เมื่อแม่เฒ่าจางเห็นทั้งสองคนพูดคุยเสร็จแล้ว นางก็ยิ้มและพูดว่า “เป็เื่ดีที่จะเล่าเรียน หากลูกชายข้าไม่ได้เล่าเรียน แล้วจะเข้าตานายท่านจิ่วได้อย่างไร”
หลิวซานกุ้ยไม่ได้โง่ คำพูดก่อนหน้านั้นของเกาจิ่วที่บอกแก่แม่เฒ่าจาง เขาเองก็ฟังเข้าใจ
จึงคล้อยตามความคิดของนาง เอ่ยชมเชยว่านางสายตาหลักแหลม
และด้วยความกังวลเื่อาจารย์ จึงเอ่ย “ท่านพี่จาง ไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านนั้นได้ความอย่างไรบ้าง?”
แม่เฒ่าจางรู้สึกว่าตนเองพูดไปไกล จึงยิ้มด้วยความเกรงใจแล้วเอ่ย “ข้าดีใจจนพูดเลยเถิดไปไกล ได้ความจากอาจารย์แล้ว เมื่อวานข้าบอกพวกเ้าแล้วไม่ใช่หรือ อาจารย์ท่านนั้นอยู่ไม่ห่างจากบ้านข้าเท่าใดนัก เมื่อคืนข้าให้ตาเฒ่าไปถามมาแล้ว”
ขณะที่นางพูดก็มองไปทางพ่อครัวจาง เขาพยักหน้า ยิ้มแล้วเอ่ย “อาจารย์ท่านนั้นแซ่กัว นามซิวฝาน นามปากกาเหิงผิง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเ้า เห็นทีพวกเ้าคงเข้ากันได้ดี อีกอย่าง เขาเป็เด็กกำพร้า ทั้งยังเป็พ่อหม้าย ล้วนอาศัยรายได้เล็กน้อยของเขาใช้จ่าย ชีวิตก็เริ่มติดขัด ข้าไปบอกกล่าวกับเขาว่ามีคนเชิญให้เป็อาจารย์ แล้วบอกประวัติเ้าไปเบื้องต้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตอบรับทันที แต่ก็บอกว่า หากมีเวลาให้ไปที่บ้านเขา เขา้าเจอตัวเ้าก่อนจะตอบตกลง”
นี่เป็เื่ธรรมดาเช่นกัน เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายค่อนข้างมีอายุ หากเป็คนเื่มาก เขาเองก็คงไม่กล้าสอน
สองพ่อลูกเมื่อได้ยินว่าเื่ราวมีความคืบหน้า ต่างก็ดีอกดีใจ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งเบิกบาน
“นี่เป็เื่สมควร ในเมื่อจะคำนับอาจารย์ ข้าเองสมควรจะไปเยี่ยมเยียนก่อน”
หลิวซานกุ้ยรับมือได้ด้วยตัวเองและยังมีความจริงใจเต็มเปี่ยม จากนั้นก็เอ่ยกับพ่อครัวจางว่า “อาจารย์กัวได้บอกกล่าววันเวลาที่แน่ชัดหรือไม่”
พ่อครัวจางตอบด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์ท่านนั้นมีคาบสอนทุกบ่าย ยามปกติมักจะทานอาหารเที่ยงที่บ้านแล้วก็ไปสอนที่สถาบัน เมื่อพลบค่ำถึงค่อยกลับบ้าน เนื่องด้วยวันนี้เป็วันครบรอบวันตายของภรรยา จึงขอเลื่อนไปสามวันหลังจากนี้”
หลิวซานกุ้ยถามความชอบและงานอดิเรกของอาจารย์ท่านนั้น พ่อครัวจางตอบว่า อาจารย์กัวปกติมิได้มีความชอบเป็พิเศษ เพียงแต่ชื่นชอบในการดื่ม จึงแนะนำให้หลิวซานกุ้ยนำสุราข้าวมาสักหนึ่งกา
