จ้าวหยวนเช่อพยายามนึกถึงเื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทว่ากลับเป็เพียงภาพเลือนรางเท่านั้น เหมือนเขาจะกอดสตรีผู้หนึ่งไว้แต่ก็นึกไม่ออกว่าสตรีนางนี้หน้าตาเป็เช่นไรความคิดเดียวในตอนนั้นคือไม่อยากปล่อยมือจากนาง พอรู้สึกตัวอีกทีลืมตาขึ้นก็รุ่งสางแล้ว
“สตรีผู้นั้นเป็ใคร?” จ้าวหยวนเช่อถามขึ้น
พ่อบ้านว่านกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “เป็ภรรยาของที่ปรึกษาเสิ่นพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหยวนเช่อในใจกระตุกอย่างแรง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้แปลกมาก
“ท่านอ๋องทรงวางใจได้บ่าวที่เห็นเหตุการณ์นั้นข้าน้อยได้จัดการหมดแล้ว คนที่รู้มีเพียงข้าน้อยและ ‘ฉางหลิ่ว’ พ่ะย่ะค่ะ” ฉางหลิ่วนั้นภายนอกอาจดูเหมือนคนรับใช้ทั่วไปทว่าที่จริงแล้วเขาเป็ทหารองครักษ์ จึงสามารถเชื่อใจได้
“นาง เป็ยังไงบ้าง?”
นาง? หมายถึงฮูหยินน้อยกระมัง? พ่อบ้านว่านจึงตอบว่า “ฮูหยินน้อยใมากพ่ะย่ะค่ะ”
“ใงั้นหรือ?” จ้าวหยวนเช่อขบขัน เขาแค่นเสียงเย็น “ก่อนหน้านี้ นางอยากเข้าใกล้เปิ่นหวางจะตายไป”
เื่ในอดีต พ่อบ้านว่านย่อมรู้ดีตอนนั้นฉางหลิ่วก็เคยบอกเล่าให้ฟังแต่เมื่อคืนคุณหนูใหญ่กู้ดูไม่เหมือนคนที่ฉางหลิ่วเล่าไว้เลย
“ไม่ต้องใส่ใจ ให้ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนางเองก็คงไม่กล้าพูดอะไรออกไป”
พ่อบ้านว่านลอบมองสีหน้าที่แสดงถึงความใส่ใจของท่านอ๋องซึ่งขัดกับคำพูดที่สั่งเขา
อากาศหนาวเย็นลงเรื่อยๆ หลังจากกลับมาจากทำงานในทุ่งนา นายท่านเสิ่นก็มาซ่อมแซมรั้วบ้านเขาเอาเถาวัลย์มาพันตามรั้วให้ดูสวยงาม ส่วนนายหญิงเสิ่นกับชุนหงช่วยกันตากผ้านวมและเสื้อผ้าอยู่ทางลานด้านข้าง
กู้เจิงกำลังตากถั่วลิสงในใจนึกถึงเื่ร้านที่บิดาและนายหญิงเว่ยซื่อเคยมอบให้แก่นาง ร้านที่ท่านพ่อมอบให้นั้นอยู่ในเยว่เฉิงนางสามารถเข้าไปดูแลได้แต่นางไม่มั่นใจในความสามารถของตนว่าจะสามารถรับผิดชอบดูแลร้านได้อย่างดีดังนั้นร้านนี้จึงยังคงถูกควบคุมดูแลผ่านจวนตระกูลกู้ส่วนรายได้ก็ค่อยมาจัดสรรให้นางอีกที
กู้เจิงไม่เคยทำธุรกิจอย่างจริงจัง หรือหากพูดตามความสามารถแล้วนางไม่ใช่คนที่เหมาะจะทำธุรกิจ ในภพก่อนนางเป็เพียงพนักงานผู้ช่วยคนหนึ่งที่ตั้งใจและขยันทำงานอย่างหนักในทุกวันใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ด้วยเงินเดือนอันน้อยนิดและคาดหวังจะแต่งงานกับใครสักคนที่มีอนาคตที่ดี และอาจจะมีลูกด้วยกันสักคนหลังเกษียณก็คงจะใช้ชีวิตกับลูกและครอบครัวไปจนแก่เฒ่า
นางเป็เพียงคนธรรมดาไม่ได้เก่งกาจหรือมีความสามารถมากมายอะไรดังนั้นร้านนี้ให้ตระกูลกู้เป็คนดูแลจัดการเหมือนเช่นเดิมก็น่าจะดีอยู่แล้วนางขอเพียงรายได้เล็กน้อยก็พอแล้ว อีกอย่างรายได้จากร้านของนางก็ไม่ได้มากมายจนต้องกังวลว่าตระกูลกู้จะแอบฉกฉวยเอาไป
“เ้าสี่อยู่บ้านไหม?” มีแขกเดินเข้ามา
“พี่รอง ข้าอยู่นี่” นายท่านเสิ่นขานรับ “มีอะไรหรือ?”
