” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเย้ย “ดีที่คัมภีร์เฉวียนหลิงอยู่กับข้า มิอย่างนั้นวัดสุ่ยอวิ๋นมีเ้าเป็เ้าอาวาส คงต้องปิดในไม่ช้า!”
“เ้า!” เหวินหย่วนกำหมัดจนมือสั่นระริก หมายเดินเข้าไปหามู่อวิ๋นจิ่น แต่กลับถูกิหย่วนจับแขนรั้งไว้
เหวินหย่วนพยายามสงบสติอารมณ์ พลางนึกถึงเหตุการณ์สองครั้งที่เคยเสียท่าให้กับมู่อวิ๋นจิ่น
เพราะฉะนั้นจึงไม่ต่อความยาวสาวความยืด เลือกที่เดินหาบน้ำต่อไป
เมื่อเห็นพระสองรูปนั้นไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นจึงสาวเท้าไปที่สวนต้นถาวด้านหลัง
เมื่อมาถึง มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับต้องยกมือขึ้นเกาหัว ด้วยไม่รู้ว่าเป็ต้นถาวต้นไหนที่ฉินไท่เฟยบอกไว้กันแน่
มู่อวิ๋นจิ่นเดินสำรวจต้นถาวทีละต้นจนครบรอบ กลับไม่เห็นถึงความผิดปกติใดๆ
ใน่นี้เริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ต้นถาวแต่ละต้นเริ่มที่จะผลัดใบเหลือแต่ต้นเปล่า
“เหอะๆ พระชายามาแล้วหรือ?” เสียงแหบแห้งดังขึ้นจากด้านหลัง
มู่อวิ๋นจิ่นหันกลับไปมองพบท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนปรากฏตัวขึ้นเผยยิ้มส่งให้นาง
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าเล็กน้อย “ท่านอาจารย์มีเวลาว่างมาเดินเล่นแถวนี้ หรือว่าตั้งใจมาหาโดยเฉพาะกัน?”
“พระชายาเป็คนเฉลียวฉลาด ย่อมทราบดีว่าอาตมามาที่นี่เพราะตั้งใจมาหาท่าน” ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนยิ้มออกมาพลางมองไปที่สวนต้นถาว
“สวนต้นถามถึง่ผลัดใบแล้ว แต่ละต้นจึงเริ่มไร้ใบ ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ยากจะแยกแยะ”
มู่อวิ๋นจิ่นกัดริมฝีปากทันใด คำพูดของท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนเหมือนมีนัยยะแฝงไว้
“ฉินไท่เฟยมาที่นี่บ่อยครั้ง มิทราบว่าต้นถามไหนเป็ต้นที่นางโปรด?” มู่อวิ๋นจิ่นถามอย่างตรงไปตรงมา
ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนยิ้มอย่างมีเลศนัย “พระชายาชอบมาตามหาสิ่งที่สงสัย ไม่ช้านานอาจนำภัยมาสู่ตน หากอาตมาทายไม่ผิด วันนี้ท่านคงปิดบังองค์ชายหกมาที่นี่ใช่ไหมเอ่ย?”
“......” มู่อวิ๋นจิ่นยังคงคาดเดาใจของท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนมิออก คิดไม่ตกว่าเขาตั้งใจช่วยนางหรือไม่
เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นไม่ตอบ ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนจึงเอ่ยต่อไปว่า “องค์ชายหกเป็คนที่มีความคิดลึกซึ้ง ย่อมครุ่นคิดทุกอย่างให้รอบด้าน ส่วนพระชายาหก นิสัยบุ่มบ่าม จากนี้ไปควรรับฟังองค์ชายหกให้มากจะดี”
พอนึกถึงฉู่ลี่ จิตใจของมู่อวิ๋นจิ่นกลับงุ่นง่านขึ้นมา ความรู้สึกที่อยากตามหาต้นถาวนั้นกลับลดน้อยถอยลงไปอย่างมาก
หลังจากเดินออกจากสวนต้นถาว มู่อวิ๋นจิ่นถามท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนด้วยความใคร่รู้ “ท่านอาจารย์พอทราบไหใว่า ลับหลังนั้นฉู่ลี่คิดทำเื่ใด?”
มู่อวิ๋นจิ่นคิดเสมอว่าฉู่ลี่มีเื่มากมายที่ทำลับหลังโดยไม่ให้นางรู้ และคงไม่มีเพียงเื่ของหรงเฟยเื่เดียวอย่างแน่นอน
แน่นอนว่านางถามขึ้นเท่ากับสูญเปล่า ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนเป็คนของฉู่ลี่ มีหรือจะขายความลับของฉู่ลี่ให้นางทราบ
“รอให้ถึงเวลานั้น องค์ชายหกย่อมต้องบอกกับท่านแน่นอน” ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนพามู่อวิ๋นจิ่นเดินมาหน้าประตูวัด ยกมือพนมแล้วโค้งตัวเล็กน้อย “อมิตาพุทธ”
มู่อวิ๋นจิ่นเบือนปาก คำพูดเช่นนี้นางฟังเยอะจนเบื่อหน่ายแล้ว ช่างเหอะ!