“เช่นนั้นก็ดี พ่อข้าเองก็ชื่นชอบการดื่ม” หลิวเต้าเซียงฟังอยู่ข้างๆ จึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
พ่อครัวจางก็ดีใจเช่นกัน จึงเอ่ย “ที่แท้น้องชายหลิวก็เป็ผู้ชื่นชอบการดื่มหรือ เช่นนั้นหากมีเวลาว่าง เรามาดื่มด้วยกันสักจอก”
“น้องชายพร้อมมาทุกเมื่อหากเรียกหา จะดื่มจนพี่ชายจางพึงพอใจ” ไม่แน่ใจว่าเพราะหลิวซานกุ้ยมีบทสรุปเื่เรียนแล้ว หรือบางทีเพราะในบ้านมีเงินมากพอ เวลาพูดจาก็มิได้ตระหนี่เช่นแต่ก่อนแล้ว
คนทั้งหมดหัวเราะกันยกใหญ่ พริบตาเดียวผ่านไปก็ถึงเวลาเที่ยง เสียงของม้าดังขึ้นตรงหน้าประตูลานบ้านอีกหน
แม่เฒ่าจางยิ้มและพูดว่า “ข้าจะไปดูเอง ไม่แน่ว่านายท่านจิ่วอาจจะกลับมาแล้ว”
ทุกคนต่างประเมินในใจ พอสนทนากันไปราวหนึ่งชั่วยาม เกาจิ่วก็น่าจะกลับมาแล้ว จึงเดินตามแม่เฒ่าจางไปทางลานบ้าน
“ฮ่าฮ่า ข้าว่าสหายหลิว ครอบครัวของเ้าช่างโชคดีเหลือเกิน ข้าออกไปก็เจอกับสหายที่กำลังจะออกจากบ้านพอดี ข้ายังไม่ทันลงจากรถม้า จึงเรียกเขาขึ้นรถม้าส่งเขาไปนอกเมือง เดิมทีเขาได้นัดคนมาดูที่นาของเขา ข้าจึงบอกกล่าวกับเขาระหว่างทาง เดิมทีเขาไม่ยินยอม แต่เมื่อข้าพูดเกลี้ยกล่อมเขาหลายหน บวกกับที่นาก็มีคนตกลง้าพอดี ระหว่างทางกลับมาจึงบอกว่ายอมขายบ้านหลังนั้นให้พวกเ้าในราคาสองร้อยตำลึง”
เกาจิ่วเอ่ยในใจ การแสดงนี้ช่างไม่ง่ายดาย
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นก็ดีอกดีใจ ตอนนี้นางดูออกแล้วว่าเกาจิ่วมิใช่ผู้ที่คิดร้าย เื่ที่หนึ่งเพราะนางกับเกาจิ่วไม่ได้มีความบาดหมางต่อกัน สองคือเงินที่ครอบครัวนางได้มาก็มาจากตัวเกาจิ่ว
ถ้าเกาจิ่วมีความคิดที่ไม่ดีขนาดนั้น เขาคงไม่เทียวไปเทียวมาเช่นนี้ สู้ไปฟ้องกับกำนันตำบลว่าพ่อลูกคู่นี้ขโมยสูตรอาหารของเขายังดีกว่า
นางได้ยินสิ่งที่เกาจิ่วพูดก็มีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ จึงถามต่อว่า “นายท่านผู้นั้นได้บอกหรือไม่ว่าจะให้เราไปเยี่ยมดูบ้านได้เมื่อใด?”
ดวงตาของเกาจิ่วเปล่งประกายแวววาว แม่สาวน้อยผู้นี้ช่างมีหัวใจที่ปราดเปรื่อง เขาเพียงแค่ออกจากบ้านไปชั่วครู่ กลับมาเพื่อพูดเื่ซื้อบ้าน นางกลับดูกระตือรือร้นไม่น้อย
“สหายของข้าบอกว่ายังต้องพาคนที่ซื้อที่ดินไปดูที่นาอีกผืน จึงไหว้วานให้ข้าช่วยดูเื่ขายบ้าน”
หลิวเต้าเซียงถามอีกครั้ง “อ้อ นั่นเท่ากับว่าเราสามารถไปดูเมื่อใดก็ได้หรือ? นายท่านจิ่วยามนี้ว่างหรือไม่เ้าคะ?”