กู้เจิงกับชุนหงคารวะ หน้าตาของญาติทางฝั่งพ่อสามีของนางล้วนแสดงความเป็มิตรกันทั้งนั้นลุงรองอ้วนกว่าพ่อสามีอยู่หลายส่วน พอยิ้มแย้มใบหน้ากลมก็ดูมีความสุขยิ่ง
“หลานสะใภ้ไม่ต้องมากพิธี เ้าทำเช่นนี้ ลุงรองทำตัวไม่ถูก” ลุงรองกล่าวด้วยรอยยิ้ม
นายหญิงเสิ่นที่อยู่ข้างๆ ยิ้มให้กู้เจิง “ทำตามที่ท่านลุงว่าเถอะ”
กู้เจิงกับชุนหงมองหน้ากันแล้วยิ้มรับ “เ้าค่ะ”
“ข้าหาภรรยาให้ลูกชายสำเร็จแล้วนะ” ลุงรองเป็ห่วงบุตรชายมาตลอดบุตรของเขาเป็เด็กหนุ่มในวัยยี่สิบสองยี่สิบสาม แต่ยังหาภรรยาไม่ได้สักทีอายุก็เลยวัยออกเรือนแล้ว “อีกฝ่ายเป็คุณหนูของหมู่บ้านตระกูลฟางปีนี้เพิ่งจะอายุสิบหกปี หน้าตาท่าทางดี”
นายท่านเสิ่นก็ดีใจกับหลานชายคนนี้เช่นกัน “หมู่บ้านตระกูลฟาง? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านนี้มาก่อน?”
“อยู่บนยอดเขาซีไป๋ เป็หมู่บ้านเล็กๆ”
“ยอดเขาซีไป๋? ไกลมากเลยไม่ใช่หรืออย่าว่าแต่เดินจากเยว่เฉิงไปยังูเาซีไป๋ในสองชั่วยามเลยจากตีนเขาถึงยอดเขาก็ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วยามเชียวนะ”
“หลานชายของเ้าหน้าตาไม่ดีได้แต่งงานกับหญิงสาวที่มีนิสัยดีข้าก็พอใจแล้ว ระยะทางไกลแค่นี้ จะนับอะไรได้” ลุงรองเสิ่นขอเพียงคลายปัญหาใจลงได้เท่านั้น
“ก็จริง นิสัยของบุตรสาวบ้านนั้นเป็สิ่งสำคัญที่สุด" นายท่านเสิ่นเห็นด้วยหลานชาย ‘เสิ่นกุ้ย’ หน้าตาไม่ดี จึงไม่มีใครอยากแต่งงานด้วยแต่ความจริงแล้วอากุ้ยขยันขันแข็งมีความสามารถ นิสัยดีต่อไปจะต้องเป็บุรุษที่ดีอย่างแน่นอน
“ดังนั้น พ่อสื่อในครั้งนี้ข้าอยากให้เ้าช่วยพรุ่งนี้เช้าตามข้าไปมอบสินสอดทองหมั้นด้วยกัน”
“ได้” แน่นอนว่านายท่านเสิ่นย่อมรับคำแม่สื่อได้พยายามที่จะหาสะใภ้ให้อากุ้ย แต่ก็ล้มเหลวจนนับครั้งไม่ถ้วนจนทุกคนล้วนถอดใจไปกันหมด