แต่ไหนแต่ไร ฉู่ลี่มองนางเป็คนนอกมาตลอดก็เท่านั้นเอง
ฉินมู่เยว่ดูเหมือนจะเข้าใจฉู่ลี่ มากกว่ามู่อวิ๋นจิ่นเป็หลายเท่า
มู่อวิ๋นจิ่นยิ่งคิดยิ่งงุ่นง่าน ะโขึ้นหลังม้าขนแดงออกจากวัดสุ่ยอวิ๋น
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นจากไปแล้ว ประตูวัดด้านข้าง มีชายชุดม่วงเดินออกมา
ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนยิ้มน้อยให้กับชายชุดม่วง “ของใต้ต้นถาว เ้าเอาออกมาแล้วหรือ?”
“ใช่ขอรับ” เสียงนั้นตอบอย่างเ็า
……
มู่อวิ๋นจิ่นกลับมาถึงจวนองค์ชายหก ท้องนภามืดมิดลงแล้ว
จื่อเซียงได้จัดเตรียมอาหารเย็นไว้เรียบร้อย ทว่ามู่อวิ๋นจิ่นไม่ทานสักคำเดียว เดินตรงไปทิ้งตัวลงบนเตียงอันอ่อนนุ่มค่อยๆ หลับตาลง
วันนี้ทั้งวัน นางรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายาและจิตใจเหลือเกิน
ไม่นานนัก นางก็เข้าสู่ภวังค์แห่งนิทรา
ตกกลางดึก มู่อวิ๋นจิ่นค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เห็นทั้งห้องมืดสนิท เวลานี้นางเหมือนได้ยินเสียงบางอย่างกำลังคืบคลานจากพื้น ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้นาง
มู่อวิ๋นจิ่นรีบลุกขึ้นมาทันทีโดยไม่จุดโคมไฟ มองไปทางหน้าต่างที่กระทบแสงจันทร์ พอเห็นที่พื้นมีเงาดำบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้
ด้วยความใ นางจึงเงยหน้าขึ้นมองหลังคา พบว่าบนนั้นมีคนอยู่
นางเห็นเงาดำขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จึงใช้วิชาตัวเบาไปคว้าโคมไฟที่วางบนโต๊ะจุดขึ้น โดยใช้มือหนึ่งบังแสง มือหนึ่งถือโคมไฟเอาไว้
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นเงาดำคืบคลาน ปรากฏว่าเป็แมลงสองตัว กำลังปีนขึ้นเตียงของนาง
มู่อวิ๋นจิ่นกัดริมฝีปากแแ่ มองดูแมลงสองตัวนั้นด้วยความโมโห
ทำไมนางจะไม่รู้ว่าแมลงสองตัวนี้คืออะไร!!!
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ฉินไท่เฟยถูกแมลงกู่ฉง[2]กัดกินร่างภายใน นางจึงไปค้นหาตำราที่รวมรวบเกี่ยวกับการแก้ ในตำราที่ผ่านตามีรูปของแมลง เหมือนกับที่เห็นเบื้องหน้าในตอนนี้ ตัวหนึ่งเป็ตัวผู้ อีกตัวเป็ตัวเมีย
มู่อวิ๋นจิ่นจึงควักเข็มที่ซ่อนในแขนเสื้อ สะบัดพุ่งใส่แมลงสองตัวนั้นที่กำลังปีนขึ้นเตียงนาง จนหยุดชะงักลงทันที
มู่อวิ๋นจิ่นเป่าโคมไฟให้ดับลง แหงนขึ้นมองว่าเป็ใครกันแน่ที่แอบซ่อนอยู่บนหลังคา?
จะเป็ฉินมู่เยว่หรือเปล่า?
หากเป็นางขึ้นมาจริงๆ แผนการในครั้งนี้ต้องล้มไม่เป็ท่า อย่าคิดว่าคนอย่างมู่อวิ๋นจิ่นจะปล่อยให้นางสมปรารถนา
เพ้อฝันเกินไปแล้ว!!!
[1] ต้นถาว คือ ต้นพีช
[2] กู่ฉง เป็ สัตว์พิษที่ผ่านพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ โดยนำแมลง สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ใส่ภาชนะแล้วปล่อยให้กัดกินกันเอง โดยตัวที่เหลือรอดมาได้ นับว่ามีพิษร้ายแรงที่สุด ซึ่งจะนำมาใช้วางพิษสังหารคนหรือใช้ถอนพิษก็ได้