ถึงอย่างไรตั๋วเงินนั้นเกาจิ่วก็เป็ผู้ให้ หลิวเต้าเซียง้าซื้อบ้านแล้วปล่อยเช่าโดยเร็ว
“ได้สิ ว่างอยู่แล้ว ข้าจะพาพวกเ้าไปดูเดี๋ยวนี้” เกาจิ่วพูดจบ ก็ชี้ให้หลิวซานกุ้ยกับหลิวเต้าเซียงขึ้นรถม้า
สำหรับแม่เฒ่าจางกับพ่อครัวจางย่อมไม่ต้องติดตามไป
บ้านที่เกาจิ่วพาทั้งสองคนไปดูไม่ได้อยู่ในซอยที่ครอบครัวของแม่เฒ่าจางอาศัยอยู่ รถม้านั้นพาข้ามถนนเส้นหลักมุ่งหน้าไปยังทิศใต้ โดยใช้เวลาราวสิบนาที
“บ้านนี้เป็เอ้อร์จิ้นย่วนที่ติดริมแม่น้ำ ไม่กว้างมาก แต่ก็ถือว่าใช้สอยได้อย่างดี”
หลิวเต้าเซียงพยักหน้า นางนั่งริมหน้าต่าง เลิกม่านรถขึ้นและมองออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ภาพที่เห็นนั้นแตกต่างจากบ้านอิฐโคลนของแม่เฒ่าจาง ตรอกเส้นนี้มีเพียงบ้านที่ก่อด้วยหลังคากระเบื้องสีเขียวสวยงาม
ในตรอกซอกซอยที่เงียบสงบและลึกเข้าไปนั้น เต็มไปด้วยเสียงกีบม้าและความน่ารื่นรมย์
“เอ๋ ถนนล้วนปูด้วยแผ่นหินหรือ” แตกต่างจากซอยของแม่เฒ่าที่ปูด้วยหินร่วน ส่วนทางนี้ปูด้วยหินเต็มแผ่น เป็หินเขียวชนิดใหญ่ ทำให้ตรอกนี้ดูสะอาดสะอ้านกว่าปกติ
“ไม่อย่างนั้น บ้านขนาดเล็กแค่นี้จะราคาสูงถึงสามร้อยตำลึงหรือ พวกเ้าถือว่าบุญหล่นทับเชียว หากข้าไม่ได้เป็คนจากตระกูลแดนเหนือ แล้วต้องกลับไปยังบ้านเกิดสักวัน บ้านที่ราคาถูกเพียงนี้ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะอยากซื้อไว้สักสองหลัง แล้วปล่อยเช่าเพื่อมีรายได้จากค่าเช่าก็เป็ได้”
การซื้อบ้านในราชวงศ์โจวไม่ได้มีเื่อำนาจครอบครัวเพียงไม่กี่สิบปีอะไรเทือกนั้น เมื่อซื้อเป็ของตนเองก็สามารถส่งต่อเป็มรดกให้แก่รุ่นหลัง
หลิวเต้าเซียงพยักหน้าและยิ้ม “ไม่น่าแปลกใจ สําเนียงของนายท่านจิ่วนั้นแตกต่างจากสําเนียงของคนในท้องถิ่นของเราเล็กน้อย”
“ข้าอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ข้าสามารถพูดภาษาถิ่นพื้นเมืองของเ้าได้ แต่ตอนที่ข้ามาครั้งแรก ข้าไม่เข้าใจแต่อย่างใด ต้องหาคนช่วยแปลที่สามารถเข้าใจภาษาถิ่นของปักกิ่งและพูดภาษาถิ่นของฝั่งเ้าได้ชั่วคราว”
เกาจิ่วยังเล่าถึงเื่ตลกบางอย่างที่เกิดขึ้นจากความต่างของสำเนียงในตอนแรกที่มาถึง
“นายท่านจิ่ว ถึงแล้วขอรับ” เสียงของคนบังคับรถม้าที่อยู่ด้านนอกรถดังขึ้น
“ไปเถอะ ข้าจะพาพวกเ้าดูบ้านหลังนั้น” เกาจิ่วเอ่ย
ทั้งสองคนลงจากรถม้าของเขา สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือประตูสีดำสนิททั่วไปสองบาน บนประตูมีป้ายแขวนไว้ โดย้าระบุว่า ซื่ออันย่วน (บ้านสงบนิจนิรันดร์)