ยามที่เสิ่นเยี่ยนกลับมาจากทำงานในตอนบ่าย นายหญิงเสิ่นก็เล่าเื่นี้ให้เขาฟังด้วยความดีใจแน่นอนว่าเสิ่นเยี่ยนย่อมยินดีกับญาติผู้พี่คนนี้เช่นกันเมื่อท่านแม่บอกว่าพี่สะใภ้ในอนาคตอยู่หมู่บ้านตระกูลฟางบนยอดเขาซีไป๋เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เวลานี้กู้เจิงนั่งอยู่ในห้องกำลังขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษอย่างจริงจัง จึงไม่รู้ตัวว่าเสิ่นเยี่ยนเข้ามา
สิ่งที่ภรรยาขีดเขียนนั้นแปลกตามาก มีแบ่งออกเป็เส้นบาง ๆหลายบรรทัด คำเหล่านี้มักจะขาดจังหวะในการเขียน เสิ่นเยี่ยนแอบมองอย่างระแวดระวัง
“เ้ากำลังหาอะไรทำอยู่หรือ?” เสียงของเสิ่นเยี่ยนถามขึ้น
กู้เจิงสะดุ้งเฮือก นางไม่รู้ตัวเลยว่าเสิ่นเยี่ยนเข้ามาั้แ่เมื่อไร “ท่านอ่านตัวอักษรของข้าออกด้วยหรือเ้าคะ?”
“ดูแล้วเขียนผิดไปหมด” เสิ่นเยี่ยนหยิบกระดาษมาดูพลางหัวเราะเยาะ “แต่พอเดาได้เจ็ดแปดส่วน”
เขียนผิดอะไรกัน นี่เป็ตัวอักษรย่อไงเล่า? ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องพูด กู้เจิงแย่งกระดาษคืนมา เื่ที่เกิดขึ้นในจวนตวนอ๋องทำนางใมากนางจึงมานั่งคิดว่านางจะสามารถทำอะไรเพื่อป้องกันตัวเองได้บ้างอย่างน้อยนางต้องรู้ก่อนว่าตัวนางมีความสามารถอะไรบ้าง
หลังจากนางที่นางเริ่มขีดเขียนแจกแจงถึงความสามารถของตัวเองแล้วนางแทบจะไม่มีสิ่งที่นางถนัดเลย
“พรุ่งนี้ท่านลุงรองกับท่านพ่อจะไปที่หมู่บ้านตระกูลฟาง" เสิ่นเยี่ยนเล่าพร้อมนั่งลงตรงข้ามกู้เจิง
“ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเ้ารู้หรือไม่ว่าหนิงซิ่วหลันบุตรสาวตระกูลหนิงได้ถูกกำหนดไว้แล้วให้แต่งงานกับคนในหมู่บ้านตระกูลฟางเช่นกัน”
“อะไรนะเ้าคะ?” กู้เจิงอึ้งไป นางเบิกตากว้างมองเขา “เป็ไปได้อย่างไรเ้าคะ?”