หลิวเต้าเซียงเดินเข้าไปพร้อมกับพ่อผู้แสนดี ประตูของบ้านหลังนี้หันไปทางทิศเหนือ พอก้าวเข้าไปก็มีเส้นทางที่ปูด้วยหินเขียว ซ้ายขวามีห้องปีก ส่วนด้านหน้าหน้าต่างของห้องปีกมีบ่อดอกไม้เล็กๆ ที่ด้านในปลูกดอกเก๊กฮวยไว้ ตอนนี้กำลังออกดอกบานสะพรั่งหลายดอก
ดอกจื่อเถิง [1] เลื้อยตามแมกไม้ บุปผาคืบคลานตามแสงอาทิตย์ฤดูใบไม้ผลิ
เดินตรงไปข้างหน้าจะมีประตูดวงจันทร์ซึ่งมีดอกจื่อเถิงเลื้อยเต็มไปหมด
“นี่คือจื่อเถิงที่เพื่อนของข้าปลูกไว้ เมื่อถึง่ฤดูนี้ ฮูหยินของเขามักจะทำขนมจื่อหลัวปิ่ง [2] ข้าจะได้รับแบ่งมาบ้าง”
เกาจิ่วเอื้อมมือออกไปััจื่อเถิงที่เลื้อยอยู่บนผนังประตูดวงจันทร์ [3] และทำหน้าหวนนึกถึง
หลิวเต้าเซียงยิ้มและพูดว่า “นายท่านจิ่วรู้วิธีทําขนมจื่อหลัวปิ่งหรือไม่?”
เกาจิ่วส่ายหัวและพูดว่า “ข้าเป็แต่กิน หากเ้า้าฝึก ครั้งหน้าข้าจะขอสูตรจากเขาให้”
ทว่าในใจกลับหลั่งน้ำตา นี่หาเื่ให้ตนเองไม่ใช่หรือไร? เขาเพียงนึกถึงตอนที่ยังเด็ก แม่เขาชอบทำขนมจื่อหลัวปิ่งให้กิน
“ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอบพระคุณนายท่านจิ่ว” หลิวเต้าเซียงสายกินถึงกับแอบกลืนน้ำลาย มองดูดอกจื่อเถิงที่กำลังอ่อนนุ่ม เดาว่าขนมจื่อหลัวปิ่งต้องอร่อยแน่นอน
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกเ้าเข้าไปดูในบ้าน”
เมื่อหลิวเต้าเซียงเข้าไปข้างในประตูดวงจันทร์ ที่แท้ประตูนี้ก็สามารถปิดจากด้านในได้
ลานด้านในมีขนาดใหญ่กว่าลานหน้าบ้านเล็กน้อย ลานบ้านปูด้วยแผ่นหินสีเขียว ทางทิศใต้เป็เรือนหลักสามห้องนอนและห้องทึบสองห้องนอน ซ้ายขวาสองฝั่งมีห้องปีกฝั่งละสามห้อง เพียงแต่ว่าห้องปีกไม่ได้มีห้องเอ่อร์ฝางด้วย
ลานสะอาดมาก บนบันไดใต้ระเบียงเรือนหลักมีกระถางดอกไม้หลายใบ ไม่รู้ว่าเป็เพราะไม่มีใครให้น้ำหรืออย่างไร ตอนนี้ดอกไม้และพืชในกระถางเหล่านี้ถูกตากแดดจนเริ่มแห้ง
หลิวเต้าเซียงแอบคิดว่าอาจเป็เพราะอีกฝ่ายกังวลที่จะกลับบ้านเกิด จึงไม่มีใจที่จะดูแลมันอีกต่อไป
เมื่อมองไปที่กระเบื้องลายเคลือบสีขาวของกระถางเ่าั้ คิดว่าหากยามว่างจะไปเก็บดอกไม้สวยๆ สักไม่กี่ต้นมาปลูกในกระถางนี้ แล้วทำให้สวนหย่อมนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย
หน้าต่างของเรือนหลักประกอบด้วยกระดาษหน้าต่างละเอียด เรือนหลักมีประตูเล็กๆ ไปทางทิศใต้ เมื่อผลักประตูออกไป ที่แท้มันคือแปลงผัก แต่เป็เพียงสี่ถึงห้าแปลง ถัดจากแปลงผักก็เป็แม่น้ำ หากว่าปลูกผักรดน้ำคงไม่ใช่เื่ใหญ่