“ทำไมจะเป็ไปไม่ได้?” เสิ่นเยี่ยนชายตามองนาง “บุตรชายอนุตระกูลหนิงได้แต่งงานกับบุตรสาวตระกูลฟู่ถือเป็การล่วงเกินพระสนมซู หนิงซิ่วหลันคิดว่าแผนการของตนเองสำเร็จทว่าความเป็จริงแล้วเื่นี้กลับส่งผลร้ายต่อตัวนางเอง”
นึกถึงสิ่งที่เสิ่นเยี่ยนพูดเมื่อครั้งก่อน ‘ต้องขึ้นอยู่กับคุณหนูตระกูลฟู่’ กู้เจิงถาม “หรือว่านี่เป็ความตั้งใจของคุณหนูฟู่เ้าคะ?”
“นางไม่มีความสามารถมากขนาดนั้นหรอกแต่นี่ถือเป็การแก้แค้นของตระกูลฟู่และยังเป็การลงโทษที่พระสนมซูมอบให้ตระกูลหนิง”
กู้เจิงพลันสียวสันหลัง อดที่จะขยับเข้าใกล้เสิ่นเยี่ยนไม่ได้
ใบหน้าเฉยชาของเสิ่นเยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาเห็นการกระทำทั้งหมดของภรรยาในสายตา ทว่าก็ยังคงทำนิ่งเฉยต่อไป
ชีวิตในร่างนี้ช่างอยู่ยากแท้กู้เจิงไม่ได้สงสารหรือเห็นใจหนิงซิ่วหลัน นางทำลายชีวิตของคุณหนูฟู่ส่วนคุณหนูฟู่ก็ทำลายชีวิตนางกลับ กู้เจิงไม่อยากเข้าไปพัวพันกับพวกนางเมื่อเทียบกับหนิงซิ่วหลันแล้ว นางยังโชคดีกว่ามาก
“วันนั้นเ้าทำดีมาก ที่ไม่รับของขวัญจากหนิงซิ่วหลัน”
กู้เจิงนิ่งงันไป “เื่นี้คงไม่ใช่ว่ารู้ไปถึงตระกูลฟู่แล้วกระมังเ้าคะ?”
“ตอนนั้นพระสนมซูและตระกูลฟู่กำลังสืบหาว่าใครเป็คนปล่อยข่าวออกมาเ้าเป็คนที่น่าสงสัยที่สุด จะพลาดเ้าไปได้อย่างไร?” เสิ่นเยี่ยนมองใบหน้าของภรรยาที่เริ่มขาวซีดขึ้น ช่างดูน่าสงสารนักทว่าเสิ่นเยี่ยนไม่มีความสงสารแม้แต่น้อย นี่คือคือเื่ที่เกิดขึ้นจริงนางควรต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้
กู้เจิงขยับเข้าใกล้เสิ่นเยี่ยนเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัวจนกระทั่งได้กลิ่นกายที่หอมเย็นของเขา น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ ท่านต้องตั้งใจอ่านหนังสือและสอบเป็ขุนนางที่ดีให้ได้นะเ้าคะ”
เสิ่นเยี่ยนมองนาง เห็นภรรยาฝืนยิ้มแย้มแจ่มใสให้ เฮอะนางรู้ว่าต้องพึ่งพาเขา ตอนนี้มองหน้าดูก็รู้ว่าคิดอะไร
วันรุ่งขึ้น เป็วันที่อากาศหนาวเย็นมากอีกวันสายหมอกยามเช้าปกคลุมไปทั่วเยว่เฉิง แม้ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นกลางท้องนภานานแล้วทว่าหมอกนั้นกลับยังไม่จางหายไป
นายท่านเสิ่นกับลุงรองเสิ่นออกเดินทางไปที่หมู่บ้านตระกูลฟางั้แ่เช้าตรู่คาดว่าจะกลับกันมาอีกทีในตอนดึกดื่น กะหล่ำปลีหลายต้นที่นายหญิงเสิ่นลงมือปลูกเมื่อไม่กี่วันก่อนตายหมดแล้ววันนี้นางอยากจะลองปลูกใหม่อีกรอบ จึงนำเงินให้กู้เจิงกับชุนหงไปซื้อมาแล้วอยากจะกินอะไรอีก ก็ให้ซื้อกันมา