ทั้งสามคนกลับไปที่เรือนหลัก ยกเว้นบ้านในห้องโถงที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ห้องฝั่งซ้ายและฝั่งขวามีห้องขนาดใหญ่และยังมีห้องเอ่อร์ฝางด้วย
“เป็อย่างไร? ข้าอยากจะบอกว่าบ้านหลังนี้นับว่าไม่เลวทีเดียวเมื่อเทียบกับทั้งตำบลเหลียนซาน อย่างไรก็มีคนทำมาค้าขายแวดล้อม อย่างมากสุดก็คงมาพักผ่อนระหว่างทางที่นี่ ในหนึ่งปีคงมีหลายเดือนที่บ้านหลังนี้ว่าง”
แม้ว่าหลิวเต้าเซียงจะรู้สึกว่าบ้านไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่นางก็รู้ด้วยว่าที่ตั้งของตำบลเหลียนซานนั้นดี พ่อค้าหลายคนที่ไปทางใต้และเหนือก็จะนัดหมายทำการค้าขาย ณ ที่แห่งนี้
“ท่านพ่อ ท่านว่าบ้านหลังนี้ดีหรือไม่?”
นางคิดว่าเป็การดีกว่าที่จะถามความเห็นจากพ่อผู้แสนดี
เพราะนางเห็นหลิวซานกุ้ยมองบ้านอย่างละเอียด กระทั่งหินสีเขียว เขาก็เดินไปเคาะหนึ่งที
“บ้านหลังนี้ไม่เลว สองร้อยตำลึงนับว่าถูกจริง ข้าว่าบ้านนี้เหมือนเคยได้รับการซ่อมแซมมา” เขามองไปทางเกาจิ่วอย่างสงสัย
เกาจิ่วยิ้มและตอบว่า “ฟังเช่นนี้ ดูเหมือนว่าน้องชายหลิวจะพอเข้าใจเื่เหล่านี้”
“ในบ้านเกิดของข้าเวลาสร้างบ้าน ล้วนแล้วแต่ขนดิน ทำรากฐานแล้วก่ออิฐกันเอง” หลิวซานกุ้ยตอบอย่างจริงใจ
ความหมายของเขาชัดเจนว่า เขาเคยช่วยผู้อื่นสร้างบ้านมาก่อน ดังนั้นสำหรับความเป็ไปของตัวบ้าน เขาก็พอดูออกบ้างเล็กน้อย
เกาจิ่วคิดว่าหลิวซานกุ้ยคนนี้ดูเหมือนคนที่ซื่อตรง แต่ก็รู้เื่ไม่น้อย
“ถึงกระนั้น ข้าก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เดิมทีบ้านของเขาเพิ่งได้รับการซ่อมแซม พ่อและแม่ที่แก่ชราอยู่ที่บ้านเกิดของเขาก็ส่งจดหมายมาเร่งให้เขากลับไป”
หลิวซานกุ้ยได้ยินดังนั้นจึงคิดว่าเื่นี้สมเหตุสมผล
“ลูกรัก ข้าว่าบ้านหลังนี้ไม่เลวทีเดียว หากว่าเ้าชอบ การจะซื้อก็นับว่าราคาถูกยิ่งนัก”
หลิวเต้าเซียงนั้นไม่ถนัดการดูคุณภาพของบ้าน ในเมื่อผู้เป็พ่อกล่าวเช่นนี้ก็ต้องเป็ตามนั้นไม่ผิดแน่
นางจึงเอ่ยกับเกาจิ่วว่าถูกใจบ้านหลังนี้
-----
เชิงอรรถ
[1] ดอกจื่อเถิง หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ดอกวีสทีเรีย รูปภาพประกอบ

[2] ขนมจื่อหลัวปิ่ง ทำมาจากดอกจื่อเถิง เป็ของว่างยุคโบราณ รูปภาพประกอบ

[3] ประตูดวงจันทร์ เป็ประตูในลานบ้านรูปทรงกลมคล้ายดวงจันทร์ตามรูปภาพประกอบ

